ช่วงเวลาที่ดีที่สุด

กระทู้สนทนา
ช่วงเวลาที่ดีที่สุด  

       ดรัสวันต์


      เชียงใหม่ เมืองที่ใครๆ ก็อยากไปเที่ยว ด้วยความงามของทิวทัศน์ที่เป็นเทือกเขาสูง ลำธาร น้ำตกสวย อีกทั้งเป็นแหล่งอารยธรรมล้านนาที่ร่ำรวยวัฒนธรรมประเพณี อาหารพื้นเมืองแสนอร่อย มีสาวงามและผู้คนที่เต็มไปด้วยไมตรีจิต ดูเหมือนเชียงใหม่จะมีครบถ้วน จึงเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สำคัญ ทั้งคนไทยและต่างชาติ รวมทั้งจอยด้วย
    
       นานเกือบสิบปีมาแล้วที่จอยไม่ได้มาเยือนเชียงใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้จอยมาทำงานที่เชียงใหม่บ่อยๆ แทบจะทุกปี  บางปีสองครั้งด้วยซ้ำ

       ก็จอยเป็นพวกชีพจรลงเท้ายังไงคะ  เกิดมามีชีวิตเพื่อการเดินทาง แล้วได้อานิสงส์จากการเดินทางนี้มาเขียนเล่าเรื่องราวให้เพื่อนๆ ได้รับรู้

       การมาเชียงใหม่ครั้งนี้ จอยจึงทำใจไว้แล้วกับการเปลี่ยนแปลง คาดเดาได้ว่าเชียงใหม่ต้องเจริญมากจนเกือบเท่ากรุงเทพฯ จอยเลือกเดินทางมาถึงในตอนสายของวันทำงานที่รถราเริ่มลดน้อยลงไปจากถนนกันแล้ว อีกทั้งไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว จอยมาเพื่อพักผ่อนและเยี่ยมเยียนเพื่อน คนรู้จัก ไม่จำเป็นต้องมาช่วงเทศกาล เพราะอย่างที่บอก จอยมาเชียงใหม่บ่อยแล้ว เที่ยวมาหมดแล้ว

      พอจอยออกจากเครื่องบินเดินมาตามทางเดินของอาคารผู้โดยสารขาเข้าที่กรุกระจกใส จอยหันไปมองดอยสุเทพแล้วยิ้มกับตัวเอง ดอยสูงคู่บ้านคู่เมืองแห่งนี้ กี่ปีกี่ปีก็ยังตระหง่านงดงามอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เจดีย์วัดพระธาตุดอยสุเทพ ที่มองเห็นสีทองมลังเมลืองอยู่บนยอดเขาไกลๆ นั้นดูตัดกับความเขียวขจีของต้นไม้ที่ห่มคลุมขุนเขา ก่อให้เกิดความรู้สึกที่เปี่ยมล้นด้วยศรัทธาที่มีต่อผู้ที่บากบั่นฟันฝ่าความยากลำบากในยุคนั้นขึ้นไปสร้างวัดบนยอดเขาสูงเช่นนี้

      จากสนามบิน จอยมีรุ่นพี่ที่เคยทำงานด้วยกันมารับไปเช็คอินโรงแรมหรู ซึ่งช่วงนี้เป็น low season ทำให้ราคาห้องพักที่เคยแพงลิ่ว ลดลงมาครึ่งหนึ่งเลย แล้ววันนั้นทั้งวันจอยก็ใช้เวลาคุยกับพี่ที่ห่างหายกันไปนาน เราทานข้าวกัน คุยกันไม่รู้เบื่อ ตกเย็นก็พากันไปช้อปปิ้งสินค้าพื้นเมือง

       เชียงใหม่วันนี้เท่าที่จอยเห็น มีความเปลี่ยนแปลงด้านวัตถุมากเหลือเกิน มีตึกสูงของคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเม้นท์เกิดขึ้นมากมายราวดอกเห็ด เป็นตึกสวยทันสมัยที่ไม่ต่างจากแถวสีลม รถราที่มีจำนวนมากเกินขนาดและปริมาณถนนที่รองรับ ถนนหลายสายจึงต้องปรับให้เป็นวันเวย์ นักท่องเที่ยวทั้งชาติตะวันตกและเอเชียมีให้เห็นอยู่ตลอด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่หลั่งไหลมาเที่ยวเชียงใหม่เป็นแสนคนนั้น แม้จะนำพาเงินให้ไหลเข้าประเทศ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่านักท่องเที่ยวชาวจีนไม่ใช่นักท่องเที่ยวคุณภาพนัก จึงสร้างปัญหาให้แก่เมืองเชียงใหม่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อนักท่องเที่ยวเหล่านี้สามารถเช่ามอเตอร์ไซค์ขับเล่นฉวัดเฉวียนจนเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง

