Hydrangea ความสวยงามท่ามกลางสายฝน

สวัสดีอีกครั้งครับ

ก่อนเข้าหน้าร้อน ที่ญี่ปุ่นจะเป็นช่วงหน้าฝน หรือช่วงที่ฝนจะตกบ่อยมากๆ ประมาณ 1  เดือนเต็มๆเห็นจะได้ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คงคิดว่าหน้าฝนแบบนี้ จะไปเที่ยวที่ไหนดี เพราะไปที่ไหนๆก็ไม่สวย แต่ถ้าสำหรับดอก Hydrangea แล้ว ฝนกลับไม่ใช่ปัญหา แถมยังสวยกว่าไม่มีฝนอีกซะด้วย

ดอก Hydrangea หรือชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า ดอก 紫陽花(あじさい)เป็นดอกไม้ที่จะบานในช่วงก่อนหน้าร้อน หรือหน้าฝนของประเทศญี่ปุ่นพอดี เพราะฉะนั้นภาพลักษณ์ของดอกนี้ในสายตาคนญี่ปุ่นจึงเป็นดอกไม้ที่มากับฝน นอกจากนี้ดอกไม้ก็จะดูสดใสและชุ่มชื่นเป็นพิเศษหากเป็นช่วงที่ฝนตกหรือฝนเพิ่งตกไป เพราะดอกไม้ชนิดนี้ชอบน้ำมากเป็นพิเศษ โดยช่วงเวลาการบานของดอกไม้นี้ ก็จะเป็นประมาณ กลางเดือนมิถุนายน และจะบานอยู่ประมาณ สองถึงสามอาทิตย์ (ยาวนานกว่าซากุระอยู่พอควร ๕๕๕) ซึ่งสายพันธุ์ก็มีมากมายหลายพันธุ์ สถานที่สามารถพบเห็น และข้อมูลเน้นๆ หากเพื่อนคนไหนสนใจ ผมแนะนำให้ลองอ่านจาก Wikipedia ดูครับ แต่สำหรับวันนี้ ผมจะเอาสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของดอก Hydrangea มาแนะนำ ซึ่งสถานที่นี้ ก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล นั้นก็คือ Kamakura นั้นเองครับ



เรียกได้ว่า ทั้งแถบ Kamakura เลยก็ว่าได้ที่จะมีดอก Hydrangea ขึ้นเต็มไปหมด ซึ่งไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยวที่เยอะ เพราะคนญี่ปุ่นเองก็หลั่งไหลกันมายังที่นี่ เพื่อมาชมดอก Hydrangea บานกันทุกปี และในบรรดาสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมด วันนี้ผมขอแนะนำวัด Meigetsu-in ครับ จากที่หาข้อมูลต่างๆตามอินเตอร์เน็ตหรือเวปไซต์ต่างๆ ผมคิดว่าที่วัดนี้ สวยที่สุดแล้วละครับ สำหรับดอกไม้นี้ โดยการเดินทางมาวัดนั้น สามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Kita Kamakura แล้วเดินต่อมาอีกประมาณ 10 นาที ก็จะถึงวัดครับ ปกติแล้วทางวัดจะเปิดให้เข้าชม ประมาณ 09.00  แต่สำหรับช่วงหน้า Hydrangea จะเปิดเร็วขึ้นเป็น 08.30 (หากใครต้องข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาดูได้จากเวปไซต์ Japan Guide)



หลังจากที่ผมหาข้อมูลทั้งหมดพร้อมแล้ว ขั้นต่อไปก็คือการเลือกวันเดินทาง เพราะไหนๆจะไปเที่ยวทั้งที ผมเองก็อยากที่จะสัมผัสความรู้สึกของดอกไม้ที่ขึ้นชื่อว่า มากับฝนจริงๆ ดังนั้นในการเลือกวันครั้งนี้ของผม ผมจึงเลือกวันที่ดอกไม้เริ่มบานแล้วระดับนึง และเลือกวันที่แดดไม่ออก หรือมีเมฆมากนั้นเอง เพื่อนๆหลายอาจจะสงสัย เหมือนกับที่ผมสงสัยก่อนที่ผมจะได้ไปเห็นของจริง ว่าดอกไม้อะไร เมื่อถ่ายหรือเห็นด้วยตา จะออกมาสวย ในเวลาที่ไม่มีแดด หรือฝนตก แต่บอกได้คำเดียวเลยครับ ว่าเมื่อไปสัมผัสมาแล้ว เพื่อนๆทุกคนจะเปลี่ยนใจ มันสวยงามจริงๆครับ ถึงแม้ว่า อากาศจะไม่ได้สดใส



อย่างที่ได้บอกไปข้างต้น หลังจากลงจากสถานี ตลอดทางสองข้างทาง ก็จะเต็มไปด้วยดอก Hydrangea บานอยู่สองข้างทาง จนถึงทางเข้าของวัดเลยทีเดียว ซึ่งทั้งหมดก็มีหลากสีหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นม่วง น้ำเงิน ชมพู



ลืมบอกไปอย่างครับ ว่าวัดนี้มีการเก็บค่าเข้าครับ โดยราคาประมาณ 500 เยนครับ และตอนจ่ายเงินก็จะได้โบรชัวร์แนะนำสถานที่ในวัดหน้าตาตามรูปข้างล่างเลยครับ โดยด้านหน้าจะเป็นแผนที่ภายในวัด (อาจจะอ่านยากหน่อยนะครับ เพราะเป็นภาษาญี่ปุ่น)



ส่วนด้านหลังจะเป็นส่วนอธิบายเกี่ยวกับวัดครับ



ซึ่งภายในวัดส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพันธุ์สีน้ำเงินนะครับ เรียงรายให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกันให้เต็มที่



