* บทความนี้มีการสปอยเน้ือหาภาพยนตร์
“I never wanted to have anything in my life that I couldn't stand losing. But it's too late for that. It's not because you're beautiful and smart. I don't feel alone anymore. Will you marry me?”
-The Time Traveler’s Wife (2009)
มีภาพยนตร์มากมายหลายเรื่องที่ดำเนินเรื่องผ่านกาลเวลาที่บิดเบี้ยว บ้างก็ย้อนกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีต บ้างก็ล่วงหน้าไปทำภารกิจในอนาคตเนื้อหาและข้อคิดที่ภาพยนตร์เหล่านี้ได้ถ่ายทอดออกมาให้ผู้รับชมอย่างเราๆได้รับรู้นั้นต่างก็มีความแตกต่างหลากหลายกันไปตามแต่ที่ผู้กำกับและผู้เขียนบทของภาพยนตร์นั้นๆต้องการนำเสนอ แต่แทบจะทุกเรื่องยังคงประเด็นหลักอยู่ที่ความสำคัญของสิ่งที่เราเรียกว่า ‘เวลา’ นั่นเองซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างรู้เป็นอย่างดีอยู่แล้วว่าในความเป็นจริงนั้นเวลาเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณสมบัติในการไหลย้อนกลับ รวมไปถึงการก้าวกระโดดไปสู่อนาคตโดยที่การละเลยที่จะก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งปัจจุบันกาลไปได้ สิ่งมีชีวิตทุกๆหน่วยบนโลกใบนี้ต่างถูกยึดติดกับช่วงเวลาๆหนึ่ง ทำได้เพียงสัมผัสช่วงเวลาในช่วงสั้นๆที่ต่อเนื่องอย่างไม่มีท่าทีที่จะหยุด มันไม่ใช่อนาคตแต่เป็นช่วงเวลาปัจจุบันที่ยาวนาน และแน่นอนว่าช่วงเวลาปัจจุบันที่ไหลผ่านกลับกลายเป็นอดีตและปัจจุบันที่กำลังจะก้าวถึงก็คงหมายถึงอนาคต ทุกอย่างที่ถูกยึดติดเข้ากับกาลเวลาย่อมเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอไม่ต่างอะไรกับแผ่นฟิล์มที่ไหลผ่านตามเข็มวินาทีที่หมุนเปลี่ยน และเมื่อการเดินทางผ่านกาลเวลาในความเป็นจริงมันเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย ดังนั้นภาพยนตร์ที่เล่นกับเนื้อหาการเดินทางข้ามเวลาย่อมเป็นสิ่งเติมเต็มจินตนาการให้แก่พวกเราผู้รับชมได้อย่างเป็นที่น่าพึงพอใจ และที่สำคัญมันสามารถแฝงข้อคิดคำสอนให้คนดูได้สำนึกตรึกตรองถึงความสำคัญของเวลา แต่บางครั้งการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์ประเภทนี้ก็ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยเทคนิคที่แสนจะแพรวพราว ไซไฟจัดเต็มแต่มันกลับดูไกลตัวพวกเราเกินไป แต่ก็ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่สามารถเล่าเรื่องเดินบทด้วยความแปลกใหม่แต่กลับรู้สึกได้ว่ามันใกล้ตัวมาก มากเสียจนผู้รับชมสัมผัสได้ อาจจะไม่ใช่ด้วยมือ แต่กลับสัมผัสได้โดยใช้ความคิดและประสบการณ์ที่สั่งสมมาของผู้ที่ได้มีโอกาสสัมผัสรับชม
