เพจ "จบข่าว" กับการต่อสู้ Clickbait?

สวัสดีครับ พอดีวันนี้กลับบ้านมามีน้องส่งเพจใหม่มาให้ดู ดูแล้วนึกอยากจะเขียนเรื่องนี้เพราะอยู่ในใจมานานแล้ว และอยากทราบความเห็นของเพื่อนๆในพันทิปครับ

เพจ “จบข่าว” เพจใหม่ที่คนกระหน่ำกดไลค์จนเฟซบุ๊คต้องระงับไม่ให้กดไลค์ชั่วคราวเพราะระบบเข้าใจว่าเป็นเพจที่มี spamming/malicious behavior เจ้าของเพจใช้สโลแกนประมาณว่าเวลามีค่า อย่าเสียท่ากด clickbait

เป็นเพจที่นอกจากจะตลกโคตรๆ แล้ว ยังเห็นแล้วตื่นเต้นเพราะว่า(อาจจะ)เป็นสัญญาณที่ดีต่อวงการกฎหมาย การตลาด สื่อสารมวลชน และการคุ้มครองผู้บริโภค เผื่อคนที่ไม่รู้จัก... Clickbait คือเว็บไซต์ หรือ url link ที่มุ่งกระตุ้นให้คนอยากกดเข้าสู่เว็บไซต์ ตามชื่อของมัน “เหยื่อล่อคลิก”

Clickbait น่าจะเติบโตมาจาก online advertisement เหล่าภาคธุรกิจต้องหาที่ที่จะลงโฆษณา ซึ่งมักจะเป็นเว็บไซต์ที่ติดอันดับคนเข้าชมอันดับสูงๆ ส่วนใหญ่พวกนี้เป็น portal website หรือเว็บท่า (เดาว่ามาจาก port ที่หมายถึงท่าเรือ คือแหล่งที่รวมคนไว้ก่อนจะออกเดินทางไปที่ต่างๆ) คนที่เกิดช่วง 2530 จะยังทันเว็บท่าเก่าแก่ในยุคดั้งเดิมอย่าง sanook kapook teenee รวบรวมข้อมูลที่คิดว่าคนน่าจะอยากรู้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเบาสมอง ดูดวง เรื่องตลก ทำหน้าที่เป็นเหมือนสมุดหน้าเหลืองเว็บไซต์

เว็บต่างๆแข่งขันกันอย่างยิ่งที่จะทำให้ยอดผู้เข้าชมในแต่ละปีขึ้นเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ (ดูอันดับเว็บไซต์ในปีต่างๆ ได้จาก truehits.net) ช่วงแรกๆ sanook เปิดเกมโดยสร้างระบบ live chat ให้คนเข้ามาคุยกันได้แบบ real time online (ต่อมาระบบนี้ก็ตายไปตอนที่ MSN เริ่มเกิด) kapook เคยโด่งดังในฐานะเว็บที่ให้ฟังเพลงฟรี ฟังวิทยุฟรี บางเว็บมีเว็บบอร์ด บางเว็บเอาเกมมาให้เล่นออนไลน์ (ยุคที่เกม arcade ธรรมดาๆก็ถือเป็นความไฮโซขั้นสุดยอดสำหรับเด็กเนื่องจากแอบเล่นในห้องคอมโรงเรียนได้) มีการอัพเดทและพัฒนาข้อมูลตลอดเวลา ยิ่งคนเข้าเยอะ ranking ดีค่าโฆษณาสำหรับ spot โฆษณาต่างๆที่เข้ามาเช่าพื้นที่ในเว็บไซต์ก็ยิ่งแพง