ซึ่งในบางดอกก็ยังเป็นดอกที่บานไม่เต็มที่ หรือร่วงโรยไปแล้วก็มีนะครับ



จากที่ผมเข้าใจ ดอกไม้นี้ ก็น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของวัดนี้ เช่นกัน เพราะฉะนั้นทุกอย่างภายในวัด จึงเป็นดอกนี้หมดเลย ไม่ว่าจะเป็นแผ่นป้ายขอพร หรือ 絵馬



หรือจะถูกนำมาประดับในสถานที่ต่างๆของวัด ไม่เว้นแม้แต่องค์พระ



ซึ่งแน่นอนครับ วัดนี้ก็มีสถานที่ไฮไลต์ หรือมุมสร้างชื่อเช่นกัน มุมแรกก็คือ ทางเดินดอก Hydrangea ครับ (ชื่อนี้ผมตั้งเองนะครับ)



มุมนี้เรียกได้ว่า เป็นมุมที่น่าจะโด่งดังมากๆเลยก็ว่าได้ครับ เพราะรูปภาพมุมนี้ ถูกนำไปใช้เป็นโปสเตอร์โปรโมทแปะอยู่ทั่วสถานีรถไฟ JR ด้วยครับ ซึ่งปกติแล้ว มุมนี้จะเต็มไปด้วยคนเดินตลอดเวลา ซึ่งอาจจะต้องใช้ทริคเล็กน้อยบวกกับความโชคดีด้วยครับ ผมถึงได้ภาพนี้มา ส่วนอีกมุมที่มีชื่อเสียงคือ มุมข้างล่างนี้เลยครับ



รูปนี้เป็นมุมที่ส่องผ่านช่องทรงกลม มองออกไปเห็นวิวข้างนอก ซึ่งหากใครดูหนังญี่ปุ่นบ่อยๆ ก็จะเห็นมุมลักษณะนี้บ่อยๆนะครับ ซึ่งมุมนี้ ส่วนตัวแล้ว ผมว่าเป็นมุมที่สะท้อนความเป็นญี่ปุ่นออกมาได้ดีมากๆครับ และถ้าเกิดผมอยากได้ความเป็นญี่ปุ่น คู่กับดอกไม้ชนิดนี้ละทำยังไงดี



แน่นอนครับ ว่าสิ่งที่ผมแว่บมาให้หัวตอนแรก ก็คือ สาวญี่ปุ่นใส่ชุดยูกาตะ มาเดินชมดอกไม้ในวัดนี้ครับ และก็เหมือนสวรรค์จะเข้าใจผม และส่งผู้หญิงภาพด้านบนลงมาเดินให้ผมได้ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศได้อย่างที่ผมอยากได้ แม้ว่าจะแอบมีป้ายโผล่มารบกวนสายตาเล็กน้อย และจริงแล้วๆ นอกจากช่วงดอก Hydrangea แล้ว ผมว่าวัดนี้ก็มีความน่าสนใจไม่น้อยครับ โดยเฉพาะฤดูใบไม้ร่วง หรือใบไม้แดง ดังภาพข้างล่างเลยครับ



กลับมาที่ดอก Hydrangea ครับ นอกจากวัดนี้แล้วจริงๆ ยังมีวัดอีกหลายๆแห่งในบริเวณ Kamakura ครับ ไม่ว่าจะเป็น วัด Kasedera, Tokei-ji หรือจะเป็นวัด Joju-in ซึ่งมุมนี้เป็นอีกหนึ่งมุมที่ผมอยากแนะนำ เพียงแต่น่าเสียดายที่มุมนี้ ตอนนี้อยู่ในช่วงปรับปรุงซ่อมแซม และเอาดอกไม้มาลงใหม่ โดยที่แนะนำมุมนี้ เพราะมุมนี้จะเป็นมุมทางเดินอีกเช่นกัน โดยดอกไม้จะเต็มสองข้างทาง และฉากหลังของภาพจะเป็นชายหาดดังภาพข้างล่างนี้เลยครับ (ภาพนี้ ผมไปสำรวจมาครับ ลองจินตนาการใส่ดอกไม้ลงไปบริเวณเชียวๆดูนะครับ ๕๕๕)



และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ สำหรับเมือง Kamakura ก็ต้องรถไฟแสนเก่าแก่คู่ชาวเมืองแถวนี้ รถไฟ Enoden ครับ โดยมุมนี้เป็นมุมที่รถไฟเพิ่งจะออกมาจากอุโมงค์พอดีครับ มุมนี้คนแน่นมากครับ เพราะใครๆก็อยากจะได้ภาพมุมนี้ ทำให้ผมต้องไปซ้ำที่มุมนี้อีกครั้งวันธรรมดาจนได้ภาพข้างล่างนี้มาครับ



เป็นอย่างไรบ้างครับ กับเรื่องราวของดอก Hydrangea ที่ผมเอามาฝาก สวยสมคำร่ำลือไหมครับ? ไหนๆก็ไหนๆละ ก่อนไป ผมขอฝากรูปดอกไม้นี้ไว้อีกรูปละกันครับ



สุดท้ายจริงๆละครับ หวังว่าทุกคนคงจะชอบเรื่องที่ผมเอามาแบ่งปันกันนะครับ และครั้งหน้าผมจะเอาเรื่องราวอะไรมาเล่าให้เพื่อนๆฟังอีก อย่าลืมติดตามกันนะครับ สวัสดีครับ


เพี้ยนแช๊ะ

ที่มา: http://www.knotmirai.com/travel/hydrangea-ajisai/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่