ใครที่เคยได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น ผมเชื่อเลยว่าต้องมีคนเคยพบและเห็นร้านอาหาร MK และก็ต้องอุทานออกมาว่า
“ เฮ้ย! ที่ญี่ปุ่นมีเอ็มเคด้วยหว่ะ “
ใช่แล้วครับ MKสุกี้ของบ้านเราเนี่ยแหละที่ขยายสาขากันจนทั่วประเทศและลามไปไกลถึงต่างแดน ทั้งเวียดนาม สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย จนกระทั่งมาเปิดสาขาที่ญี่ปุ่น (จากที่ไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติม สาขาที่ญี่ปุ่นเปิดตั้งแต่ปี 1994 !!! )
แต่คนส่วนใหญ่เวลาที่ได้ไปเจอร้าน MK ที่ญี่ปุ่น ก็มักจะมีคำต่อท้ายหลังจากอุทานแล้วว่า
“ จะบ้าเรอะ มาญี่ปุ่นทั้งทีจะมากินเอ็มเค “
แน่นอนครับอุตส่าห์ไปเที่ยวถึงญี่ปุ่นทั้งที ค่าตั๋วก็ไม่ใช่ถูกๆ ข้ามน้ำข้ามทะเลไปกันถึงแดนปลาดิบ แทนที่จะได้กินโอโทโร่จากตลาดปลา ไปชิมเนื้อย่างโกเบ สเต็กเทปันยากิมันเยิ้มๆ เทมปุระกรอบๆเลิศรส ราเมงรสชาติเยี่ยมอีกหลายร้าน และอาหารอื่นๆอีกมากมายที่ไปอยู่อาทิตย์นึงก็ยังไปตามกินไม่หมด เหตุผลเหล่านี้ก็ได้ทำให้หลายๆคนได้แค่มองร้าน MK แล้วก็เดินผ่านไป
แต่ไม่ใช่ผมแน่ๆ เพราะผมเป็นคนที่ชอบกิน MK เอาซะมากๆ เรียกว่าคลั่งเลยดีกว่า ด้วยความอยากลอง อยากรู้อยากเห็นของผม บวกกับการดูรีวิวของนักชิมหลายๆท่านที่เคยไปลองMKที่ญี่ปุ่นมาแล้ว มันก็จุดตะเกียงแห่งความฝันของผมให้ลุกโชติช่วงขึ้นมา ผมตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเลยว่า ถ้ากูมีโอกาสได้ไปญี่ปุ่น กูจะไปกินเอ็มเค !!!! เพื่อที่จะได้รู้กันซักทีว่ามันต่างจากของที่ไทยยังไงบ้าง (พอบอกแฟนไปอย่างนั้น ผมก็อ่านความในใจที่ส่งผ่านมาจากสายตาของเธอออกทันทีว่า “จะบ้าเหรอ ไปญี่ปุ่นแล้ว-เอ็มเค”)
เดชะบุญ วันนั้นได้มาถึงจริงๆแล้วครับ วันที่ผมจะได้ไปกิน MK ที่ญี่ปุ่น!!!! ..........เดี๋ยวมาต่อนะครับ .......
