ปฐมบท
ตอนที่1 ว่าด้วยเรื่อง ตั้งแต่เริ่มคิดจะไปเรียนและทำงานที่ออสเตรเลีย, เลือกคอร์สเรียน, เตรียมเอกสาร, สมัครเรียน, ยื่นวีซ่า, ตรวจสุขภาพ, เตรียมตัวเดินทาง
"เริ่ม" คิดมาตลอดว่าวันหนึ่งผมจะเขียนเรื่องราวของตัวเอง เพื่อเก็บไว้เป็นไดอารี่เอาไว้อ่าน และเพื่อแบ่งปันสำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับ "แชร์ประสบการณ์ทำงานส่งตัวเองเรียนนอกไม่ต้องรวยก็มาได้" ที่ประเทศออสเตรเลียให้ง่ายขึ้น โดยถ่ายทอดประสบการณ์จริงตั้งแต่จะเริ่มต้นอย่างไร, ใช้เอกสารอะไรบ้าง, ค่าเรียนเท่าไร, เรียนที่ไหนดีที่เหมาะกับตัวเอง, แชร์ที่ประสบการณ์ต่างๆที่พบเจอ, งานที่เคยทำมาตั้งแต่เป็นเด็กเสริฟในร้านอาหารไทย รับจ้างนวดแก้อาการ ขับรถส่งอาหาร แจกใบปลิว พนักงานส่งไปรษณีย์ พนักงานทำความสะอาด พนักงานขนของ พนักงานขับรถ ฯลฯ, ได้เพื่อนใหม่ต่างชาติ, รายได้เท่าไร-รายจ่ายเท่าไร สามารถส่งตัวเองและสามารถมีเงินเก็บได้จริงหรือ? คนไทยที่ประสบความสำเร็จที่นี่, ทำไมคนไทยนอกประเทศจำนวนมากนิยมมาที่นี่มากเป็นอันดับ2ของโลก รองจากแอลเอ, สหรัฐอเมริกา ถึงขนาดรัฐบาลออสเตรเลียทำป้าย "Thai Town" ติดให้อย่างเป็นทางการ ในขณะที่ชาติอื่นไม่มี มีทั้งดราม่า ความรัก ความสุข ความเหงา ความเศร้า ครบทุกอารมณ์, เรื่องตลกจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ฯลฯ ผมสัญญากับตัวเองไว้ว่าเรื่องนี้ผมจะไม่รู้คนเดียวแน่นอน มันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่สนใจไม่มากก็น้อย ได้แต่คิดแต่ไม่ได้เริ่มลงมือทำจนเวลาล่วงเลยมาเกือบ4ปี ที่มาใช้ชีวิตที่ประเทศออสเตรเลีย เอาล่ะวันนี้อยู่ดีๆก็นึกอยากเขียนขึ้นมา โบราณเค้าว่าไว้ ''ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน'' เอาว่ะเป็นไงเป็นกัน เริ่มพิมพ์ตั้งแต่เช้าดูสิว่าจะเสร็จกี่โมง ตามผมมาได้เลยครับ..
ก่อนอื่นขอเล่าเกี่ยวกับตัวผมสักเล็กน้อยนะครับ ผมเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด เกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อเป็นทหารเรือ แม่เป็นครู รับราชการจนเกษียณอายุ ซึ่งรายได้จากเงินเดือนข้าราชการก็ไม่ได้มากมายอะไร พอที่จะส่งลูกเรียนต่างประเทศได้หรอกครับ ผมก็เหมือนคนทั่วๆไป ตั้งแต่อนุบาลถึงป.6 ได้เรียนโรงเรียนเอกชนเล็กๆแถวบ้าน พอขึ้นม.1-ปริญญาตรี เข้าเรียนโรงเรียนรัฐบาลทั้งหมด โดยค่าเทอมทั้งหมดสามารถเบิกหลวงได้ เพราะพ่อแม่ทำงานราชการนั่นเอง แต่ก็ไม่เคยอดหรือลำบาก และก็ไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งอะไร อยู่ระดับกลางๆ เป็นชีวิตที่กลางๆ มากพ่อแม่เคยบอกว่าสิ่งที่ให้ลูกได้คือการศึกษา เพราะฉะนั้นตั้งแต่เล็กจนโตนอกจากการศึกษาแล้ว ถ้าอยากได้อะไรส่วนใหญ่แล้วต้อง ''หาเอง'' จนถึงทุกวันนี้ผมยังแอบคิดเล็กๆว่า เพราะต้องทำอะไรด้วยตัวเองหรือเปล่า วันนี้ผมถึงมาเขียนคอลัมน์นี้ได้
