ภาพเปิดตอนนี้
ได้หน้าสีกลางเล่มพร้อมหน้าเพิ่มเป็น 23 หน้าด้วย
- เปิดตอนต่อจากตอนที่แล้วที่พระเอกโดดกอดมั่วไปกอดเพื่อนคนพี่เข้า แถมยังทำกระโจมอกเค้าหลุดลงมากองกับพื้นจนอล่างฉ่างเต็มๆ อีก
- พระเอกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเพราะนึกว่าเข้าผิดห้อง เลยตัดบทขอโทษแล้วทำท่าจะผละไป แต่เพื่อนคนพี่เรียกไว้ก่อนบอกว่าไม่ได้เข้าผิดห้องหรอก แล้วลากตัวพระเอกเข้าห้องมาคุยกัน (ในเรื่องบอกว่าเพื่อนคนพี่จองห้องพักไว้แล้ว แต่เกิดผิดพลาดทำให้ห้องที่จองไว้โดนคนอื่นเอาไป เลยต้องมาอาศัยห้องคนพี่อยู่จนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้)
- เพื่อนคนพี่ก็ถามพระเอกว่าเป็นแฟนกับคนพี่แล้วจะเอายังไงต่อไป มีแผนชีวิตยังไงต่อ พระเอกก็ตอบได้แค่อยากเป็นนักเขียนนิยายมืออาชีพกับเรื่องแต่งงานกับคนพี่แค่นั้น แต่พอโดนถามมากกว่านั้นก็ตอบอะไรไม่ได้ เลยโดนต้อนเป็นชุดๆ จนเถียงอะไรไม่ออก
- กว่าคนพี่จะกลับบ้านมาตีระฆังช่วย พระเอกก็โดนจิกเละตุ้มเป๊ะจนเป็นแบบภาพข้างล่างไปเรียบร้อยแล้ว
- ถึงสุดท้ายคนพี่ต้องช่วยพูดจนกลับมาเก๊กหล่อเหมือนเดิมได้ แต่ก็โดนเพื่อนคนพี่ตีตกไปจนละลายเป็นน้ำเหมือนเดิม
- เพื่อนคนพี่บอกว่าตัวเธอเองไม่ได้ว่าอะไรเรื่องที่พระเอกกับคนพี่อยากแต่งงานกันหรืออยากเขียนนิยายเลี้ยงครอบครัวหรอก ปัญหาอยู่ที่วิสัยทัศน์ของพระเอกต่างหากล่ะ เธอมองว่าพระเอกยังคิดอะไรง่ายเกินไป ทุกวันนี้การเขียนนิยายเลี้ยงตัวไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ นักเขียนที่มีชื่อในวงการได้ตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ น่ะมีแต่คนที่ได้รางวัลนักเขียนตั้งแต่อายุช่วงเลขสิบทั้งนั้น ไม่งั้นก็แทบไม่มีทางขายงานได้เลย ขืนมัวแต่โอ้เอ้ลอยชายคิดแค่ว่า
"อยากเป็นนักเขียนนิยายจังน้า" ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้มีประสบการณ์หรือผลงานอะไรแล้วละก็ หนทางสู่การเป็นนักเขียนก็เป็นได้แค่ฝันที่ไกลเกินเอื้อมแค่นั้นแหละ
- พระเอกได้ฟังดังนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบอย่างอับจนถ้อยคำ เพื่อนคนพี่เห็นแบบนั้นก็บอกว่าแต่ถึงยังไงในใจเธอก็เชียร์พระเอกกับคนพี่ให้ได้อยู่ด้วยกันนะ ถึงได้ต้องเข้มงวดแบบนี้ ถึงเงินจะไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีเงินเลยก็คงไม่มีกำลังใจอะไรเหลืออยู่อีก ดังนั้นถึงต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้ทั้งสองคนเห็นความสำคัญของการสร้างอนาคต เพื่อที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขจนวินาทีสุดท้าย
- ฉากตัดมาที่โรงเรียนในวันรุ่งขึ้น พระเอกไปเข้าชมรมทั้งที่ยังออกอาการจิตตกเพราะคิดมากเรื่องที่เพื่อนคนพี่บอก จนยัยเอ๋อออกปากทักว่าเป็นอะไรไป พระเอกก็หันไปถามยัยเอ๋อดื้อๆ ว่าอนาคตตั้งใจจะทำไง ยัยเอ๋อก็งงที่อยู่ๆ พระเอกถามเรื่องนี้ขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ก็ตอบว่าคงต้องเข้ามหาลัยให้ได้ล่ะมั้ง
