昭君落雁 หวังเจาจวิน ปักษี ตกนภา
เมื่อปักษา ตะลึงชมความงามของนางยามขี่ม้าเดินทางสู่ซงหนูจนลืมขยับปีกร่วงจากนภา
หวางเจาจวินก็มีความไม่งามอย่างหนึ่ง คือ ไหล่ของเธอลาดตกกว่าหญิงทั่วไป เธอจึงสวม
ผ้าคลุมไหล่ที่มีการหนุนเสริมให้ไหล่งามปกติ ซึ่งทำให้หวางเจาจวินงามเด่นไร้ราคี
雁 ห่านป่า
หวังเจาจวินอยู่ในช่วง พ.ศ. 485-492 ในครอบครัวสามัญชนที่หมู่บ้านจื่อกุย เมืองหนานจิ้น
เมื่อย่างสู่วัยรุ่น หวังเจาจวินผ่านการคัดเลือกตัวเข้าไปเป็นนางในราชสำนักของฮ่องเต้ฮั่นหยวนตี้
เช่นเดียวกับสาวงามทั่วแผ่นดินนับพัน ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มีโอกาสได้รับแต่งตั้งให้เป็นนางสนม
ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างถูกละเลยทอดทิ้งเป็นเวลาหลายปี
จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 510 ท่านข่านหัวหน้าเผ่าซวงนู๋ ชื่อฮูหานหยาได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับจีน
และทูลขอนางในจากฮั่นหยวนตี้ไปเป็นชายาเผ่าซวงนู๋เป็นชนชาตินักรบ ดำรงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์ มีถิ่น
ฐานอยู่ทางตอนเหนือ นอกกำแพงใหญ่ มักจะบุกรุกล่วงล้ำเข้ามารบรากับจีนก่อความวุ่นวายอยู่เนือง ๆ
ฮั่นหยวนตี้ทรงตกลงยินยอมตามคำขอ เพราะไม่เพียงแต่จะส่งผลเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรเท่านั้น ทว่ายังมี
ประโยชน์ระยะยาว ในการให้เผ่าซวงนู๋เป็นเสมือนหน้าด่านคอยป้องกันระวังภัยจากการรุกรานของแว่นแคว้นอื่น
ฮั่นหยวนตี้มีพระราชโองการให้คัดเลือกนางใน 5 คน พระราชทานแก่ฮูหานหยากล่าวกันว่า หวังเจาจวินเป็นผู้เดียว
ที่ประกาศตนขออาสา และเมื่อนางปรากฎตัวขณะมีพิธีส่งมอบ รูปโฉมอันงามสง่าก็ทำให้ผู้พบเห็นพากันตกตะลึง
รวมทั้งฮั่นหยวนตี้ที่เกิดความอาลัยเสียดาย แต่ก็ไม่อาจกลับคำเป็นอื่น
ท้ายที่สุดหวังเจาจวินก็เดินทางจากแผ่นดินจีนไปยังดินแดนเผ่าซวงนู๋ ได้รับการสถาปนาเป็น “หยานจือ” (ตำแหน่ง
เทียบเท่ากับฮองเฮาของจีน) หลังจากแต่งงานสองปี ฮูหานหยาก็เสียชีวิตในปี พ.ศ. 512 มีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน
ตามธรรมเนียมของเผ่าซวงนู๋ ภรรยาม่ายของท่านข่านคนเก่า จะต้องตกเป็นชายาของข่านคนใหม่ หวังเจาจวินยืนกราน
แสดงความภักดีต่อสามีผู้ล่วงลับ จึงส่งหนังสือมายังราชสำนักจีนเพื่อขออนุญาตเดินทางคืนสู่แผ่นดินเกิด ขณะนั้นตรงกับ
รัชสมัยของฮ่องเต้ฮั่นเฉิงตี้ มีพระราชโองการกลับไป สั่งให้หวังเจาจวินปฏิบัติตามประเพณีซวงนู๋ หวังเจาจวินจึงต้องจำยอม
เป็นชายาของข่านองค์ใหม่ กระทั่งมีลูกสาวอีก 2 คน และใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นเปลี่ยวร้างกันดารจนชั่วชีวิต
ผลจากการที่หวังเจาจวินเสียสละตนเอง แต่งงานกับข่านแห่งเผ่าซวงนู๋ ทำให้ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างทั้งสองฝ่าย
เป็นไปอย่างราบรื่น ว่างเว้นจากสงครามเนิ่นนานถึง 60 ปี ผู้คนสามารถทำมาหากินสงบสุขนานหนึ่งชั่วอายุคนกระทั่งถึงปัจจุบัน
หวังเจาจวินกลายเป็นสตรีที่นักประวัติศาสตร์และประชาชนของทั้งฝ่ายจีนและซวงนู๋ ยกย่องเทิดทูน ในฐานะผู้ระงับศึกสงคราม
อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นแบบอย่างของหญิงงามที่เพียบพร้อมทั้งสติปัญญา ความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ
หวังเจาจวิน ปักษี ตกนภา
เมื่อปักษา ตะลึงชมความงามของนางยามขี่ม้าเดินทางสู่ซงหนูจนลืมขยับปีกร่วงจากนภา
หวางเจาจวินก็มีความไม่งามอย่างหนึ่ง คือ ไหล่ของเธอลาดตกกว่าหญิงทั่วไป เธอจึงสวม
ผ้าคลุมไหล่ที่มีการหนุนเสริมให้ไหล่งามปกติ ซึ่งทำให้หวางเจาจวินงามเด่นไร้ราคี
雁 ห่านป่า
หวังเจาจวินอยู่ในช่วง พ.ศ. 485-492 ในครอบครัวสามัญชนที่หมู่บ้านจื่อกุย เมืองหนานจิ้น
เมื่อย่างสู่วัยรุ่น หวังเจาจวินผ่านการคัดเลือกตัวเข้าไปเป็นนางในราชสำนักของฮ่องเต้ฮั่นหยวนตี้
เช่นเดียวกับสาวงามทั่วแผ่นดินนับพัน ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มีโอกาสได้รับแต่งตั้งให้เป็นนางสนม
ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างถูกละเลยทอดทิ้งเป็นเวลาหลายปี
จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 510 ท่านข่านหัวหน้าเผ่าซวงนู๋ ชื่อฮูหานหยาได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับจีน
และทูลขอนางในจากฮั่นหยวนตี้ไปเป็นชายาเผ่าซวงนู๋เป็นชนชาตินักรบ ดำรงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์ มีถิ่น
ฐานอยู่ทางตอนเหนือ นอกกำแพงใหญ่ มักจะบุกรุกล่วงล้ำเข้ามารบรากับจีนก่อความวุ่นวายอยู่เนือง ๆ
ฮั่นหยวนตี้ทรงตกลงยินยอมตามคำขอ เพราะไม่เพียงแต่จะส่งผลเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรเท่านั้น ทว่ายังมี
ประโยชน์ระยะยาว ในการให้เผ่าซวงนู๋เป็นเสมือนหน้าด่านคอยป้องกันระวังภัยจากการรุกรานของแว่นแคว้นอื่น
ฮั่นหยวนตี้มีพระราชโองการให้คัดเลือกนางใน 5 คน พระราชทานแก่ฮูหานหยากล่าวกันว่า หวังเจาจวินเป็นผู้เดียว
ที่ประกาศตนขออาสา และเมื่อนางปรากฎตัวขณะมีพิธีส่งมอบ รูปโฉมอันงามสง่าก็ทำให้ผู้พบเห็นพากันตกตะลึง
รวมทั้งฮั่นหยวนตี้ที่เกิดความอาลัยเสียดาย แต่ก็ไม่อาจกลับคำเป็นอื่น
ท้ายที่สุดหวังเจาจวินก็เดินทางจากแผ่นดินจีนไปยังดินแดนเผ่าซวงนู๋ ได้รับการสถาปนาเป็น “หยานจือ” (ตำแหน่ง
เทียบเท่ากับฮองเฮาของจีน) หลังจากแต่งงานสองปี ฮูหานหยาก็เสียชีวิตในปี พ.ศ. 512 มีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน
ตามธรรมเนียมของเผ่าซวงนู๋ ภรรยาม่ายของท่านข่านคนเก่า จะต้องตกเป็นชายาของข่านคนใหม่ หวังเจาจวินยืนกราน
แสดงความภักดีต่อสามีผู้ล่วงลับ จึงส่งหนังสือมายังราชสำนักจีนเพื่อขออนุญาตเดินทางคืนสู่แผ่นดินเกิด ขณะนั้นตรงกับ
รัชสมัยของฮ่องเต้ฮั่นเฉิงตี้ มีพระราชโองการกลับไป สั่งให้หวังเจาจวินปฏิบัติตามประเพณีซวงนู๋ หวังเจาจวินจึงต้องจำยอม
เป็นชายาของข่านองค์ใหม่ กระทั่งมีลูกสาวอีก 2 คน และใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นเปลี่ยวร้างกันดารจนชั่วชีวิต
ผลจากการที่หวังเจาจวินเสียสละตนเอง แต่งงานกับข่านแห่งเผ่าซวงนู๋ ทำให้ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างทั้งสองฝ่าย
เป็นไปอย่างราบรื่น ว่างเว้นจากสงครามเนิ่นนานถึง 60 ปี ผู้คนสามารถทำมาหากินสงบสุขนานหนึ่งชั่วอายุคนกระทั่งถึงปัจจุบัน
หวังเจาจวินกลายเป็นสตรีที่นักประวัติศาสตร์และประชาชนของทั้งฝ่ายจีนและซวงนู๋ ยกย่องเทิดทูน ในฐานะผู้ระงับศึกสงคราม
อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นแบบอย่างของหญิงงามที่เพียบพร้อมทั้งสติปัญญา ความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