The Time Traveler’s Wife ถือเป็นหนึ่งในผลงานภาพยนตร์ที่ดำเนินเรื่องเกี่ยวกับการกระโดดข้ามเวลาของชายหนุ่มผู้โชคร้ายคนหนึ่งอย่างเฮนรี่ โดยที่เฮนรีนั้น ตัวเขามีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งก็คือการกระโดดย้อนไปในอดีตหรือข้ามไปยังอนาคต แต่ก็น่าเสียดายที่ตัวเขาเองนั้นไม่สามารถบังคับกำหนด การเดินทางข้ามเวลาของเขาเองได้ว่า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และเขาจะตื่นขึ้นมา ณ ช่วงเวลาใด และตื่นขึ้นมาที่ไหน และที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คงเป็นการที่ทุกครั้งที่ตัวเขาเดินทางนั้น เฮนรีไม่สามารถนำสิ่งใดในช่วงปัจจุบันกาลนั้นติดตัวเขาไปด้วยได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ทรัพย์สินเงินทอง หรือแม้กระทั่ง คนสำคัญ ถ้าจะพูดให้เห็นภาพมากขึ้นก็คงจะต้องอธิบายว่า เฮนรีเดินทางอย่างโดดเดี่ยวทุกครั้ง เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในสภาพตัวเปล่าการดิ้นรนย่อมเกิด การหาเสื้อผ้าเป็นสิ่งจำเป็นถ้าไม่เช่นนั้น อาจจะสร้างปัญหาแก่ตัวเขาเองไม่มากก็น้อย การดิ้นรนต่อการเปลี่ยนแปลงถ้ามองดีๆแล้วการที่เฮนรีเดินทางข้ามเวลาโดยไม่ได้สมัครใจนั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรชะตาชีวิตของตัวพวกเราทุกคนนักหรอก เพราะการเดินทางข้ามเวลานั้นถ้าเทียบกับความเป็นจริงแล้วมันก็เหมือนกับการที่เราต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ที่คอยถาโถมเข้ามาให้พวกเราต้องดิ้นรนปรับตัวกันอยู่อย่างไม่มีวันหยุดหย่อน ยิ่งถ้าหัวใจเฮนรี่เต้นแรงมากขึ้นเท่าไหร่ การเดินทางก็ย่อมเกิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงก็คงเกิดจากความไม่มั่นคงในชีวิตของพวกเราทุกคน กราฟชีวิตที่ดีดเด้งขึ้นลง สูงต่ำ ราวกับกราฟการเต้นของหัวใจที่กำลังเต้นด้วยความเร็วสูง และแน่นอนว่าเมื่อชีวิตขาดความแน่นอน เมื่อกราฟหัวใจดีดดิ้นเร็วเกินรับไหว การเดินทางข้ามเวลาหรือการเปลี่ยนแปลงของชีวิตเป็นสิ่งที่ตามมา แต่เวลาใดเมื่อกราฟชีวิตเริ่มนิ่ง เมื่อการปรับตัวต่อสภาพสังคมของเฮนรีในช่วงเวลานั้นผ่านไปอย่างราบรื่นละไม่มีเรื่องราวอะไรมารบกวนใจ การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นแต่อย่างใด แต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกิน ทั้งในภาพยนตร์และชีวิตจริง ที่ชีวิตๆหนึ่งจะเดินทางเป็นเส้นตรงได้โดยที่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย เพราะทุกๆวันนี้สถานการณ์ต่างๆ ต่างบีบคั้นนักเดินทางอย่างเราๆเสมอให้ตัวเองนั้น ขีดกราฟชีวิตให้สูงขึ้นและต่ำลง เราถูกบีบบังคับให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน รวมไปถึง การใช้ชีวิตโดยทั่วไป
การที่เฮนรีตื่นมาโดยปราศจากสิ่งรอบตัวใดๆที่เขาเคยครอบครองคงหมายถึงความยากลำบากในช่วงแรกของการผันเปลี่ยน ซึ่งตัวอย่างโดยตรงที่ผมได้เคยสัมผัสมาก็คงเป็นการทำงานวันแรก ช่วงเวลาการนั่งโดดเดี่ยวคนเดียวกลางสถานที่ทำงานอันเงียบสงัด ไร้ซึ่งคนรู้จัก และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาทำอะไรที่ตรงนี้สภาพแบบนี้ที่ผมเคยได้พบเจอ มันก็คงไม่ต่างกับการตื่นมาในสภาพเปลือยเปล่าและไม่รู้วันเวลาของเฮนรีแต่อย่างใด