- แต่ยังไม่ทันคุยต่อ อ.คิริยะที่ปรึกษาชมรมก็เข้ามาเสียก่อน บอกว่างานประกวดนิยายของนิตยสารที่คนในชมรมส่งเข้าประกวดนั้นประกาศผลรางวัลแล้ว
- และคนที่ได้รางวัลชนะเลิศก็คือ...คนน้องนั่นเอง (เขียนเป็นเรื่องแรกก็ได้รางวัลเลย พรสวรรค์จริงๆ แฮะ)
- ทุกคนในชมรมดีใจกันมาก ต่างเข้าไปแสดงความยินดีกับคนน้องกันใหญ่ มีแต่พระเอกคนเดียวที่ออกอาการฝีนๆ ยินดีจนคนน้องสังเกตเห็น
- เจอแบบนี้เข้าไป พระเอกกำลังคิดมากเพราะเรื่องที่เพื่อนคนพี่เตือนอยู่แล้วเลยยิ่งจิตตกเข้าไปใหญ่ จนเลิกเรียนกลับบ้านกันแล้วก็ยังจิตตกอยู่
- ระหว่างทางกลับบ้าน พระเอกก็ไปหยุดยืนตรงหน้าร้านหนังสือเจ้าประจำที่เคยแวะไปตลอด แต่ครั้งนี้พระเอกจิตตกเรื่องนิยายชวดรางวัลอยู่เลยเดินเลี่ยงไปไม่ยอมเข้าร้าน แต่ยังไม่ทันเดินพ้นร้าน น้องประธานชมรมวรรณศิลป์ที่อยู่ในร้านก็สังเกตเห็นพระเอกก่อน เลยออกจากร้านมาทัก แต่ก็ได้มาแต่คำตอบแบบถามคำตอบคำ
- น้องประธานเห็นพระเอกท่าทางไม่สบายใจ เลยชวนไปดื่มชาด้วยกัน
- ระหว่างดื่มชา น้องประธานก็บอกพระเอกว่าที่จริงเธอก็คิดมากเรื่องที่ตัวเองไม่ได้รางวัลเหมือนกัน และพูดเป็นเชิงตัดพ้อนิดๆ ว่าเรื่องทำนองว่าใครมีพรสวรรค์ใครไม่มีพรสวรรค์เนี่ยมีอยู่จริงสินะ
- น้องประธานเล่าให้ฟังต่อว่าสมัยอยู่ม.ต้นปี 3 เธอเคยส่งหนังสือภาพเข้าประกวดในงานประกวดครั้งหนึ่ง และได้รางวัลชมเชยมาเนื่องจากได้ที่สุดท้ายของการประกวด ครั้งแรกเธอดีใจมากที่อย่างน้อยก็ได้รางวัลในงานประกวดระดับนี้ ส่วนคนที่ได้ที่หนึ่งในงานนั้นกลับเป็นเด็กม.ต้นที่อายุน้อยกว่าเธอถึง 2 ชั้นปี เรื่องครั้งนั้นทำให้น้องประธานถึงกับเสียศูนย์ ได้แต่คิดวนไปเวียนมาเรื่องพรสวรรค์อยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดก็นึกปลงตก คิดได้ว่าคนไม่มีพรสวรรค์ก็อยู่อย่างไม่มีพรสวรรค์ไปก็ได้ อย่างน้อยก็ยังได้สัมผัสอะไรหลายๆ อย่างที่คนมีพรสวรรค์ไม่มีวันได้สัมผัส แม้หลังจากนี้จะต้องจิตตก แต่สิ่งที่ได้รับจากความรู้สึกขณะจิตตกนั้นต้องมีประโยชน์ในสักวันแน่ เพราะยังไงเสียก็อาจต้องเจอเรื่องแบบนี้อีกหลายครั้ง
- น้องประธาน
"เก็บเอาความรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้วใส่ลิ้นชักได้เมื่อไหร่ ก็ปรับความรู้สึกเสียใหม่แล้วพยายามอีกครั้งเถอะ"
- หลังได้กำลังใจจากน้องประธานชมรม พระเอกก็ตัดสินใจได้ เขาตัดสินใจไปเคาะประตูบ้านอ.คิริยะ แล้วขอให้อีกฝ่ายรับตนเป็นลูกศิษย์ด้วยเถอะ
งานนี้พระเอกเจอจัดเต็มเรื่องการสร้างอนาคตกับคนพี่เลยแฮะ ยังดีได้น้องประธานชมรมช่วยให้กำลังใจเลยฮึดขึ้นมาได้อีกครั้ง
ว่าแต่ชักเดาไม่ออกแฮะว่าจากนี้ไปจะเดินเรื่องยังไงกันต่อ เหมือนชนวนดราม่าจะหมดๆ ไปแล้วด้วย
คงต้องรอดูกันต่อไปแฮะ
ปล. - น้องประธานชมรมน่ารักจริงๆ วุ้ย เห็นแล้วอยากได้เป็นแฟนขึ้นมาเลย
