*****
*** พูดดี คิดดี ทำดี ย่อมจะบังเกิดสิ่งที่ดี***
***สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล หมายถึง คำพูดและกิริยาที่แสดงออกทำให้ทราบชาติกำเนิด***
*****
"เห็นด้วยแนวคิดของอ.นะ"
เมื่ออาจารย์จากจุฬาฯ โพสต์ข้อความว่า “ผมควรไปเป็น อ.ราชภัฏ” จะดีกว่า
ศ.ดร.สมภาร พรมทา อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ให้ความเห็นในประเด็นดังกล่าวอย่างน่าสนใจ ระบุว่า
อยากพูดเรื่องมหาวิทยาลัยราชภัฏสักหน่อยครับ และที่จะพูดต่อไปนี้ผมประสงค์จะพูดกับผู้บริหารการศึกษาที่ดูแลการศึกษาของชาติเป็นหลัก
หลายปีมานี้ผมมีโอกาสไปช่วยสอนในราชภัฏหลายแห่ง(ขอเรียกสั้นๆ นะครับ)ที่ไปสอนนี้ไปสอนพิเศษในหลักสูตรที่สูงกว่าปริญญาตรี การได้ไปรู้จักครูบาอาจารย์ตลอดจนนักศึกษาราชภัฏให้ภาพบางอย่างในใจของผมที่นับวันก็รุนแรงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ภาพแรกคือความดิ้นรนของชาวราชภัฏที่จะพัฒนาตนให้ทัดเทียมมหาวิทยาลัยที่ไม่ใช่ราชภัฏ ความดิ้นรนของคนที่ถูกมองว่าอยู่ต่ำกว่าเขานี่ผมรักมาก
นี่คือเหตุผลที่ผมได้ปวารณาตัวแก่ราชภัฏเท่าที่ผมรู้จักว่าผมยินดีมาช่วยเต็มกำลังหากสุขภาพยังแข็งแรง เวลานี้มีนักศึกษาปริญญาเอกของราชภัฏหลายคนติดต่อเขียนจดหมายมาปรึกษาผมในการทำวิทยานิพนธ์อยู่ต่อเนื่องอันเป็นเรื่องที่ผมยินดีช่วยเหลือตามที่ปวารณา
ราชภัฏเกิดตามธรรมชาติเหมือนโรงเรียนวัดหรือโรงเรียนบ้านนอกที่เกิดตามธรรมชาติ สังคมนั้นจัดการแยกชั้นของผู้คนเองคนมีเงินก็มีโอกาสมากกว่า นักศึกษาราชภัฏนั้นคือเด็กที่ด้อยโอกาสเพราะเกิดนอกเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพ หรือหากเกิดในเมืองก็มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี แม้หัวพอไปได้ก็ย่อมสู้ลูกหลานคนมีเงินที่สติปัญญาพอๆ กันไม่ได้
ผมสอนจุฬา ผมไม่เคยภูมิใจว่าได้สอนมหาวิทยาลัยชั้นนำเลย ตรงข้าม กลับรู้สึกว่าตนผิด ผมควรไปสมัครเป็นอาจารย์ราชภัฏ แต่ผมก็ไม่ทำ
ที่พูดมานี้ผมต้องการให้ผู้บริหารการศึกษามองราชภัฏอย่างคนมีความรู้ทางสังคมวิทยาบ้าง ผมเห็นกรรมการที่ตั้งไปจากมหาวิทยาลัยอย่างจุฬาไปไล่บี้ราชภัฏเวลาตรวจประเมินคุณภาพการศึกษาแล้วเศร้าใจ
เหมือนอาจารย์ที่จบจากเมืองนอกพูดฝรั่งคล่อง ไปตรวจเด็กประถมที่โรงเรียนบ้านโนนหินแห่ แล้วตกใจจะเป็นลมเมื่อลองให้เด็กพูดอังกฤษให้ฟัง เด็กมันจะพูดได้อย่างไรครับ และที่พูดไม่ได้ก็ไม่ใช่ความผิดของใครด้วย ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เราควรเห็นใจ เข้าใจ พยายามคิดหาทางช่วย ไม่ใช่ไปไล่บี้เขา