ล้อเล่นนะ ตามผมไป MK กันเลย
-การเดินทาง
พอรู้ว่าจะได้ไปญี่ปุ่นจริงๆ ผมก็ได้เตรียมพริกสับไปเผื่อด้วย (อันนี้ต้องขอบคุณแฟนที่อุตส่าห์สับพริกมาให้ด้วย) และพอวันแรกที่ถึงโตเกียว เข้าเมืองปุ๊ป เก็บของเข้ารร. ผมก็ลากแฟนไปที่ชินจูกุทันที ซึ่งตำแหน่งของร้านMKอยู่ไม่ไกลจากห้างอิเซตันครับ อยู่ชั้นที่ 3 ของตึก Shinjuku Bunka Bldg
อันนี้ป้ายหน้าร้านครับ
แฟนผมนี่น้ำตาไหลพราก ซึ่งไม่น่าจะใช่น้ำตาที่เกิดจากความตื้นตันแน่ๆ
-การสั่งอาหาร
บอกตรงๆเลยครับว่างงกับเมนูของที่นี่ ปรกติก็งงกับภาษาญี่ปุ่นอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีพนักงานมาพูดภาษาญี่ปุ่นใส่รัวๆเลย ไอ้เราก็หน้าเจื่อนไปเพราะคิดว่ามานั่งแล้วจิ้มๆสั่งอาหารจากจอที่โต๊ะได้ สักพักพนักงานคงได้ยินผมกับแฟนพูดภาษาไทยกัน ก็คงจะเดาได้ว่าเราน่าจะเป็นคนไทย นางก็พูดภาษาอังกฤษบอกเราประมาณว่า
“ กรุณารอสักครู่ เดี๋ยวจะให้พนักงานที่พูดไทยได้มารับออเดอร์ “
ใช่ครับ พนักงานMKของที่นั่นมีคนพูดไทยได้ เมื่อพนักงานคนที่พูดไทยได้มาถึง ก็ได้ความจากน้องเขาว่า ที่เธอพูดไทยได้นั้นเพราะเธอเป็นลูกครึ่ง น้องเขาน่ารักใช้ได้ทีเดียวเลยครับ แต่ผมก็ไม่ได้ถามต่อว่า พ่อหรือแม่ของเธอที่เป็นคนไทย เนื่องจากผมเห็นแฟนผมเองกำตะเกียบทำท่าพร้อมแทงมาที่ผม ราวกับว่าถ้ายังไม่หยุดถามเดี๋ยวแม่จะเอาตะเกียบแทงให้มิดด้าม
ถึงแม้ทางเอ็มเคจะมีเมนูให้กดๆที่โต๊ะ แต่เราก็ต้องบอกทางร้านก่อนว่าจะกินบุฟเฟต์อะไรบ้าง
ซึ่งถ้าเป็นบุฟเฟ่ต์หม้อต้มก็ 1980 เยน แต่ถ้าต้องการกินบุฟเฟ่ต์ติ๋มซำด้วยก็เพิ่ม 300 เยน แต่ถ้าเพิ่มบุฟเฟต์ซูชิก็เพิ่มอีก 600 เยน ส่วนเครื่องดื่มมีแบบเป็นบุฟเฟ่ต์เช่นกันครับ ถ้าแบบไม่มีแอลกฮอล์ก็ 280 เยน และถ้าเป็นบุฟเฟ่ต์ที่มีแอลกฮอล์ด้วยก็ 1480 เยน ครับ (ราคาที่กล่าวมายังไม่ได้รวมภาษีนะครับ)
เมื่อเลือกเสร็จก็ต้องมาเลือกน้ำซุปกันต่อครับ ที่นี่มีน้ำซุปให้เลือกถึง 4 แบบครับ มีน้ำซุปใส ซุปสุกี้ยากี้แบบญี่ปุ่น ซุปต้มยำ และ ซุปมะเขือเทศ (รอบนี้ผมสั่งซุปสุกี้ยากี้ เพราะว่าแฟนขอเป็นซุปนี้ครับ)
-เครื่องปรุง
ซ้ายสุดที่ไม่ทราบจริงๆว่าอะไร ถามพนักงานแล้วนางก็บอกไม่ถูก (ชิมแล้วก็เค็มๆบ๊วยๆมั้งครับ) อันถัดมาเป็นน้ำจิ้มเอ็มเคแบบของบ้านเราเลยครับ ถัดไปเป็นน้ำจิ้มถั่ว และ พอนซึ ครับ