[Spoil] Domestic na Kanojo #56 - หนึ่งก้าว
ได้หน้าสีกลางเล่มพร้อมหน้าเพิ่มเป็น 23 หน้าด้วย
- เปิดตอนต่อจากตอนที่แล้วที่พระเอกโดดกอดมั่วไปกอดเพื่อนคนพี่เข้า แถมยังทำกระโจมอกเค้าหลุดลงมากองกับพื้นจนอล่างฉ่างเต็มๆ อีก
- พระเอกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเพราะนึกว่าเข้าผิดห้อง เลยตัดบทขอโทษแล้วทำท่าจะผละไป แต่เพื่อนคนพี่เรียกไว้ก่อนบอกว่าไม่ได้เข้าผิดห้องหรอก แล้วลากตัวพระเอกเข้าห้องมาคุยกัน (ในเรื่องบอกว่าเพื่อนคนพี่จองห้องพักไว้แล้ว แต่เกิดผิดพลาดทำให้ห้องที่จองไว้โดนคนอื่นเอาไป เลยต้องมาอาศัยห้องคนพี่อยู่จนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้)
- เพื่อนคนพี่ก็ถามพระเอกว่าเป็นแฟนกับคนพี่แล้วจะเอายังไงต่อไป มีแผนชีวิตยังไงต่อ พระเอกก็ตอบได้แค่อยากเป็นนักเขียนนิยายมืออาชีพกับเรื่องแต่งงานกับคนพี่แค่นั้น แต่พอโดนถามมากกว่านั้นก็ตอบอะไรไม่ได้ เลยโดนต้อนเป็นชุดๆ จนเถียงอะไรไม่ออก
- กว่าคนพี่จะกลับบ้านมาตีระฆังช่วย พระเอกก็โดนจิกเละตุ้มเป๊ะจนเป็นแบบภาพข้างล่างไปเรียบร้อยแล้ว
- ถึงสุดท้ายคนพี่ต้องช่วยพูดจนกลับมาเก๊กหล่อเหมือนเดิมได้ แต่ก็โดนเพื่อนคนพี่ตีตกไปจนละลายเป็นน้ำเหมือนเดิม
- เพื่อนคนพี่บอกว่าตัวเธอเองไม่ได้ว่าอะไรเรื่องที่พระเอกกับคนพี่อยากแต่งงานกันหรืออยากเขียนนิยายเลี้ยงครอบครัวหรอก ปัญหาอยู่ที่วิสัยทัศน์ของพระเอกต่างหากล่ะ เธอมองว่าพระเอกยังคิดอะไรง่ายเกินไป ทุกวันนี้การเขียนนิยายเลี้ยงตัวไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ นักเขียนที่มีชื่อในวงการได้ตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ น่ะมีแต่คนที่ได้รางวัลนักเขียนตั้งแต่อายุช่วงเลขสิบทั้งนั้น ไม่งั้นก็แทบไม่มีทางขายงานได้เลย ขืนมัวแต่โอ้เอ้ลอยชายคิดแค่ว่า "อยากเป็นนักเขียนนิยายจังน้า" ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้มีประสบการณ์หรือผลงานอะไรแล้วละก็ หนทางสู่การเป็นนักเขียนก็เป็นได้แค่ฝันที่ไกลเกินเอื้อมแค่นั้นแหละ
- พระเอกได้ฟังดังนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบอย่างอับจนถ้อยคำ เพื่อนคนพี่เห็นแบบนั้นก็บอกว่าแต่ถึงยังไงในใจเธอก็เชียร์พระเอกกับคนพี่ให้ได้อยู่ด้วยกันนะ ถึงได้ต้องเข้มงวดแบบนี้ ถึงเงินจะไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีเงินเลยก็คงไม่มีกำลังใจอะไรเหลืออยู่อีก ดังนั้นถึงต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้ทั้งสองคนเห็นความสำคัญของการสร้างอนาคต เพื่อที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขจนวินาทีสุดท้าย
- ฉากตัดมาที่โรงเรียนในวันรุ่งขึ้น พระเอกไปเข้าชมรมทั้งที่ยังออกอาการจิตตกเพราะคิดมากเรื่องที่เพื่อนคนพี่บอก จนยัยเอ๋อออกปากทักว่าเป็นอะไรไป พระเอกก็หันไปถามยัยเอ๋อดื้อๆ ว่าอนาคตตั้งใจจะทำไง ยัยเอ๋อก็งงที่อยู่ๆ พระเอกถามเรื่องนี้ขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ก็ตอบว่าคงต้องเข้ามหาลัยให้ได้ล่ะมั้ง