แต่เมื่อเวลาผ่านไป การปรับตัวในสถานที่ทำงาน การเรียนรู้มันทำให้ทุกอย่างดูนิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว กราฟชีวิตในช่วงเวลานี้คงดูสงบนิ่ง แต่ก็ไม่เสมอไปเพราะเราไม่รู้หรอกว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่ มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นวงจรชีวิตที่ไม่มีวันจบตราบใดที่ยังถูกกระตุ้นโดยอัตราการเต้นความเร็วของหัวใจอยู่
สมรสและภาระ คนรักกับการเสียสละ
แต่การเดินทางข้ามเวลาของเฮนรีนั้น ถึงแม้ว่ามันสร้างความลำบากใจต่อเฮนรีเป็นอย่างมากแต่ตัวเขานั้นก็สามารถรับมือกับมันได้เป็นอย่างดี แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อ เขาได้พบเจอกับแคลร์ ในช่วงเวลาปัจจุบัน ที่จริงนั้นทั้งสองเคยได้พบเจอกันมาแล้วสมัยที่แคลร์นั้นยังเป็นเด็กและเป็นช่วงเวลาที่เธอพบเจอเฮนรีในอนาคตกระโดดย้อนเวลากลับไปพบเจอ เมื่อทั้งสองพบเจอกันในช่วงเวลาที่อายุใกล้เคียงกัน ความรักของทั้งสองก็ย่อมเกิด และพวกเขาทั้งสองก็ตกลงปลงใจแต่งงานกันในที่สุด ซึ่งหลังจากช่วงนี้ของหนังเป็นต้นไป ประเด็นหลักของเรื่องได้ถูกเผยออกมาอย่างชัดเจน
ชีวิตนักเดินทางอย่างเฮนรีถ้าเทียบในความเป็นจริงแล้วก็คงเปรียบได้กับชายหนุ่มผู้มีปมด้อยและพยายามลบปมด้อยตนเองด้วยความทะเยอทะยานและแน่นอนมันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งแต่เดิมที่นั้นตัวเขาเองไม่เคยมีปัญหาแม้ว่าต้องเดินทางหายไปนานเพียงใด สุดท้ายตัวเฮนรีก็กลับมาอย่างปลอดภัย แต่เมื่อชีวิตของเขาไม่ได้มีแค่ตัวเขาอีกต่อไป แคลร์เปรียบเสมือนคนรักที่ต้องทำใจยอมรับชีวิตที่เต็มไปด้วยการจากลาอย่างไม่รู้วันเวลาว่าเมื่อไหร่ที่เธอจะได้พบเจอกับคนที่เธอรักอีกครั้ง และเมื่อไหร่ที่คนรักของเธอต้องจากเธอไปอีกครั้ง ซึ่งชื่อเรื่อง The Time Traveler’s Wife ก็ฟ้องให้เห็นอยู่แล้วว่าประเด็นหลักของเรื่องคือประเด็นของภรรยาของนักเดินทางข้ามเวลา ว่าตัวเธอนั้นจะรับมือกับชีวิตคู่ที่แสนจะโหดร้ายและไม่ปกตินี้ได้อย่างไร เมื่อการจากลาระหว่างเขาสองคนบางครั้งมันก็นานเกินกว่าที่ตัวเธอจะรับไหว ยิ่งนานวันเข้าตัวเธอได้สะสมความรู้สึกหลายๆอย่างเอาไว้รอวันที่มันจะระเบิดออกมา ไม่ว่าจะเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจหรือความกลัวต่อชะตากรรมของสามีของตัวเธอเอง ยิ่งนานวันความหวานชื่นที่เคยมีกลับกลายเป็นความอึดอัดและเหนื่อยหน่ายไปอย่างน่าเห็นใจ การเปลี่ยนแปลงของชีวิตบางครั้งมันก็นำมาซึ่งการจากลาแบบชั่วคราวเช่นกัน ซึ่งการจากลาบางครั้งมันก็สามารถสร้างปัญหาต่างๆตามมาได้มากมายอย่างไม่ต้องสงสัย หนักเข้าก็ลามไปถึงการทะเลาะเบาะแว้ง และการเลิกรา
ความรักและการเสียสละของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง – คนคนหนึ่ง คนที่คอยเฝ้ารอคนรักอย่างโดดเดี่ยว คนที่ต้องร้องไห้อยู่คนเดียวไร้ซึ่งใครก็ตามมาปลอบโยน – ก็คงเป็นตัวยึดเหนี่ยวให้ชีวิตคู่ของพวกเขา เฮนรี และแคลร์ดำเนินราบรื่นไปได้ถึงแม้ว่าจะมีช่วงกระอักกระอ่วนบ้างแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเลิกรากัน โดยประเด็นทั้งหมดทั้งมวลที่ได้กล่าวไปต่างก็ย้อนกลับไปหาชื่อเรื่องอีกเช่นกัน นับได้ว่าเป็นการตั้งชื่อเรื่องที่ตรงประเด็นมากเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อเข็มเวลาเดินถอยกลับ
ใครๆก็อยากที่จะมีความสามารถที่จะล่วงรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตกันทั้งนั้น เพราะหลายต่อหลายครั้งมันสามารถนำไปใช้หาประโยชน์เข้าตัวได้เหมือนกับที่เฮนรีใช้ในการซื้อสลากเสี่ยงโชคให้ถูกรางวัลที่หนึ่ง แต่ก็เหมือนเป็นตลกร้ายที่สิ่งเดียวที่พวกเราล่วงรู้ได้ในบางครั้งกลับเป็นความตายไม่ต่างกับเฮนรี เขาได้ล่วงรู้ถึงอนาคตอันโหดร้ายของเขาว่าปลายทางชีวิตของตัวเขาเองนั้นอยู่ที่วันเกิดครบห้าปีของลูกสาวของเขาเอง ในความเป็นจริงนั้นความล้ำสมัยของเทคโนโลยีถึงแม้ว่ามันจะก้าวหน้าไปได้ไกลขนาดไหนแต่ก็ยังไม่พอที่จะทำให้เรารับรู้เรื่องในอนาคตได้ทุกเรื่อง แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เราสามารถรับรู้ได้จากความทันสมัยของการแพทย์ นั่นก็คือความตายในอนาคตอันใกล้ ที่ได้ถูกตรวจจับจากการวินิจฉัยทางการแพทย์ เมื่อตัวเลขของเวลาที่เหลืออยู่ถูกกำหนดบ่งชี้ จากเดิมเวลาที่ควรจะเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นกลับเปลี่ยนเป็นการเดินถอยหลังนับเข้าหาศูนย์ เมื่อชีวิตถูกตีกรอบจากช่วงเวลาที่ถูกกำหนด ความตายคืบคลานเข้ามาหาทีละเล็กทีละน้อย คอยกัดกินความสุขของเจ้าตัวและคนรอบข้างอย่างโหดร้ายทารุณ การเฝ้ารอความตายของคนอันเป็นที่รักนั้น บางครั้งก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน ประเด็นการเฝ้ารอเวลาที่เดินเบ้เข้าหาศูนย์ การรับมือต่อความเสียใจย่อมเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดก็คงเป็นการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ ให้มีความหมายที่สุดตลอดช่วงเข็มนาฬิกาที่เดินผ่าน
“You gave me a forever within the numbered days, and I'm grateful.” อยู่ดีๆคำพูดขอบคุณจากหญิงสาวผู้เป็นมะเร็งที่มอบให้แก่ คนรักของเธอจากภาพยนตร์เรื่อง The Fault in Our Stars (2014) ก็ผุดขึ้นมาในหัว อาจเพราะว่าความหมายจากประโยคนี้มันช่างสอดคล้องกับประเด็นที่เขียนอยู่ มันคือการ ใช้เวลาทุกวินาทีให้มีคุณค่าที่สุดกับคนที่คุณรักในเวลาที่แน่นอนว่าทุกอย่างมันมีเวลาหมดอายุของมัน จะช้าจะเร็วแตกต่างกันไปตามโชคชะตาที่แต่ละคนได้กุมไว้
<The Time Traveler's Wife> สมรสและภาระ คนรักกับการเสียสละ
“I never wanted to have anything in my life that I couldn't stand losing. But it's too late for that. It's not because you're beautiful and smart. I don't feel alone anymore. Will you marry me?”