"สุดแต่ใจจะไขว่คว้า" ผมไม่รู้ว่าความคิดที่อยากจะไปต่างประเทศมันเริ่มขึ้นตอนไหน หรืออาจจะเป็นเพราะตอนเด็กๆตอนเรียนประถม โดยโรงเรียนตั้งอยู่ในซอยงามดูพลี ถ.พระราม๔ ตรงข้ามโรงเรียนเตรียมทหารเก่า ในซอยจะมีโรงแรมมาเลเซียก็จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาพักในซอยนี้มาก ซึ่งคล้ายสมัยนี้ที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมมาพักที่ถนนข้าวสาร ได้เห็นชาวต่างชาติบ่อยๆตั้งแต่เด็กๆ หรืออาจจะเป็นช่วงนั้นที่อาของผมได้ไปทำงานกระทรวงต่างประเทศ เป็นเลขาฑูตประจำประเทศออสเตรเลีย ไปกันทั้งครอบครัวบรรดาญาติๆพากันตื่นเต้นใหญ่ เพราะเป็นครั้งแรกที่ญาติเราจะได้ไปต่างประเทศ ทุกคนต่างหวังว่าจะได้ให้ลูกหลานได้ตามไปบ้าง แน่นอนผมก็หนึ่งในนั้นที่อยากไป แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ไป พอโตมารู้สึกว่าชอบการเดินทางเที่ยวจึงไปเรียนการท่องเที่ยว และได้เดินทางทุกภาคทั่วประเทศไทยในตอนนั้น เมืองนอกประเทศเดียวที่ผมเคยไปคือ ''ลาว''
"ตามหาความฝัน" พอเรียนใกล้เรียนจบเริ่มคิดว่าต่อไปจะทำอะไร จริงๆแล้วเราชอบอะไร ตอนนั้นรู้อย่างเดียวคือชอบภาษาญี่ปุ่น (ตอนนั้นยังไม่ชอบภาษาอังกฤษนะครับ และยังพูดไม่เป็นด้วย) ทั้งๆที่ตอนป.ตรี เรียนคณะวิทยาศาตร์ด้านการจัดการอุตสาหกรรม หลังเลิกเรียนจึงเรียนภาษาญี่ปุ่นต่อหลังเลิกเรียน หลังจากจบคอร์สนั้น3เดือนผมสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้แต่ยังไม่เก่งเท่าไร เรียนจบพอดี ได้ทำงานเป็นมัคคุเทศก์ภาษาญี่ปุ่น ทำอยู่2ปี จากนั้นก็ได้ทุนไปเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นประมาณ6ปี (เรื่องทำงานส่งตัวเองเรียนที่ญี่ปุ่น จะหาเวลามาเขียนในโอกาสต่อไปครับ)
"กลับบ้าน" พอกลับมาไทยคราวนี้ภาษาญี่ปุ่นใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ในที่สุดก็ได้ทำงานที่บริษัทญุ่ปุ่นที่นิคมลาดกระบังในตำแหน่ง "Chief Marketing Officer" ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นในการทำงาน ซึ่งคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เค้าจะไม่พูดภาษาอังกฤษกันนะครับ ชีวิตตอนนั้นก็ดูเหมือนว่าอะไรๆก็คงดี หลายคนคงเริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมครับ ทำงานมั่นคงดีอยู่แล้วจะลาออกทำไม? ทำได้ประมาณ1ปี เริ่มรู้สึกไม่เวิร์ค ทำงานกับคนญี่ปุ่นเครียดมากนะครับ เงินที่หาได้ก็ใช่จ่ายหมด ทั้งผ่อนคอนโด, ผ่อนมอเตอร์ไซด์PCX (ตอนนั้นไม่มีปัญญาแม้กระทั่งดาว์นรถยนต์ขับ เพราะก่อนหน้านี้ที่ซื้อคอนโดไป เงินส่วนใหญ่ที่หามาได้จึงจมอยู่ในคอนโดทั้งหมด), เข้างาน8โมงเช้าเลิก5โมงเย็น นั่งรถไป2ชม. ไปกลับประมาณ4ชม. (คอนโดอยู่เจริญนคร) เป็นคนไม่ชอบรถติด ทั้งฝุ่นควัน มลภาวะ อากาศร้อน ตอนนั้นจำได้ว่าเครียดมากกับการเดินทางไปทำงาน หรืออาจเป็นเพราะก่อนหน้านั้นเคยชินกับการนั่งรถไฟสมัยตอนอยู่ญี่ปุ่นเป็นเวลานาน ฝนตกก็ต้องขับมอเตอไซค์ตากฝนไปทำงาน ฝนตกทีไรอายคนมาก ต้องเข้างานทั้งที่เปียกปอนแม้จะใส่ชุดกันฝนไปแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อาจต้านทานฝนเมืองไทยได้ คนขับมอเตอร์ไซค์จะรู้ดี และระดับผู้บริหารประชุมโต็ะใหญ่เค้ามีรถกันหมด จริงๆเด็กหน้าเครื่องก็ขับกระบะกันแล้ว มีคนเคยถาม "คุณค่ะทำไมไม่ขับรถยนต์มาหล่ะค่ะ ตากฝนมาทำไม ผมได้แต่ยิ้มและตอบไปว่าผมชอบขับมอเตอไซค์ครับ" จะตอบว่าไม่มีเงินซื้อก็กระไรอยู่ ทำอย่างนั้นอยู่ครึ่งปีตัดสินใจมาเช่าห้องพักใกล้ที่ทำงาน ซื้อเวลาให้ตัวเองเพื่อให้มีเวลาพักผ่อนมากขัน แต่ก็ต้องเสียค่าเช่าเพิ่มอีก ค่าใช่จ่ายจิปาถะ เดือนชนเดือน ทำไปได้1ปีแต่กลับไม่มีเงินเก็บ ทำงานมาสักพักแล้วแต่ชีวิตก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรดีขึ้นรู้สึกไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบนี้ หรือถ้ามองอีกแง่นึงผมอาจจะเหมาะกับชีวิตในต่างจังหวัดมากกว่าก็ได้
"ตัดสินใจไปออสเตรเลีย"
เรียกว่าช่วงนั้นเริ่มเกิดอาการเซ็งเต็มที่แล้วทั้งเรื่องงานและการใช้ชีวิต และรู้สึกว่าตัวเองไม่ชอบงานประจำ อยากทำงานอิสระมากกว่า ฝนก็ตกแทบทุกวัน (ช่วงนั้นใกล้วิกฤตน้ำท่วมปี54) พอดีมีญาติห่างๆทางพ่อบินมาจากซิดนีย์กลับมาเยี่ยมบ้าน ผมจึงเข้าไปคุยกับพี่ที่บ้าน เล่าเรื่องต่างๆให้เค้าฟัง พี่ทำบ้านเช่าอยู่ที่นั่น ถามเค้าออสเตรเลียเป็นไงบ้าง ดีไหม ก็คุยกันต่างๆนาๆ พี่เค้าบอกก็ดีนะอยู่ง่ายรถไม่ติด อากาศดี เงินดี ทำงานได้ชั่วโมงละประมาณ15-20ดอลล์ ประมาณ450-600 บาทต่อชั่วโมง แต่พี่บอกว่าอยู่เมืองนอกมันไม่ได้สบายเหมือนเมืองไทยนะงานหนักกว่า ไม่ใช่งานนั่งโต๊ะเหมือนเมืองไทย แต่ผมไม่กลัวหรอกงานหนัก ผมคิดว่าผมทำได้เพราะเคยทำมาแล้วตอนอยู่ญี่ปุ่น ทั้งส่งหนังสือพิมพ์ เด็กล้างจาน บ้านก็ต้องแชร์กันอยู่ ตอนนั้นมีความรู้สึกอย่างเดียวว่า "อยากไป" จึงแอบเตรียมตัวอย่างเงียบๆ ค่อยๆเก็บเอกสารที่ต้องใช้ และไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มกับอาจารย์คริส (Christopher Wright) ที่Central World จากนั้นศึกษาว่าจะไปเรียนอะไร ระยะเวลานานเท่าไร งบประมาณเท่าไร ฯลฯ
คอร์สที่คนไทยนิยมคือ:
1. ภาษาอังกฤษ 3เดือน, 6เดือน, 1ปี
2. ภาษา+Diploma (Marketing, Business, Cookery ทำอาหาร, ทำเบเกอรี่, พยาบาล, Mobile App Design, Graphic Design, 3D, ฟิตเนส, ออกแบบทรงผม ฯลฯ)
3. โรงเรียนมัธยม
4. ปริญญาตรี (ทุกสาขาวิชา)
5. ปริญญาโท (ทุกสาขาวิชา)
6. เฉพาะทางต่างๆ (เช่น เรียนด้านกฏหมาย)
"เลือกคอร์สที่เหมาะสม" คอร์สที่เหมาะสมกับผมที่สุดคือคอร์สภาษา6เดือนและต่อDiploma (คล้ายสายอาชีพบ้านเรา) เพราะอายุก็มากแล้วด้วย และมีคอร์สภาษา+Diploma เป็นPackageมาเลยแต่ต้องจ่ายค่ามัดจำค่าเทอมแรก1เทอมจะได้วีซ่าประมาณ3ปี คอร์สนี้จะเป็นคอร์สที่คนไทยจะนิยมมาเรียนมากที่สุด แต่ด้วยเพราะข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ ผมจึงเลือกมา6เดือนก่อนแล้วค่อยต่อDiploma และเพื่อให้เวลาดูตัวเอวว่าจะอยู่ได้ไหม และในระหว่างนั้น6เดือนยังทำงานเก็บเงินได้ ขอให้ได้มาก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน ต้องยอมรับว่าคนไทยที่นี่กันส่วนใหญ่เกิน80%เน้นทำงานและส่งตัวเองทั้งนั้น ขยันๆหน่อยก็มีส่งกลับบ้านได้อีก คอร์สภาษาจะเรียนเยอะหน่อย ตอนเรียนภาษา6เดือนจะเรียน4-5วัน จากนั้นพอขึ้นDiplomaเรียนแค่2วัน แต่ก็มีบ้างบางคนแต่เป็นส่วนน้อยมากที่ทางบ้านมีฐานะจริงๆ เพราะอย่างที่รู้กันว่าค่าครองชีพที่ออสเตรเลียค่อนข้างสูง แต่ผมบอกเลยว่าไม่กลัวเพราะเคยมีประสบการณ์ส่งตัวเองเรียนที่ญี่ปุ่นมาแล้ว เพราะค่าเงินสูงนั่นก็หมายความว่ารายได้ก็มากขึ้นไปด้วย ยิ่งถ้ารู้จักประหยัดกินประหยัดใช้ก็มีเหลือเก็บ และอีกคอร์สที่เป็นที่นิยมรองลงมาคือมาเรียนมัธยม ปริญญาตรีและปริญญาโท สำหรับโรงเรียนภาษาก็มีหลายโรง ระดับราคาก็มีตั้งแต่$170-300 ต่ออาทิตย์ (ที่ออสเตรเลียจะคิดเป็นอาทิตย์ ทั้งค่าจ้าง ค่าเช่า ค่าเรียน ซึ่งจะแตกต่างกับที่ไทยจะคิดเป็นรายเดือน) คุณภาพของโรงเรียนก็แตกต่างกันไปตามราคา ถ้าเป็นโรงเรียนภาษาก็จะถูกหน่อย แต่ถ้าเป็นรร.ภาษาของมหาวิทยาลัยก็จะแพงหน่อย ผมเลือกเรียนที่ English Language Company (ELC) ใจกลางเมืองซิดนีย์ ค่าเรียน$240/week ดอลล่าห์ออสเตรเลีย ราคาอาจจะแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อยแต่ดี นักเรียนต่างชาติเยอะส่วนใหญ่จะเป็นคนยุโรป, อเมริกาใต้, เอเชียก็จะเป็นญี่ปุ่นและเกาหลี มีโอกาสที่จะได้เจอเพื่อนต่างชาติทั่วโลกมีมาก (ยังติดต่อกันจนถึงทุกวันนี้) คนไทยจะน้อยโอกาสที่จะได้ใช้ภาษาจึงมากขึ้น แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เอาแบบถูกๆ ราคาร้อยกว่าต่ออาทิตย์ แบบนี้คนไทยจะเยอะหน่อย กลุ่มนี้จะเน้นทำงาน อันนี้ก็แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน บางคนจะเลือกเอาแบบถูกๆแต่ดีๆ ขอบอกเลยว่าไม่มีครับ อย่างที่เราเคยได้ยินกันว่า "การศึกษาคือการลงทุน" ผมจึงเลือกดีหน่อย ครั้งเดียวในชีวิต (จะเล่าให้ฟังเรื่องโรงเรียนภาษาต่อไปครับ)
"คำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ" เมื่อเลือกโรงเรียนได้แล้ว ก็จัดการคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆคร่าวๆโดยประมาณดังนี้.
สำหรับค่าเรียนของผมตอนนั้นในปี2554 โดยประมาณ:
1. ค่าสมัครเรียน $220
2. ค่าอุปกรณ์การเรียน $200
3. ประกันสุขภาพ(7เดือน) $245
4. ค่าเรียน (24อาทิตย์) $5,640
= $6,305
ค่าสมัครเรียนโดยประมาณ = 6,305*30 = 189,150 บาท
5. ค่ายื่นวีซ่า = 19,385 บาท
6. ค่าตรวจสุขภาพ = 3,000 บาท
7. ค่าตั๋วเครื่องบิน = 20,000 บาท
8. เตรียมเผื่อค่าใช้จ่ายเมื่อมาถึง ค่าที่พัก อาหาร ประมาณ1เดือน = 30,000 บาท
* ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ = 231,535 บาท
( *Rate เงินณ.ตอนนั้นปี2554โดยประมาณ 1 AUD= 30 THB ซึ่งเช็คRate คร่าวๆ ณ.ปัจจุบันปี2558 ประมาณ 1 AUD= 26 THB เนื่องจากค่าเงินออสเตรเลียอ่อนค่าลง เงินไทยแข็งขึ้นซึ่งก็หมายความว่าถ้ามาตอนนี้จ่ายถูกกว่าเมื่อก่อน ใครคิดจะมาอยู่แล้วตอนนี้ให้รีบมานะครับได้เปรียบกว่า เดี๋ยวค่าเงินออสขึ้นจะจ่ายแพงกว่าซะเปล่าๆครับ)
โปรดติดตามตอนต่อไป.. ด้านล่างครับ
ฝากโหวต+ กระทู้ด้วยนะครับ
ติดตามภาค2 ว่าด้วยเรื่อง ที่พัก, ไทยทาวน์, เดินชมเมืองซิดนีย์
จากมนุษย์เงินเดือนแชร์ประสบการณ์ ทำงานส่งตัวเองเรียนนอก (ออสเตรเลีย) ไม่ต้องรวยก็มาได้
http://ppantip.com/topic/33879202/comment1
จากมนุษย์เงินเดือนทำงานส่งตัวเองเรียนนอก (ออสเตรเลีย) ไม่ต้องรวยก็มาได้ 2
ตอนที่1 ว่าด้วยเรื่อง ตั้งแต่เริ่มคิดจะไปเรียนและทำงานที่ออสเตรเลีย, เลือกคอร์สเรียน, เตรียมเอกสาร, สมัครเรียน, ยื่นวีซ่า, ตรวจสุขภาพ, เตรียมตัวเดินทาง
"เริ่ม" คิดมาตลอดว่าวันหนึ่งผมจะเขียนเรื่องราวของตัวเอง เพื่อเก็บไว้เป็นไดอารี่เอาไว้อ่าน และเพื่อแบ่งปันสำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับ "แชร์ประสบการณ์ทำงานส่งตัวเองเรียนนอกไม่ต้องรวยก็มาได้" ที่ประเทศออสเตรเลียให้ง่ายขึ้น โดยถ่ายทอดประสบการณ์จริงตั้งแต่จะเริ่มต้นอย่างไร, ใช้เอกสารอะไรบ้าง, ค่าเรียนเท่าไร, เรียนที่ไหนดีที่เหมาะกับตัวเอง, แชร์ที่ประสบการณ์ต่างๆที่พบเจอ, งานที่เคยทำมาตั้งแต่เป็นเด็กเสริฟในร้านอาหารไทย รับจ้างนวดแก้อาการ ขับรถส่งอาหาร แจกใบปลิว พนักงานส่งไปรษณีย์ พนักงานทำความสะอาด พนักงานขนของ พนักงานขับรถ ฯลฯ, ได้เพื่อนใหม่ต่างชาติ, รายได้เท่าไร-รายจ่ายเท่าไร สามารถส่งตัวเองและสามารถมีเงินเก็บได้จริงหรือ? คนไทยที่ประสบความสำเร็จที่นี่, ทำไมคนไทยนอกประเทศจำนวนมากนิยมมาที่นี่มากเป็นอันดับ2ของโลก รองจากแอลเอ, สหรัฐอเมริกา ถึงขนาดรัฐบาลออสเตรเลียทำป้าย "Thai Town" ติดให้อย่างเป็นทางการ ในขณะที่ชาติอื่นไม่มี มีทั้งดราม่า ความรัก ความสุข ความเหงา ความเศร้า ครบทุกอารมณ์, เรื่องตลกจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ฯลฯ ผมสัญญากับตัวเองไว้ว่าเรื่องนี้ผมจะไม่รู้คนเดียวแน่นอน มันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่สนใจไม่มากก็น้อย ได้แต่คิดแต่ไม่ได้เริ่มลงมือทำจนเวลาล่วงเลยมาเกือบ4ปี ที่มาใช้ชีวิตที่ประเทศออสเตรเลีย เอาล่ะวันนี้อยู่ดีๆก็นึกอยากเขียนขึ้นมา โบราณเค้าว่าไว้ ''ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน'' เอาว่ะเป็นไงเป็นกัน เริ่มพิมพ์ตั้งแต่เช้าดูสิว่าจะเสร็จกี่โมง ตามผมมาได้เลยครับ..
ก่อนอื่นขอเล่าเกี่ยวกับตัวผมสักเล็กน้อยนะครับ ผมเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด เกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อเป็นทหารเรือ แม่เป็นครู รับราชการจนเกษียณอายุ ซึ่งรายได้จากเงินเดือนข้าราชการก็ไม่ได้มากมายอะไร พอที่จะส่งลูกเรียนต่างประเทศได้หรอกครับ ผมก็เหมือนคนทั่วๆไป ตั้งแต่อนุบาลถึงป.6 ได้เรียนโรงเรียนเอกชนเล็กๆแถวบ้าน พอขึ้นม.1-ปริญญาตรี เข้าเรียนโรงเรียนรัฐบาลทั้งหมด โดยค่าเทอมทั้งหมดสามารถเบิกหลวงได้ เพราะพ่อแม่ทำงานราชการนั่นเอง แต่ก็ไม่เคยอดหรือลำบาก และก็ไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งอะไร อยู่ระดับกลางๆ เป็นชีวิตที่กลางๆ มากพ่อแม่เคยบอกว่าสิ่งที่ให้ลูกได้คือการศึกษา เพราะฉะนั้นตั้งแต่เล็กจนโตนอกจากการศึกษาแล้ว ถ้าอยากได้อะไรส่วนใหญ่แล้วต้อง ''หาเอง'' จนถึงทุกวันนี้ผมยังแอบคิดเล็กๆว่า เพราะต้องทำอะไรด้วยตัวเองหรือเปล่า วันนี้ผมถึงมาเขียนคอลัมน์นี้ได้