- แต่ยังไม่ทันคุยต่อ อ.คิริยะที่ปรึกษาชมรมก็เข้ามาเสียก่อน บอกว่างานประกวดนิยายของนิตยสารที่คนในชมรมส่งเข้าประกวดนั้นประกาศผลรางวัลแล้ว
- และคนที่ได้รางวัลชนะเลิศก็คือ...คนน้องนั่นเอง (เขียนเป็นเรื่องแรกก็ได้รางวัลเลย พรสวรรค์จริงๆ แฮะ)
- ทุกคนในชมรมดีใจกันมาก ต่างเข้าไปแสดงความยินดีกับคนน้องกันใหญ่ มีแต่พระเอกคนเดียวที่ออกอาการฝีนๆ ยินดีจนคนน้องสังเกตเห็น
- เจอแบบนี้เข้าไป พระเอกกำลังคิดมากเพราะเรื่องที่เพื่อนคนพี่เตือนอยู่แล้วเลยยิ่งจิตตกเข้าไปใหญ่ จนเลิกเรียนกลับบ้านกันแล้วก็ยังจิตตกอยู่
- ระหว่างทางกลับบ้าน พระเอกก็ไปหยุดยืนตรงหน้าร้านหนังสือเจ้าประจำที่เคยแวะไปตลอด แต่ครั้งนี้พระเอกจิตตกเรื่องนิยายชวดรางวัลอยู่เลยเดินเลี่ยงไปไม่ยอมเข้าร้าน แต่ยังไม่ทันเดินพ้นร้าน น้องประธานชมรมวรรณศิลป์ที่อยู่ในร้านก็สังเกตเห็นพระเอกก่อน เลยออกจากร้านมาทัก แต่ก็ได้มาแต่คำตอบแบบถามคำตอบคำ
- น้องประธานเห็นพระเอกท่าทางไม่สบายใจ เลยชวนไปดื่มชาด้วยกัน
- ระหว่างดื่มชา น้องประธานก็บอกพระเอกว่าที่จริงเธอก็คิดมากเรื่องที่ตัวเองไม่ได้รางวัลเหมือนกัน และพูดเป็นเชิงตัดพ้อนิดๆ ว่าเรื่องทำนองว่าใครมีพรสวรรค์ใครไม่มีพรสวรรค์เนี่ยมีอยู่จริงสินะ
- น้องประธานเล่าให้ฟังต่อว่าสมัยอยู่ม.ต้นปี 3 เธอเคยส่งหนังสือภาพเข้าประกวดในงานประกวดครั้งหนึ่ง และได้รางวัลชมเชยมาเนื่องจากได้ที่สุดท้ายของการประกวด ครั้งแรกเธอดีใจมากที่อย่างน้อยก็ได้รางวัลในงานประกวดระดับนี้ ส่วนคนที่ได้ที่หนึ่งในงานนั้นกลับเป็นเด็กม.ต้นที่อายุน้อยกว่าเธอถึง 2 ชั้นปี เรื่องครั้งนั้นทำให้น้องประธานถึงกับเสียศูนย์ ได้แต่คิดวนไปเวียนมาเรื่องพรสวรรค์อยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดก็นึกปลงตก คิดได้ว่าคนไม่มีพรสวรรค์ก็อยู่อย่างไม่มีพรสวรรค์ไปก็ได้ อย่างน้อยก็ยังได้สัมผัสอะไรหลายๆ อย่างที่คนมีพรสวรรค์ไม่มีวันได้สัมผัส แม้หลังจากนี้จะต้องจิตตก แต่สิ่งที่ได้รับจากความรู้สึกขณะจิตตกนั้นต้องมีประโยชน์ในสักวันแน่ เพราะยังไงเสียก็อาจต้องเจอเรื่องแบบนี้อีกหลายครั้ง
- น้องประธาน "เก็บเอาความรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้วใส่ลิ้นชักได้เมื่อไหร่ ก็ปรับความรู้สึกเสียใหม่แล้วพยายามอีกครั้งเถอะ"
- หลังได้กำลังใจจากน้องประธานชมรม พระเอกก็ตัดสินใจได้ เขาตัดสินใจไปเคาะประตูบ้านอ.คิริยะ แล้วขอให้อีกฝ่ายรับตนเป็นลูกศิษย์ด้วยเถอะ
งานนี้พระเอกเจอจัดเต็มเรื่องการสร้างอนาคตกับคนพี่เลยแฮะ ยังดีได้น้องประธานชมรมช่วยให้กำลังใจเลยฮึดขึ้นมาได้อีกครั้ง
ว่าแต่ชักเดาไม่ออกแฮะว่าจากนี้ไปจะเดินเรื่องยังไงกันต่อ เหมือนชนวนดราม่าจะหมดๆ ไปแล้วด้วย
คงต้องรอดูกันต่อไปแฮะ
ปล. - น้องประธานชมรมน่ารักจริงๆ วุ้ย เห็นแล้วอยากได้เป็นแฟนขึ้นมาเลย