-หน้าแรกของจอ
เมนูเนื้อ ลูกชิ้น ไส้กรอก ข้าว และ ผัก
ถ้าอันไหนเขาวงเล็บว่า (One Piece) นี่ไม่ใช่ว่าเป็นลายการ์ตูนลูฟี่วันพีซนะครับ แต่เขาเสิร์ฟชึ้นเดียวจริงๆ ใครอยากได้ทีละเยอะๆก็กดบวกเพิ่มกันไปครับ
ส่วนเซตนี้เป็นพวกติ๋มซำ อาหารอื่นๆ และ เมนูของเด็กที่ไม่ได้รวมอยู่ในบุฟเฟ่ต์หลักครับ
- เมนูเครื่องดื่มคร่าวๆ
บอกเลยว่าสำหรับคนที่ชอบดื่ม หรือ ขี้เมาทั้งหลายน่าจะถูกใจกับ All you can drink ของที่นี่ เพราะมีให้เลือกเยอะทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ , ไวน์ , Highball (เหมือนเหล้าของบ้านเราเนี่ยแหละครับ) , ค๊อกเทล , โซจู , สาเก (กินเบียร์สี่แก้วก็คุ้มแล้วครับ)
เมนู Soft drink ครับ
- พริก กระเทียม
และผลบุญจากการที่เตรียมพริกมาจากไทยก็เห็นผลครับ การจะขอพริกหรือกระเทียมของที่นี่ต้องเสียตังค์เพิ่มครับซึ่งพริกก็มีราคา 100 เยนครับ (ไม่รวมภาษี) ซึ่งรสชาติก็ยังไม่ค่อยเผ็ดครับ
เอาล่ะๆ อาหารมาแล้ว
ของครบมือแล้ว
มีของหวานด้วยครับ (ไม่ได้รวมอยู่ในบุฟเฟ่ต์นะครับ)
-ค่าเสียหาย
สรุปเลยนะครับ ด้วยความชอบกินMKของผมส่วนตัว ถือว่าผ่านครับ ถึงแม้จะไม่ได้อร่อยเลิศหรูกินแล้วน้ำตาไหล และมีของให้เลือกน้อยกว่าที่ไทยก็ตาม แต่มันก็ทดแทนได้ด้วย All you can drink ไปได้ (เหตุผลส่วนตัวมากๆ) คราวนี้ผมไม่ได้สั่งอะไรเยอะมาก ถ่ายรูปอาหารก็ยังน้อย เพราะมัวแต่กิน ไว้คราวหน้าถ้าได้ไปกินอีกรอบจะตั้งใจถ่ายรูปอาหารมาให้มากกว่านี้นะครับ พอบอกให้แฟนฟังว่าจะกลับไปกินอีก นางก็ตอบผมว่า
[CR] แฟนหาว่าผมบ้า แต่ผมก็ข้ามน้ำข้ามทะเลกว่า 4595 กิโลเมตร เพื่อไปกิน MK
“ เฮ้ย! ที่ญี่ปุ่นมีเอ็มเคด้วยหว่ะ “
ใช่แล้วครับ MKสุกี้ของบ้านเราเนี่ยแหละที่ขยายสาขากันจนทั่วประเทศและลามไปไกลถึงต่างแดน ทั้งเวียดนาม สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย จนกระทั่งมาเปิดสาขาที่ญี่ปุ่น (จากที่ไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติม สาขาที่ญี่ปุ่นเปิดตั้งแต่ปี 1994 !!! )
แต่คนส่วนใหญ่เวลาที่ได้ไปเจอร้าน MK ที่ญี่ปุ่น ก็มักจะมีคำต่อท้ายหลังจากอุทานแล้วว่า