ไม่กี่ปีผ่านมาที่เฟซบุ๊คเริ่มเข้ามาสู่ตลาดและกลายเป็น Social media อันดับหนึ่งของโลก (และกรุงเทพก็เป็นเมืองหลวงของเฟซบุ๊คแล้วเนื่องจากมียอดสมาชิกรวมสูงที่สุดในโลก)

online advertisement มองเห็นช่องทางการทำธุรกิจใหม่ โดยเอาโมเดลมาจากเว็บ portal ต่างกันแค่ว่า ตัวเองไม่ต้องใช้สติปัญญาหรือกำลังคนในการสร้างเว็บไซต์ให้น่าสนใจ หรือคิดค้นระบบใหม่ๆ เลย แค่ดึงดูดให้คนเข้าเว็บ portal ของตัวเอง ซึ่งก็คือ ใช้ Clickbait

เริ่มจากการสร้างเว็บเปล่าๆปลอมๆที่ไม่ต้องมีอะไรมากเลย เพราะไม่ได้ต้องการให้คนมาเข้าเว็บโดยตรงอยู่แล้ว และใช้ Content ที่ไม่ต้องคิดหรือลงทุนอะไรเลย เพราะสามารถก๊อปปี้เอาจากเว็บอื่นได้ ล่าสุดทำได้แม้กระทั่งเขียนโค้ดให้ก๊อปปี้ content คนอื่นมาลงได้โดยอัตโนมัติ ขนาดข่าวที่ลงว่าตัวเองโดนรุมฟ้องยังเอามาลง (หลังจากนั้นก็รีบลบออกไปแต่เสียดายผู้บริโภคเค้าถ่ายรูปไว้หมด) ใช้พาดหัวลิงค์ให้คนอยากเข้ามาอ่าน แน่นอนว่ามันก็คือ “....เมื่อเห็นแล้วคุณจะต้องอึ้ง!” หรือ “น้ำตาจะไหลเมื่อได้ทราบว่า......” โฆษณาที่นำมาลงก็มีทั้งโฆษณาจริงๆ กับโฆษณาที่ผิดกฎหมาย (สินค้าผิดกฎหมาย เนื้อหาโฆษณาผิดกฎหมาย)

เนื้อหา Clickbait พวกนี้ใช้เรื่องที่ Extreme เช่นศพสยองสองแม่ลูก นางแบบ AV ดราม่าปมชีวิตคน (ที่ไปทำซ้ำมาจากเว็บอื่น) ใช้รูปที่หวือหวา (ที่ก๊อปคนอื่นมา) ดึงให้คนกด รูปโป๊ รูปศพ รูปที่ดูมีเซ็นเซอร์ๆ หรือไม่ก็ให้บริการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น เอาทีวีทุกช่องมาลงให้ดู ก๊อปละครคนอื่นย้อนหลังมาเปิดใหม่ สตรีมบอลสดให้ดู เอาไปแชร์ให้ทั่ว หลอกล่อให้คนกดเข้ามาเยอะๆ

พอคนกดเข้า Clickbait ก็ต้องอึ้งน้ำตาจะไหลตามที่มันเขียนไว้จริงๆ เพราะนอกจากเนื้อหาไม่เห็นมีเหวหอกดอกไม้อะไรเลย ยังเต็มไปด้วยโฆษณาครีมทาสิวหน้าใสภายใน 7 วัน ยาลดความอ้วนเห็นผลจริงไม่โยโย่ ผลิตภัณฑ์เพิ่มขนาดคุณชาย และขอแสดงความยินดี!คุณได้รับไอโฟนหกคลิกเลย บางเว็บมีป๊อบอัพเด้งขึ้นมาอีกเต็มไปหมด มี redirect เข้าเว็บอื่นออโต้อีก มีโหลดไฟล์อัตโนมัติเข้าเครื่องอีก กดทีเดียวได้โชคหลายชั้น Clickbait inception Clickbait ตกใจรีบปิดแทบไม่ทัน พวกโฆษณาของจริงในเว็บมีคนดูหรือไม่แทบจะไม่ต้องสงสัยเลย