-The Time Traveler’s Wife (2009)
มีภาพยนตร์มากมายหลายเรื่องที่ดำเนินเรื่องผ่านกาลเวลาที่บิดเบี้ยว บ้างก็ย้อนกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีต บ้างก็ล่วงหน้าไปทำภารกิจในอนาคตเนื้อหาและข้อคิดที่ภาพยนตร์เหล่านี้ได้ถ่ายทอดออกมาให้ผู้รับชมอย่างเราๆได้รับรู้นั้นต่างก็มีความแตกต่างหลากหลายกันไปตามแต่ที่ผู้กำกับและผู้เขียนบทของภาพยนตร์นั้นๆต้องการนำเสนอ แต่แทบจะทุกเรื่องยังคงประเด็นหลักอยู่ที่ความสำคัญของสิ่งที่เราเรียกว่า ‘เวลา’ นั่นเองซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างรู้เป็นอย่างดีอยู่แล้วว่าในความเป็นจริงนั้นเวลาเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณสมบัติในการไหลย้อนกลับ รวมไปถึงการก้าวกระโดดไปสู่อนาคตโดยที่การละเลยที่จะก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งปัจจุบันกาลไปได้ สิ่งมีชีวิตทุกๆหน่วยบนโลกใบนี้ต่างถูกยึดติดกับช่วงเวลาๆหนึ่ง ทำได้เพียงสัมผัสช่วงเวลาในช่วงสั้นๆที่ต่อเนื่องอย่างไม่มีท่าทีที่จะหยุด มันไม่ใช่อนาคตแต่เป็นช่วงเวลาปัจจุบันที่ยาวนาน และแน่นอนว่าช่วงเวลาปัจจุบันที่ไหลผ่านกลับกลายเป็นอดีตและปัจจุบันที่กำลังจะก้าวถึงก็คงหมายถึงอนาคต ทุกอย่างที่ถูกยึดติดเข้ากับกาลเวลาย่อมเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอไม่ต่างอะไรกับแผ่นฟิล์มที่ไหลผ่านตามเข็มวินาทีที่หมุนเปลี่ยน และเมื่อการเดินทางผ่านกาลเวลาในความเป็นจริงมันเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย ดังนั้นภาพยนตร์ที่เล่นกับเนื้อหาการเดินทางข้ามเวลาย่อมเป็นสิ่งเติมเต็มจินตนาการให้แก่พวกเราผู้รับชมได้อย่างเป็นที่น่าพึงพอใจ และที่สำคัญมันสามารถแฝงข้อคิดคำสอนให้คนดูได้สำนึกตรึกตรองถึงความสำคัญของเวลา แต่บางครั้งการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์ประเภทนี้ก็ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยเทคนิคที่แสนจะแพรวพราว ไซไฟจัดเต็มแต่มันกลับดูไกลตัวพวกเราเกินไป แต่ก็ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่สามารถเล่าเรื่องเดินบทด้วยความแปลกใหม่แต่กลับรู้สึกได้ว่ามันใกล้ตัวมาก มากเสียจนผู้รับชมสัมผัสได้ อาจจะไม่ใช่ด้วยมือ แต่กลับสัมผัสได้โดยใช้ความคิดและประสบการณ์ที่สั่งสมมาของผู้ที่ได้มีโอกาสสัมผัสรับชม
The Time Traveler’s Wife ถือเป็นหนึ่งในผลงานภาพยนตร์ที่ดำเนินเรื่องเกี่ยวกับการกระโดดข้ามเวลาของชายหนุ่มผู้โชคร้ายคนหนึ่งอย่างเฮนรี่ โดยที่เฮนรีนั้น ตัวเขามีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งก็คือการกระโดดย้อนไปในอดีตหรือข้ามไปยังอนาคต แต่ก็น่าเสียดายที่ตัวเขาเองนั้นไม่สามารถบังคับกำหนด