“ จะบ้าเรอะ มาญี่ปุ่นทั้งทีจะมากินเอ็มเค “
แน่นอนครับอุตส่าห์ไปเที่ยวถึงญี่ปุ่นทั้งที ค่าตั๋วก็ไม่ใช่ถูกๆ ข้ามน้ำข้ามทะเลไปกันถึงแดนปลาดิบ แทนที่จะได้กินโอโทโร่จากตลาดปลา ไปชิมเนื้อย่างโกเบ สเต็กเทปันยากิมันเยิ้มๆ เทมปุระกรอบๆเลิศรส ราเมงรสชาติเยี่ยมอีกหลายร้าน และอาหารอื่นๆอีกมากมายที่ไปอยู่อาทิตย์นึงก็ยังไปตามกินไม่หมด เหตุผลเหล่านี้ก็ได้ทำให้หลายๆคนได้แค่มองร้าน MK แล้วก็เดินผ่านไป
แต่ไม่ใช่ผมแน่ๆ เพราะผมเป็นคนที่ชอบกิน MK เอาซะมากๆ เรียกว่าคลั่งเลยดีกว่า ด้วยความอยากลอง อยากรู้อยากเห็นของผม บวกกับการดูรีวิวของนักชิมหลายๆท่านที่เคยไปลองMKที่ญี่ปุ่นมาแล้ว มันก็จุดตะเกียงแห่งความฝันของผมให้ลุกโชติช่วงขึ้นมา ผมตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเลยว่า ถ้ากูมีโอกาสได้ไปญี่ปุ่น กูจะไปกินเอ็มเค !!!! เพื่อที่จะได้รู้กันซักทีว่ามันต่างจากของที่ไทยยังไงบ้าง (พอบอกแฟนไปอย่างนั้น ผมก็อ่านความในใจที่ส่งผ่านมาจากสายตาของเธอออกทันทีว่า “จะบ้าเหรอ ไปญี่ปุ่นแล้ว-เอ็มเค”)
เดชะบุญ วันนั้นได้มาถึงจริงๆแล้วครับ วันที่ผมจะได้ไปกิน MK ที่ญี่ปุ่น!!!! ..........เดี๋ยวมาต่อนะครับ .......
ล้อเล่นนะ ตามผมไป MK กันเลย
-การเดินทาง
พอรู้ว่าจะได้ไปญี่ปุ่นจริงๆ ผมก็ได้เตรียมพริกสับไปเผื่อด้วย (อันนี้ต้องขอบคุณแฟนที่อุตส่าห์สับพริกมาให้ด้วย) และพอวันแรกที่ถึงโตเกียว เข้าเมืองปุ๊ป เก็บของเข้ารร. ผมก็ลากแฟนไปที่ชินจูกุทันที ซึ่งตำแหน่งของร้านMKอยู่ไม่ไกลจากห้างอิเซตันครับ อยู่ชั้นที่ 3 ของตึก Shinjuku Bunka Bldg
อันนี้ป้ายหน้าร้านครับ
แฟนผมนี่น้ำตาไหลพราก ซึ่งไม่น่าจะใช่น้ำตาที่เกิดจากความตื้นตันแน่ๆ
-การสั่งอาหาร
บอกตรงๆเลยครับว่างงกับเมนูของที่นี่ ปรกติก็งงกับภาษาญี่ปุ่นอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีพนักงานมาพูดภาษาญี่ปุ่นใส่รัวๆเลย ไอ้เราก็หน้าเจื่อนไปเพราะคิดว่ามานั่งแล้วจิ้มๆสั่งอาหารจากจอที่โต๊ะได้ สักพักพนักงานคงได้ยินผมกับแฟนพูดภาษาไทยกัน ก็คงจะเดาได้ว่าเราน่าจะเป็นคนไทย นางก็พูดภาษาอังกฤษบอกเราประมาณว่า
“ กรุณารอสักครู่ เดี๋ยวจะให้พนักงานที่พูดไทยได้มารับออเดอร์ “