แค่เห็นใจแล้วคิดช่วยอะไรก็คงพอไปได้ และดีวันดีคืน เพื่อให้เห็นตัวอย่างว่าผมไม่ใช่สักแต่พูด ผมขอเสนอให้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ออกระเบียบต่อไปนี้
1. อาจารย์มหาวิทยาลัยของรัฐถือเป็นสมบัติชาติ ดังนั้นต้องย้ายที่ทำงานได้ เช่นย้ายผมจากจุฬาไปราชภัฏบุรีรัมย์ได้ แล้วย้ายอาจารย์จากบุรีรัมย์มาที่จุฬาได้เช่นกัน
2. การย้ายอาจมีผลต่อการพัฒนาวิชาการโดยรวมได้ ดังนั้น การย้ายควรทำหลังจากที่อาจารย์ได้รับการประเมินตำแหน่งทางวิชาการแล้ว เช่นเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่จุฬาแล้วอยู่จุฬาเกินสามปีไม่ได้ ต้องย้าย
3. ทำได้อย่างนี้จะเกิดความเสมอภาคทางการศึกษา พ่อแม่เด็กก็จะเลิกกลุ้มใจหาที่เรียนให้ลูก เรียนที่ไหนไม่ต่างกัน
ลองดูไหมครับ ไม่ต้องกลัวว่าการศึกษาชาติจะตกต่ำ ผมไปอยู่ราชภัฏแล้วสติปัญญาผมจะด้อยลงหรือ อยู่ไหนผมก็คิดและทำงานวิชาการได้
ขอบคุณที่มาจากเฟสบุ๊ค ศ.ดร.สมภาร พรมทา
เครดิตhttp://www.thaijobsgov.com/jobs=22778
เมื่ออาจารย์จากจุฬาฯ โพสต์ข้อความว่า “ผมควรไปเป็น อ.ราชภัฏ” จะดีกว่า
*** พูดดี คิดดี ทำดี ย่อมจะบังเกิดสิ่งที่ดี***
***สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล หมายถึง คำพูดและกิริยาที่แสดงออกทำให้ทราบชาติกำเนิด***
"เห็นด้วยแนวคิดของอ.นะ"
เมื่ออาจารย์จากจุฬาฯ โพสต์ข้อความว่า “ผมควรไปเป็น อ.ราชภัฏ” จะดีกว่า
ศ.ดร.สมภาร พรมทา อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ให้ความเห็นในประเด็นดังกล่าวอย่างน่าสนใจ ระบุว่า
อยากพูดเรื่องมหาวิทยาลัยราชภัฏสักหน่อยครับ และที่จะพูดต่อไปนี้ผมประสงค์จะพูดกับผู้บริหารการศึกษาที่ดูแลการศึกษาของชาติเป็นหลัก
หลายปีมานี้ผมมีโอกาสไปช่วยสอนในราชภัฏหลายแห่ง(ขอเรียกสั้นๆ นะครับ)ที่ไปสอนนี้ไปสอนพิเศษในหลักสูตรที่สูงกว่าปริญญาตรี การได้ไปรู้จักครูบาอาจารย์ตลอดจนนักศึกษาราชภัฏให้ภาพบางอย่างในใจของผมที่นับวันก็รุนแรงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ภาพแรกคือความดิ้นรนของชาวราชภัฏที่จะพัฒนาตนให้ทัดเทียมมหาวิทยาลัยที่ไม่ใช่ราชภัฏ ความดิ้นรนของคนที่ถูกมองว่าอยู่ต่ำกว่าเขานี่ผมรักมาก