       แต่ถึงแม้ความเจริญเหล่านี้ดูเหมือนจะกลบเอกลักษณ์ของเชียงใหม่ แต่ก็ไม่ทั้งหมด จอยยังได้เห็นร้านค้าขายสินค้าหัตถกรรมที่นักท่องเที่ยวยังคงชอบซื้อ สินค้าแฮนด์เมดที่ทำให้ทึ่งในความวิริยะอุตสาหะ อย่างผ้าปักมือ จอยหมดเงินไปกับผ้าลายจกทอมือ ผ้าซิ่นปักมือทั้งผืน (สนองนโยบายของรัฐที่ให้แต่งผ้าไทยค่ะ) นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟน่ารักๆ ร้านอาหารพื้นเมืองเก๋ๆ ที่เจ้าถิ่นคนพาเที่ยวพาไปสัมผัสจนจอยอิ่มท้องและอิ่มใจจนคิดว่าเชียงใหม่ยังคงน่าเที่ยว  ส่วนที่เงียบเหงาไปมากจนน่าใจหายคือไนท์บาซ่าร์ เพราะหลังๆ มานี่ คนนิยมไปเดินถนนคนเดินกันมากกว่า

        สัมผัสตัวเมืองกันแล้ว คืนต่อมาจอยขอไปสัมผัสธรรมชาติบ้าง วันพักผ่อนที่จอยอยากจะดื่มด่ำกับธรรมชาติขุนเขาและธารน้ำตก จอยเลือกไปพักรีสอร์ตแถวแม่ริม

       เมื่อเดินทางมาถึงรีสอร์ต จอยมองไปรอบบริเวณที่อาคารตกแต่งด้วยโทนสีธรรมชาติ  ซุกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับงดงามและสงบเงียบอย่างที่จอยต้องการ ห้องพักที่มีระเบียงเปิดออกมาชมวิวภูเขา ซึ่งก่อนหน้านี้มีฝนตกลงมา ยิ่งทำให้รอบตัวชุ่มฉ่ำ มีหมอกบางๆ ก่อตัวแต่งแต้มอยู่ตามแนวเขา

       วันเวลาแห่งการพักผ่อน จอยทอดเอนตัวลงบนเก้าอี้นอนนอกระเบียงชมวิว มองภูเขา ปล่อยใจให้ล่องลอยไปถึงอดีตครั้งแล้วครั้งเล่าที่ได้มาเยือนเชียงใหม่ และคงไม่มีครั้งไหนที่จะสนุกสนานน่าประทับใจเท่าการมาพร้อมกับแก๊งค์ Fantastic 4 ของจอย ซึ่งประกอบด้วยเพื่อนสาวสองคนคือ อ๋อย กับเรยา และหนุ่มเดียวของแก๊งค์คือ ต้อม

       เราสี่คนทำงานหน่วยงานเดียวกันแต่อยู่คนละสาขาที่กระจายตัวกันอยู่รอบกรุงเทพมหานคร เพราะฉะนั้นเราไม่ได้เจอกันทุกวัน แต่จะเจอกันเดือนละครั้งเวลามีประชุม กับเวลาที่มีการอบรมสัมมนาตามต่างจังหวัด ซึ่งเป็นโอกาสที่เราจะได้ไปเฮฮากันตามประสาหนุ่มโสดสาวโสดที่เพิ่งเริ่มทำงาน

       จำได้ว่าครั้งแรกที่เราสนิทกันมากขึ้นก็ตอนเราไปร่วมการสัมมนาระดับชาติที่พัทยา ผู้เข้าร่วมสัมมนาเกินกว่า 200 คน จากหลายหน่วยงานของภาครัฐ  ตอนนั้นจอยเพิ่งเข้าไปทำงานได้ไม่กี่เดือน ยังเด๋อด๋า ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร จอยไปนั่งร่วมโต๊ะกับหญิงสาวที่จอยคุ้นหน้าว่าเราอยู่หน่วยงานเดียวกันแต่คนละสาขา ส่วนอ๋อย เรยากับต้อม นั่งโต๊ะถัดไป เราทักทายกันตามประสาคนเคยเห็นหน้ากันทุกครั้งที่จอยไปร่วมประชุมในแต่ละเดือน
    
       พอการสัมมนาช่วงเช้าเสร็จสิ้นลง ถึงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน จอยถูกอ๋อยดึงออกไปพร้อมกับบอกว่า

      ‘อาหารโรงแรมไม่อร่อย เราไปหาส้มตำกินกันดีกว่า’
    
       จอยตาวาวขึ้นมาทันทีกับอาหารจานโปรดตลอดกาลชนิดนี้  แล้วเราสี่คนก็พากันเดินออกจากโรงแรมหรูริมทะเลพัทยาไปนั่งจ่อมอยู่ในซอยข้างๆ โรงแรมที่มีรถเข็นขายไก่ย่างส้มตำ ระหว่างทานไปอ๋อยก็เริ่มเปิดประเด็นว่า
    
      ‘จอย เราปรึกษากันแล้วนะว่าเดี๋ยวกลับไปที่ห้องสัมมนา จอยมานั่งกับพวกเราเถอะ อย่าไปนั่งกับพี่แจ้ดเลย’