"สุดแต่ใจจะไขว่คว้า" ผมไม่รู้ว่าความคิดที่อยากจะไปต่างประเทศมันเริ่มขึ้นตอนไหน หรืออาจจะเป็นเพราะตอนเด็กๆตอนเรียนประถม โดยโรงเรียนตั้งอยู่ในซอยงามดูพลี ถ.พระราม๔ ตรงข้ามโรงเรียนเตรียมทหารเก่า ในซอยจะมีโรงแรมมาเลเซียก็จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาพักในซอยนี้มาก ซึ่งคล้ายสมัยนี้ที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมมาพักที่ถนนข้าวสาร ได้เห็นชาวต่างชาติบ่อยๆตั้งแต่เด็กๆ หรืออาจจะเป็นช่วงนั้นที่อาของผมได้ไปทำงานกระทรวงต่างประเทศ เป็นเลขาฑูตประจำประเทศออสเตรเลีย ไปกันทั้งครอบครัวบรรดาญาติๆพากันตื่นเต้นใหญ่ เพราะเป็นครั้งแรกที่ญาติเราจะได้ไปต่างประเทศ ทุกคนต่างหวังว่าจะได้ให้ลูกหลานได้ตามไปบ้าง แน่นอนผมก็หนึ่งในนั้นที่อยากไป แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ไป พอโตมารู้สึกว่าชอบการเดินทางเที่ยวจึงไปเรียนการท่องเที่ยว และได้เดินทางทุกภาคทั่วประเทศไทยในตอนนั้น เมืองนอกประเทศเดียวที่ผมเคยไปคือ ''ลาว''
"ตามหาความฝัน" พอเรียนใกล้เรียนจบเริ่มคิดว่าต่อไปจะทำอะไร จริงๆแล้วเราชอบอะไร ตอนนั้นรู้อย่างเดียวคือชอบภาษาญี่ปุ่น (ตอนนั้นยังไม่ชอบภาษาอังกฤษนะครับ และยังพูดไม่เป็นด้วย) ทั้งๆที่ตอนป.ตรี เรียนคณะวิทยาศาตร์ด้านการจัดการอุตสาหกรรม หลังเลิกเรียนจึงเรียนภาษาญี่ปุ่นต่อหลังเลิกเรียน หลังจากจบคอร์สนั้น3เดือนผมสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้แต่ยังไม่เก่งเท่าไร เรียนจบพอดี ได้ทำงานเป็นมัคคุเทศก์ภาษาญี่ปุ่น ทำอยู่2ปี จากนั้นก็ได้ทุนไปเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นประมาณ6ปี (เรื่องทำงานส่งตัวเองเรียนที่ญี่ปุ่น จะหาเวลามาเขียนในโอกาสต่อไปครับ)
"กลับบ้าน" พอกลับมาไทยคราวนี้ภาษาญี่ปุ่นใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ในที่สุดก็ได้ทำงานที่บริษัทญุ่ปุ่นที่นิคมลาดกระบังในตำแหน่ง "Chief Marketing Officer" ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นในการทำงาน ซึ่งคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เค้าจะไม่พูดภาษาอังกฤษกันนะครับ ชีวิตตอนนั้นก็ดูเหมือนว่าอะไรๆก็คงดี หลายคนคงเริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมครับ ทำงานมั่นคงดีอยู่แล้วจะลาออกทำไม? ทำได้ประมาณ1ปี เริ่มรู้สึกไม่เวิร์ค ทำงานกับคนญี่ปุ่นเครียดมากนะครับ เงินที่หาได้ก็ใช่จ่ายหมด ทั้งผ่อนคอนโด, ผ่อนมอเตอร์ไซด์PCX (ตอนนั้นไม่มีปัญญาแม้กระทั่งดาว์นรถยนต์ขับ เพราะก่อนหน้านี้ที่ซื้อคอนโดไป เงินส่วนใหญ่ที่หามาได้จึงจมอยู่ในคอนโดทั้งหมด), เข้างาน8โมงเช้าเลิก5โมงเย็น นั่งรถไป2ชม. ไปกลับประมาณ4ชม. (คอนโดอยู่เจริญนคร) เป็นคนไม่ชอบรถติด ทั้งฝุ่นควัน มลภาวะ อากาศร้อน ตอนนั้นจำได้ว่าเครียดมากกับการเดินทางไปทำงาน หรืออาจเป็นเพราะก่อนหน้านั้นเคยชินกับการนั่งรถไฟสมัยตอนอยู่ญี่ปุ่นเป็นเวลานาน ฝนตกก็ต้องขับมอเตอไซค์ตากฝนไปทำงาน ฝนตกทีไรอายคนมาก ต้องเข้างานทั้งที่เปียกปอนแม้จะใส่ชุดกันฝนไปแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อาจต้านทานฝนเมืองไทยได้ คนขับมอเตอร์ไซค์จะรู้ดี และระดับผู้บริหารประชุมโต็ะใหญ่เค้ามีรถกันหมด จริงๆเด็กหน้าเครื่องก็ขับกระบะกันแล้ว