นี่คือเหตุผลที่ผมได้ปวารณาตัวแก่ราชภัฏเท่าที่ผมรู้จักว่าผมยินดีมาช่วยเต็มกำลังหากสุขภาพยังแข็งแรง เวลานี้มีนักศึกษาปริญญาเอกของราชภัฏหลายคนติดต่อเขียนจดหมายมาปรึกษาผมในการทำวิทยานิพนธ์อยู่ต่อเนื่องอันเป็นเรื่องที่ผมยินดีช่วยเหลือตามที่ปวารณา
ราชภัฏเกิดตามธรรมชาติเหมือนโรงเรียนวัดหรือโรงเรียนบ้านนอกที่เกิดตามธรรมชาติ สังคมนั้นจัดการแยกชั้นของผู้คนเองคนมีเงินก็มีโอกาสมากกว่า นักศึกษาราชภัฏนั้นคือเด็กที่ด้อยโอกาสเพราะเกิดนอกเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพ หรือหากเกิดในเมืองก็มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี แม้หัวพอไปได้ก็ย่อมสู้ลูกหลานคนมีเงินที่สติปัญญาพอๆ กันไม่ได้
ผมสอนจุฬา ผมไม่เคยภูมิใจว่าได้สอนมหาวิทยาลัยชั้นนำเลย ตรงข้าม กลับรู้สึกว่าตนผิด ผมควรไปสมัครเป็นอาจารย์ราชภัฏ แต่ผมก็ไม่ทำ
ที่พูดมานี้ผมต้องการให้ผู้บริหารการศึกษามองราชภัฏอย่างคนมีความรู้ทางสังคมวิทยาบ้าง ผมเห็นกรรมการที่ตั้งไปจากมหาวิทยาลัยอย่างจุฬาไปไล่บี้ราชภัฏเวลาตรวจประเมินคุณภาพการศึกษาแล้วเศร้าใจ
เหมือนอาจารย์ที่จบจากเมืองนอกพูดฝรั่งคล่อง ไปตรวจเด็กประถมที่โรงเรียนบ้านโนนหินแห่ แล้วตกใจจะเป็นลมเมื่อลองให้เด็กพูดอังกฤษให้ฟัง เด็กมันจะพูดได้อย่างไรครับ และที่พูดไม่ได้ก็ไม่ใช่ความผิดของใครด้วย ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เราควรเห็นใจ เข้าใจ พยายามคิดหาทางช่วย ไม่ใช่ไปไล่บี้เขา
แค่เห็นใจแล้วคิดช่วยอะไรก็คงพอไปได้ และดีวันดีคืน เพื่อให้เห็นตัวอย่างว่าผมไม่ใช่สักแต่พูด ผมขอเสนอให้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ออกระเบียบต่อไปนี้
1. อาจารย์มหาวิทยาลัยของรัฐถือเป็นสมบัติชาติ ดังนั้นต้องย้ายที่ทำงานได้ เช่นย้ายผมจากจุฬาไปราชภัฏบุรีรัมย์ได้ แล้วย้ายอาจารย์จากบุรีรัมย์มาที่จุฬาได้เช่นกัน
2. การย้ายอาจมีผลต่อการพัฒนาวิชาการโดยรวมได้ ดังนั้น การย้ายควรทำหลังจากที่อาจารย์ได้รับการประเมินตำแหน่งทางวิชาการแล้ว เช่นเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่จุฬาแล้วอยู่จุฬาเกินสามปีไม่ได้ ต้องย้าย
3. ทำได้อย่างนี้จะเกิดความเสมอภาคทางการศึกษา พ่อแม่เด็กก็จะเลิกกลุ้มใจหาที่เรียนให้ลูก เรียนที่ไหนไม่ต่างกัน
ลองดูไหมครับ ไม่ต้องกลัวว่าการศึกษาชาติจะตกต่ำ ผมไปอยู่ราชภัฏแล้วสติปัญญาผมจะด้อยลงหรือ อยู่ไหนผมก็คิดและทำงานวิชาการได้
ขอบคุณที่มาจากเฟสบุ๊ค ศ.ดร.สมภาร พรมทา
เครดิตhttp://www.thaijobsgov.com/jobs=22778