          ‘ทำไมเหรอ’ จอยถาม ทำหน้าเหรอหราไม่เข้าใจ
    
      อ๋อยทำหน้าอธิบายยาก เรยาจึงเป็นฝ่ายกระซิบบอกว่า

     ‘ก็พี่แจ้ดน่ะซิ เห็นหนุ่มๆ เป็นไม่ได้ เห็นตำรวจที่นั่งข้างๆ ไหม’ จอยพยักหน้า งานนี้มีตำรวจเข้าร่วมสัมมนาประมาณ 10 คน แต่งเครื่องแบบติดยศดูโก้ไม่น้อย ไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมสาวๆ จะไม่ส่งสายตาให้ ‘พี่แจ้ดคอยชม้ายชายตาชวนเขาคุย น่าเกลียดที่สุด’
    
      จอยไม่เข้าใจว่าพี่แจ้ดกับจอยเกี่ยวกันตรงไหน
    
     ‘ถ้าพี่แจ้ดเขาอยากจะคุยกับหนุ่มก็เรื่องของเขา’

     ‘แต่จอยนั่งคู่กับพี่เขาแบบนั้น พวกเราไม่อยากให้คนอื่นมองว่าจอยเป็นแบบพี่แจ้ดด้วย’ อ๋อยอธิบาย
    
     ‘เพราะฉะนั้น เดี๋ยวจอยมานั่งกับพวกเรา’ เรยาสรุป
    
     จอยพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง  ไม่นึกว่าเพื่อนๆ จะห่วงใยช่วยกันปกป้องจอยขนาดนี้  ซึ้งใจจริงๆ
    
     ‘แล้วถ้าจอยไปนั่งด้วย แล้วต้อมล่ะ จะไปนั่งที่ไหน’ เพราะโต๊ะแต่ละชุดมีเก้าอี้สามตัว จอยหันไปมองต้อมที่นั่งเงียบมาตลอด

     แต่อ๋อยชิงตอบแทนว่า
    
     ‘เรื่องของมัน เป็นผู้ชายก็หาที่นั่งเอาเองซิ’  เป็นเรื่องปกติที่ทั้งแก็งค์จะพูดจากันแบบนี้ จอยเริ่มจะชินแล้ว

         ‘ไม่ต้องห่วง ที่นั่งเยอะแยะ’ ต้อมรีบโบกมือ ไม่อยากให้จอยเป็นกังวล

      ดังนั้นช่วงสัมมนายามบ่าย จอยย้ายไปนั่งร่วมกับเพื่อนสาวทั้งสอง ซึ่งพี่แจ้ดก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะช่วงบ่ายมีคนโดดสัมมนาเยอะ เก้าอี้ว่าง รวมทั้งโต๊ะถัดไปที่ต้อมย้ายไปนั่งแล้วให้จอยมานั่งแทนที่เขา

      แล้วงานสัมมนา 3 วัน 2 คืน ก็ผ่านไปอย่างสนุกสนาน และจอยก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Fantastic 4 นับแต่นั้นมา



      เราทั้งสี่นัดเจอกัน ทานข้าวกันเป็นครั้งคราว จนกระทั่งเดือนธันวาคมมาถึง  ทำให้จอยค้นพบว่าเราสามคนเกิดเดือนเดียวกัน  อ๋อยเกิดวันเดียวกันกับจอย แต่เป็นน้องจอยหนึ่งปี  ส่วนต้อมเกิดก่อนเราสามวัน

      แบบนี้ต้องฉลอง เรานัดเจอกันแถวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทั้งหมดหิ้วถุงของขวัญมากันพะรุงพะรัง ส่วนเรยาที่ไม่ได้เกิดเดือนนี้ก็ถูกบังคับกลายๆ ให้มาร่วมฉลองพร้อมกัน ทุกคนเตรียมของขวัญมาคนละสามชิ้น พอเจอกันครบแล้วเราก็มีการถ่ายรูปตรงนั้น โดยมีอนุสาวรีย์เป็นฉากหลัง เป็นที่ครื้นเครงอย่างยิ่ง

      จากนั้นเราจะพากันนั่งรถเมล์ไปยังร้านอาหารเก๋ๆ อินดี้ๆ ที่ต้อมไปสืบเสาะมาว่าร้านนี้เหมาะสำหรับงานเลี้ยงวันเกิดของเรา ตอนที่อยู่บนรถเมล์ เราก็ยังถ่ายรูปกันไปหัวเราะกันไป โดยไม่แคร์สายตาชาวบ้าน ซึ่งบนรถเมล์ตอนเลิกงานค่อนข้างแน่นไม่น้อย ผู้คนต้องช่วยกันแหวกทางให้เราได้ถ่ายรูปกัน
คนไทยนี่มารยาทดีมีน้ำใจกันจริงๆ แล้วเราก็หัวเราะกันอีกเหมือนไปกินกัญชามาอย่างไรอย่างนั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่