มีคนเคยถาม "คุณค่ะทำไมไม่ขับรถยนต์มาหล่ะค่ะ ตากฝนมาทำไม ผมได้แต่ยิ้มและตอบไปว่าผมชอบขับมอเตอไซค์ครับ" จะตอบว่าไม่มีเงินซื้อก็กระไรอยู่ ทำอย่างนั้นอยู่ครึ่งปีตัดสินใจมาเช่าห้องพักใกล้ที่ทำงาน ซื้อเวลาให้ตัวเองเพื่อให้มีเวลาพักผ่อนมากขัน แต่ก็ต้องเสียค่าเช่าเพิ่มอีก ค่าใช่จ่ายจิปาถะ เดือนชนเดือน ทำไปได้1ปีแต่กลับไม่มีเงินเก็บ ทำงานมาสักพักแล้วแต่ชีวิตก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรดีขึ้นรู้สึกไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบนี้ หรือถ้ามองอีกแง่นึงผมอาจจะเหมาะกับชีวิตในต่างจังหวัดมากกว่าก็ได้
"ตัดสินใจไปออสเตรเลีย"
เรียกว่าช่วงนั้นเริ่มเกิดอาการเซ็งเต็มที่แล้วทั้งเรื่องงานและการใช้ชีวิต และรู้สึกว่าตัวเองไม่ชอบงานประจำ อยากทำงานอิสระมากกว่า ฝนก็ตกแทบทุกวัน (ช่วงนั้นใกล้วิกฤตน้ำท่วมปี54) พอดีมีญาติห่างๆทางพ่อบินมาจากซิดนีย์กลับมาเยี่ยมบ้าน ผมจึงเข้าไปคุยกับพี่ที่บ้าน เล่าเรื่องต่างๆให้เค้าฟัง พี่ทำบ้านเช่าอยู่ที่นั่น ถามเค้าออสเตรเลียเป็นไงบ้าง ดีไหม ก็คุยกันต่างๆนาๆ พี่เค้าบอกก็ดีนะอยู่ง่ายรถไม่ติด อากาศดี เงินดี ทำงานได้ชั่วโมงละประมาณ15-20ดอลล์ ประมาณ450-600 บาทต่อชั่วโมง แต่พี่บอกว่าอยู่เมืองนอกมันไม่ได้สบายเหมือนเมืองไทยนะงานหนักกว่า ไม่ใช่งานนั่งโต๊ะเหมือนเมืองไทย แต่ผมไม่กลัวหรอกงานหนัก ผมคิดว่าผมทำได้เพราะเคยทำมาแล้วตอนอยู่ญี่ปุ่น ทั้งส่งหนังสือพิมพ์ เด็กล้างจาน บ้านก็ต้องแชร์กันอยู่ ตอนนั้นมีความรู้สึกอย่างเดียวว่า "อยากไป" จึงแอบเตรียมตัวอย่างเงียบๆ ค่อยๆเก็บเอกสารที่ต้องใช้ และไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มกับอาจารย์คริส (Christopher Wright) ที่Central World จากนั้นศึกษาว่าจะไปเรียนอะไร ระยะเวลานานเท่าไร งบประมาณเท่าไร ฯลฯ
คอร์สที่คนไทยนิยมคือ:
1. ภาษาอังกฤษ 3เดือน, 6เดือน, 1ปี
2. ภาษา+Diploma (Marketing, Business, Cookery ทำอาหาร, ทำเบเกอรี่, พยาบาล, Mobile App Design, Graphic Design, 3D, ฟิตเนส, ออกแบบทรงผม ฯลฯ)
3. โรงเรียนมัธยม
4. ปริญญาตรี (ทุกสาขาวิชา)
5. ปริญญาโท (ทุกสาขาวิชา)
6. เฉพาะทางต่างๆ (เช่น เรียนด้านกฏหมาย)
"เลือกคอร์สที่เหมาะสม" คอร์สที่เหมาะสมกับผมที่สุดคือคอร์สภาษา6เดือนและต่อDiploma (คล้ายสายอาชีพบ้านเรา) เพราะอายุก็มากแล้วด้วย และมีคอร์สภาษา+Diploma เป็นPackageมาเลยแต่ต้องจ่ายค่ามัดจำค่าเทอมแรก1เทอมจะได้วีซ่าประมาณ3ปี คอร์สนี้จะเป็นคอร์สที่คนไทยจะนิยมมาเรียนมากที่สุด แต่ด้วยเพราะข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ ผมจึงเลือกมา6เดือนก่อนแล้วค่อยต่อDiploma และเพื่อให้เวลาดูตัวเอวว่าจะอยู่ได้ไหม และในระหว่างนั้น6เดือนยังทำงานเก็บเงินได้ ขอให้ได้มาก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน ต้องยอมรับว่าคนไทยที่นี่กันส่วนใหญ่เกิน80%เน้นทำงานและส่งตัวเองทั้งนั้น ขยันๆหน่อยก็มีส่งกลับบ้านได้อีก คอร์สภาษาจะเรียนเยอะหน่อย ตอนเรียนภาษา6เดือนจะเรียน4-5วัน จากนั้นพอขึ้นDiplomaเรียนแค่2วัน