เว็บไซต์ที่ต้องลงทุนลงแรงทำ content โดนขโมยทั้ง content และยอด potential user ผู้ประกอบธุรกิจโดนขโมยยอดผู้บริโภคที่จะเห็นโฆษณา เพราะยอดกดเข้า Clickbait จริงๆแทบไม่มีประโยชน์ต่อโฆษณาเลย ส่วนผู้บริโภคก็ต้องถูก expose โดยเนื้อหาไม่พึงประสงค์ บางรายได้ malware/Trojan แถมมาด้วย แอนตี้ไวรัสเด้งรัวๆ

ช่วง 57 ถึงปัจจุบันที่ผ่านมามีเว็บ clickbait ที่แตะอันดับ 1 ใน truehits อย่างน้อย 2 เว็บ จากเว็บจอมปลอมที่ไม่มีอะไรเลย มีแต่เนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์คนอื่นมา และรูปโป๊รูปสยอง ต่อมาเจ้าของ content ฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ เว็บที่ถูกฟ้องปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว (แต่จริงๆเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังยังลอยนวลและได้เปิดเว็บใหม่ขึ้นมาในไม่ช้า)

ปัญหาทางปฏิบัติคือ ไม่มีองค์กรไหนหรือหน่วยงานไหนใส่ใจที่จะมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิด เพราะไม่มีกฎหมายไหนเขียนไว้ตรงๆให้มันผิดขนาดนั้น องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคก็กำลังวุ่นวายกับการประท้วงทำไมน้ำมันแพงๆๆๆ ลิขสิทธิ์ก็ฟ้องยากแล้วทำได้แค่ไล่ฟ้องคนที่โดนเชิดออกมาหน้าม่าน เว็บปิด/ถูกปิดไปก็มีเว็บใหม่มาไม่ยาก เพราะมีโครงสร้างเว็บเดิมรอไว้แล้ว

ทางเดียวที่จะต่อสู้กับ Clickbait ที่มักง่ายและไร้จรรยาบรรณพวกนี้คือผู้บริโภคต้องเข้มแข็ง รู้เท่าทันว่าอันไหนคือเว็บ Clickbait ผู้บริโภคของ Clickbait มีทั้งภาคธุรกิจที่ลงโฆษณาและประชาชนผู้เล่นอินเตอร์เน็ตอย่างเราๆนี่เอง

ถ้าธุรกิจไม่หลงเชื่อยอด view จอมปลอมของ Clickbait น่าตกใจที่ทุกวันนี้มีแบรนด์ดังๆหลายที่ที่ป่าวประกาศว่าส่งเสริมธรรมาภิบาลและกฎหมาย มาลงโฆษณาในเว็บ Clickbait โชว์หราอยู่ข้างๆโฆษณาเพิ่มขนาดน้องชาย และถ้าประชาชนไม่หลงคลิกเหยื่อล่อเพิ่มยอด view ปลอมๆให้เว็บเหล่านี้ วันหนึ่งการหากินกับ Clickbait ก็คงต้องหายไปโดยปริยาย

ตอนเวลาประมาณ 21.05 เพจ "จบข่าว" นี้มียอดกดไลค์แค่ 26k ตอน 23.30 ยอดอยู่ที่ 47k เพิ่มมา 2 หมื่นกว่าคนในเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง เป็นสัญญาณดีว่าจริงๆผู้บริโภคก็(อาจจะ)เริ่มเบื่อกับ Clickbait แล้ว ที่ต้องใส่ “(อาจจะ)” ทั้งข้างบนและข้างล่าง เพราะผมไม่รู้ว่าจริงๆสิ่งที่เข้าใจเกี่ยวกับผู้บริโภคจะเป็นอย่างที่คิดรึเปล่า และไม่แน่ใจว่า “จบข่าว” จะเป็นแค่กระแสวูบๆวาบๆแล้วดับไป แล้วจบข่าวตัวเองกลายเป็น Clickbait ไปด้วยหรือไม่

ขอบคุณที่อ่านครับ ยิ้ม น้อมรับฟังทุกความคิดเห็นครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่