การเดินทางข้ามเวลาของเขาเองได้ว่า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และเขาจะตื่นขึ้นมา ณ ช่วงเวลาใด และตื่นขึ้นมาที่ไหน และที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คงเป็นการที่ทุกครั้งที่ตัวเขาเดินทางนั้น เฮนรีไม่สามารถนำสิ่งใดในช่วงปัจจุบันกาลนั้นติดตัวเขาไปด้วยได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ทรัพย์สินเงินทอง หรือแม้กระทั่ง คนสำคัญ ถ้าจะพูดให้เห็นภาพมากขึ้นก็คงจะต้องอธิบายว่า เฮนรีเดินทางอย่างโดดเดี่ยวทุกครั้ง เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในสภาพตัวเปล่าการดิ้นรนย่อมเกิด การหาเสื้อผ้าเป็นสิ่งจำเป็นถ้าไม่เช่นนั้น อาจจะสร้างปัญหาแก่ตัวเขาเองไม่มากก็น้อย การดิ้นรนต่อการเปลี่ยนแปลงถ้ามองดีๆแล้วการที่เฮนรีเดินทางข้ามเวลาโดยไม่ได้สมัครใจนั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรชะตาชีวิตของตัวพวกเราทุกคนนักหรอก เพราะการเดินทางข้ามเวลานั้นถ้าเทียบกับความเป็นจริงแล้วมันก็เหมือนกับการที่เราต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ที่คอยถาโถมเข้ามาให้พวกเราต้องดิ้นรนปรับตัวกันอยู่อย่างไม่มีวันหยุดหย่อน ยิ่งถ้าหัวใจเฮนรี่เต้นแรงมากขึ้นเท่าไหร่ การเดินทางก็ย่อมเกิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงก็คงเกิดจากความไม่มั่นคงในชีวิตของพวกเราทุกคน กราฟชีวิตที่ดีดเด้งขึ้นลง สูงต่ำ ราวกับกราฟการเต้นของหัวใจที่กำลังเต้นด้วยความเร็วสูง และแน่นอนว่าเมื่อชีวิตขาดความแน่นอน เมื่อกราฟหัวใจดีดดิ้นเร็วเกินรับไหว การเดินทางข้ามเวลาหรือการเปลี่ยนแปลงของชีวิตเป็นสิ่งที่ตามมา แต่เวลาใดเมื่อกราฟชีวิตเริ่มนิ่ง เมื่อการปรับตัวต่อสภาพสังคมของเฮนรีในช่วงเวลานั้นผ่านไปอย่างราบรื่นละไม่มีเรื่องราวอะไรมารบกวนใจ การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นแต่อย่างใด แต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกิน ทั้งในภาพยนตร์และชีวิตจริง ที่ชีวิตๆหนึ่งจะเดินทางเป็นเส้นตรงได้โดยที่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย เพราะทุกๆวันนี้สถานการณ์ต่างๆ ต่างบีบคั้นนักเดินทางอย่างเราๆเสมอให้ตัวเองนั้น ขีดกราฟชีวิตให้สูงขึ้นและต่ำลง เราถูกบีบบังคับให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน รวมไปถึง การใช้ชีวิตโดยทั่วไป
การที่เฮนรีตื่นมาโดยปราศจากสิ่งรอบตัวใดๆที่เขาเคยครอบครองคงหมายถึงความยากลำบากในช่วงแรกของการผันเปลี่ยน ซึ่งตัวอย่างโดยตรงที่ผมได้เคยสัมผัสมาก็คงเป็นการทำงานวันแรก ช่วงเวลาการนั่งโดดเดี่ยวคนเดียวกลางสถานที่ทำงานอันเงียบสงัด ไร้ซึ่งคนรู้จัก และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาทำอะไรที่ตรงนี้สภาพแบบนี้ที่ผมเคยได้พบเจอ มันก็คงไม่ต่างกับการตื่นมาในสภาพเปลือยเปล่าและไม่รู้วันเวลาของเฮนรีแต่อย่างใด แต่เมื่อเวลาผ่านไป การปรับตัวในสถานที่ทำงาน การเรียนรู้มันทำให้ทุกอย่างดูนิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว กราฟชีวิตในช่วงเวลานี้คงดูสงบนิ่ง แต่ก็ไม่เสมอไปเพราะเราไม่รู้หรอกว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่ มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นวงจรชีวิตที่ไม่มีวันจบตราบใดที่ยังถูกกระตุ้นโดยอัตราการเต้นความเร็วของหัวใจอยู่
สมรสและภาระ คนรักกับการเสียสละ
แต่การเดินทางข้ามเวลาของเฮนรีนั้น ถึงแม้ว่ามันสร้างความลำบากใจต่อเฮนรีเป็นอย่างมากแต่ตัวเขานั้นก็สามารถรับมือกับมันได้เป็นอย่างดี แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อ เขาได้พบเจอกับแคลร์ ในช่วงเวลาปัจจุบัน ที่จริงนั้นทั้งสองเคยได้พบเจอกันมาแล้วสมัยที่แคลร์นั้นยังเป็นเด็กและเป็นช่วงเวลาที่เธอพบเจอเฮนรีในอนาคตกระโดดย้อนเวลากลับไปพบเจอ เมื่อทั้งสองพบเจอกันในช่วงเวลาที่อายุใกล้เคียงกัน ความรักของทั้งสองก็ย่อมเกิด และพวกเขาทั้งสองก็ตกลงปลงใจแต่งงานกันในที่สุด ซึ่งหลังจากช่วงนี้ของหนังเป็นต้นไป ประเด็นหลักของเรื่องได้ถูกเผยออกมาอย่างชัดเจน
ชีวิตนักเดินทางอย่างเฮนรีถ้าเทียบในความเป็นจริงแล้วก็คงเปรียบได้กับชายหนุ่มผู้มีปมด้อยและพยายามลบปมด้อยตนเองด้วยความทะเยอทะยานและแน่นอนมันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งแต่เดิมที่นั้นตัวเขาเองไม่เคยมีปัญหาแม้ว่าต้องเดินทางหายไปนานเพียงใด สุดท้ายตัวเฮนรีก็กลับมาอย่างปลอดภัย แต่เมื่อชีวิตของเขาไม่ได้มีแค่ตัวเขาอีกต่อไป แคลร์เปรียบเสมือนคนรักที่ต้องทำใจยอมรับชีวิตที่เต็มไปด้วยการจากลาอย่างไม่รู้วันเวลาว่าเมื่อไหร่ที่เธอจะได้พบเจอกับคนที่เธอรักอีกครั้ง และเมื่อไหร่ที่คนรักของเธอต้องจากเธอไปอีกครั้ง ซึ่งชื่อเรื่อง The Time Traveler’s Wife ก็ฟ้องให้เห็นอยู่แล้วว่าประเด็นหลักของเรื่องคือประเด็นของภรรยาของนักเดินทางข้ามเวลา ว่าตัวเธอนั้นจะรับมือกับชีวิตคู่ที่แสนจะโหดร้ายและไม่ปกตินี้ได้อย่างไร เมื่อการจากลาระหว่างเขาสองคนบางครั้งมันก็นานเกินกว่าที่ตัวเธอจะรับไหว ยิ่งนานวันเข้าตัวเธอได้สะสมความรู้สึกหลายๆอย่างเอาไว้รอวันที่มันจะระเบิดออกมา ไม่ว่าจะเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจหรือความกลัวต่อชะตากรรมของสามีของตัวเธอเอง ยิ่งนานวันความหวานชื่นที่เคยมีกลับกลายเป็นความอึดอัดและเหนื่อยหน่ายไปอย่างน่าเห็นใจ การเปลี่ยนแปลงของชีวิตบางครั้งมันก็นำมาซึ่งการจากลาแบบชั่วคราวเช่นกัน ซึ่งการจากลาบางครั้งมันก็สามารถสร้างปัญหาต่างๆตามมาได้มากมายอย่างไม่ต้องสงสัย หนักเข้าก็ลามไปถึงการทะเลาะเบาะแว้ง และการเลิกรา
ความรักและการเสียสละของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง – คนคนหนึ่ง คนที่คอยเฝ้ารอคนรักอย่างโดดเดี่ยว คนที่ต้องร้องไห้อยู่คนเดียวไร้ซึ่งใครก็ตามมาปลอบโยน – ก็คงเป็นตัวยึดเหนี่ยวให้ชีวิตคู่ของพวกเขา เฮนรี และแคลร์ดำเนินราบรื่นไปได้ถึงแม้ว่าจะมีช่วงกระอักกระอ่วนบ้างแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเลิกรากัน โดยประเด็นทั้งหมดทั้งมวลที่ได้กล่าวไปต่างก็ย้อนกลับไปหาชื่อเรื่องอีกเช่นกัน นับได้ว่าเป็นการตั้งชื่อเรื่องที่ตรงประเด็นมากเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อเข็มเวลาเดินถอยกลับ
ใครๆก็อยากที่จะมีความสามารถที่จะล่วงรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตกันทั้งนั้น เพราะหลายต่อหลายครั้งมันสามารถนำไปใช้หาประโยชน์เข้าตัวได้เหมือนกับที่เฮนรีใช้ในการซื้อสลากเสี่ยงโชคให้ถูกรางวัลที่หนึ่ง แต่ก็เหมือนเป็นตลกร้ายที่สิ่งเดียวที่พวกเราล่วงรู้ได้ในบางครั้งกลับเป็นความตายไม่ต่างกับเฮนรี เขาได้ล่วงรู้ถึงอนาคตอันโหดร้ายของเขาว่าปลายทางชีวิตของตัวเขาเองนั้นอยู่ที่วันเกิดครบห้าปีของลูกสาวของเขาเอง ในความเป็นจริงนั้นความล้ำสมัยของเทคโนโลยีถึงแม้ว่ามันจะก้าวหน้าไปได้ไกลขนาดไหนแต่ก็ยังไม่พอที่จะทำให้เรารับรู้เรื่องในอนาคตได้ทุกเรื่อง แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เราสามารถรับรู้ได้จากความทันสมัยของการแพทย์ นั่นก็คือความตายในอนาคตอันใกล้ ที่ได้ถูกตรวจจับจากการวินิจฉัยทางการแพทย์ เมื่อตัวเลขของเวลาที่เหลืออยู่ถูกกำหนดบ่งชี้ จากเดิมเวลาที่ควรจะเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นกลับเปลี่ยนเป็นการเดินถอยหลังนับเข้าหาศูนย์ เมื่อชีวิตถูกตีกรอบจากช่วงเวลาที่ถูกกำหนด ความตายคืบคลานเข้ามาหาทีละเล็กทีละน้อย คอยกัดกินความสุขของเจ้าตัวและคนรอบข้างอย่างโหดร้ายทารุณ การเฝ้ารอความตายของคนอันเป็นที่รักนั้น บางครั้งก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน ประเด็นการเฝ้ารอเวลาที่เดินเบ้เข้าหาศูนย์ การรับมือต่อความเสียใจย่อมเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดก็คงเป็นการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ ให้มีความหมายที่สุดตลอดช่วงเข็มนาฬิกาที่เดินผ่าน
“You gave me a forever within the numbered days, and I'm grateful.” อยู่ดีๆคำพูดขอบคุณจากหญิงสาวผู้เป็นมะเร็งที่มอบให้แก่ คนรักของเธอจากภาพยนตร์เรื่อง The Fault in Our Stars (2014) ก็ผุดขึ้นมาในหัว อาจเพราะว่าความหมายจากประโยคนี้มันช่างสอดคล้องกับประเด็นที่เขียนอยู่ มันคือการ ใช้เวลาทุกวินาทีให้มีคุณค่าที่สุดกับคนที่คุณรักในเวลาที่แน่นอนว่าทุกอย่างมันมีเวลาหมดอายุของมัน จะช้าจะเร็วแตกต่างกันไปตามโชคชะตาที่แต่ละคนได้กุมไว้