แต่ก็มีบ้างบางคนแต่เป็นส่วนน้อยมากที่ทางบ้านมีฐานะจริงๆ เพราะอย่างที่รู้กันว่าค่าครองชีพที่ออสเตรเลียค่อนข้างสูง แต่ผมบอกเลยว่าไม่กลัวเพราะเคยมีประสบการณ์ส่งตัวเองเรียนที่ญี่ปุ่นมาแล้ว เพราะค่าเงินสูงนั่นก็หมายความว่ารายได้ก็มากขึ้นไปด้วย ยิ่งถ้ารู้จักประหยัดกินประหยัดใช้ก็มีเหลือเก็บ และอีกคอร์สที่เป็นที่นิยมรองลงมาคือมาเรียนมัธยม ปริญญาตรีและปริญญาโท สำหรับโรงเรียนภาษาก็มีหลายโรง ระดับราคาก็มีตั้งแต่$170-300 ต่ออาทิตย์ (ที่ออสเตรเลียจะคิดเป็นอาทิตย์ ทั้งค่าจ้าง ค่าเช่า ค่าเรียน ซึ่งจะแตกต่างกับที่ไทยจะคิดเป็นรายเดือน) คุณภาพของโรงเรียนก็แตกต่างกันไปตามราคา ถ้าเป็นโรงเรียนภาษาก็จะถูกหน่อย แต่ถ้าเป็นรร.ภาษาของมหาวิทยาลัยก็จะแพงหน่อย ผมเลือกเรียนที่ English Language Company (ELC) ใจกลางเมืองซิดนีย์ ค่าเรียน$240/week ดอลล่าห์ออสเตรเลีย ราคาอาจจะแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อยแต่ดี นักเรียนต่างชาติเยอะส่วนใหญ่จะเป็นคนยุโรป, อเมริกาใต้, เอเชียก็จะเป็นญี่ปุ่นและเกาหลี มีโอกาสที่จะได้เจอเพื่อนต่างชาติทั่วโลกมีมาก (ยังติดต่อกันจนถึงทุกวันนี้) คนไทยจะน้อยโอกาสที่จะได้ใช้ภาษาจึงมากขึ้น แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เอาแบบถูกๆ ราคาร้อยกว่าต่ออาทิตย์ แบบนี้คนไทยจะเยอะหน่อย กลุ่มนี้จะเน้นทำงาน อันนี้ก็แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน บางคนจะเลือกเอาแบบถูกๆแต่ดีๆ ขอบอกเลยว่าไม่มีครับ อย่างที่เราเคยได้ยินกันว่า "การศึกษาคือการลงทุน" ผมจึงเลือกดีหน่อย ครั้งเดียวในชีวิต (จะเล่าให้ฟังเรื่องโรงเรียนภาษาต่อไปครับ)
"คำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ" เมื่อเลือกโรงเรียนได้แล้ว ก็จัดการคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆคร่าวๆโดยประมาณดังนี้.
สำหรับค่าเรียนของผมตอนนั้นในปี2554 โดยประมาณ:
1. ค่าสมัครเรียน $220
2. ค่าอุปกรณ์การเรียน $200
3. ประกันสุขภาพ(7เดือน) $245
4. ค่าเรียน (24อาทิตย์) $5,640
= $6,305
ค่าสมัครเรียนโดยประมาณ = 6,305*30 = 189,150 บาท
5. ค่ายื่นวีซ่า = 19,385 บาท
6. ค่าตรวจสุขภาพ = 3,000 บาท
7. ค่าตั๋วเครื่องบิน = 20,000 บาท
8. เตรียมเผื่อค่าใช้จ่ายเมื่อมาถึง ค่าที่พัก อาหาร ประมาณ1เดือน = 30,000 บาท
* ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ = 231,535 บาท
( *Rate เงินณ.ตอนนั้นปี2554โดยประมาณ 1 AUD= 30 THB ซึ่งเช็คRate คร่าวๆ ณ.ปัจจุบันปี2558 ประมาณ 1 AUD= 26 THB เนื่องจากค่าเงินออสเตรเลียอ่อนค่าลง เงินไทยแข็งขึ้นซึ่งก็หมายความว่าถ้ามาตอนนี้จ่ายถูกกว่าเมื่อก่อน ใครคิดจะมาอยู่แล้วตอนนี้ให้รีบมานะครับได้เปรียบกว่า เดี๋ยวค่าเงินออสขึ้นจะจ่ายแพงกว่าซะเปล่าๆครับ)
โปรดติดตามตอนต่อไป.. ด้านล่างครับ
ฝากโหวต+ กระทู้ด้วยนะครับ
ติดตามภาค2 ว่าด้วยเรื่อง ที่พัก, ไทยทาวน์, เดินชมเมืองซิดนีย์
จากมนุษย์เงินเดือนแชร์ประสบการณ์ ทำงานส่งตัวเองเรียนนอก (ออสเตรเลีย) ไม่ต้องรวยก็มาได้ http://ppantip.com/topic/33879202/comment1