ใช่ครับ พนักงานMKของที่นั่นมีคนพูดไทยได้ เมื่อพนักงานคนที่พูดไทยได้มาถึง ก็ได้ความจากน้องเขาว่า ที่เธอพูดไทยได้นั้นเพราะเธอเป็นลูกครึ่ง น้องเขาน่ารักใช้ได้ทีเดียวเลยครับ แต่ผมก็ไม่ได้ถามต่อว่า พ่อหรือแม่ของเธอที่เป็นคนไทย เนื่องจากผมเห็นแฟนผมเองกำตะเกียบทำท่าพร้อมแทงมาที่ผม ราวกับว่าถ้ายังไม่หยุดถามเดี๋ยวแม่จะเอาตะเกียบแทงให้มิดด้าม
ถึงแม้ทางเอ็มเคจะมีเมนูให้กดๆที่โต๊ะ แต่เราก็ต้องบอกทางร้านก่อนว่าจะกินบุฟเฟต์อะไรบ้าง
ซึ่งถ้าเป็นบุฟเฟ่ต์หม้อต้มก็ 1980 เยน แต่ถ้าต้องการกินบุฟเฟ่ต์ติ๋มซำด้วยก็เพิ่ม 300 เยน แต่ถ้าเพิ่มบุฟเฟต์ซูชิก็เพิ่มอีก 600 เยน ส่วนเครื่องดื่มมีแบบเป็นบุฟเฟ่ต์เช่นกันครับ ถ้าแบบไม่มีแอลกฮอล์ก็ 280 เยน และถ้าเป็นบุฟเฟ่ต์ที่มีแอลกฮอล์ด้วยก็ 1480 เยน ครับ (ราคาที่กล่าวมายังไม่ได้รวมภาษีนะครับ)
เมื่อเลือกเสร็จก็ต้องมาเลือกน้ำซุปกันต่อครับ ที่นี่มีน้ำซุปให้เลือกถึง 4 แบบครับ มีน้ำซุปใส ซุปสุกี้ยากี้แบบญี่ปุ่น ซุปต้มยำ และ ซุปมะเขือเทศ (รอบนี้ผมสั่งซุปสุกี้ยากี้ เพราะว่าแฟนขอเป็นซุปนี้ครับ)
-เครื่องปรุง
ซ้ายสุดที่ไม่ทราบจริงๆว่าอะไร ถามพนักงานแล้วนางก็บอกไม่ถูก (ชิมแล้วก็เค็มๆบ๊วยๆมั้งครับ) อันถัดมาเป็นน้ำจิ้มเอ็มเคแบบของบ้านเราเลยครับ ถัดไปเป็นน้ำจิ้มถั่ว และ พอนซึ ครับ
-หน้าแรกของจอ
เมนูเนื้อ ลูกชิ้น ไส้กรอก ข้าว และ ผัก
ถ้าอันไหนเขาวงเล็บว่า (One Piece) นี่ไม่ใช่ว่าเป็นลายการ์ตูนลูฟี่วันพีซนะครับ แต่เขาเสิร์ฟชึ้นเดียวจริงๆ ใครอยากได้ทีละเยอะๆก็กดบวกเพิ่มกันไปครับ
ส่วนเซตนี้เป็นพวกติ๋มซำ อาหารอื่นๆ และ เมนูของเด็กที่ไม่ได้รวมอยู่ในบุฟเฟ่ต์หลักครับ
- เมนูเครื่องดื่มคร่าวๆ
บอกเลยว่าสำหรับคนที่ชอบดื่ม หรือ ขี้เมาทั้งหลายน่าจะถูกใจกับ All you can drink ของที่นี่ เพราะมีให้เลือกเยอะทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ , ไวน์ , Highball (เหมือนเหล้าของบ้านเราเนี่ยแหละครับ) , ค๊อกเทล , โซจู , สาเก (กินเบียร์สี่แก้วก็คุ้มแล้วครับ)
เมนู Soft drink ครับ
- พริก กระเทียม
และผลบุญจากการที่เตรียมพริกมาจากไทยก็เห็นผลครับ การจะขอพริกหรือกระเทียมของที่นี่ต้องเสียตังค์เพิ่มครับซึ่งพริกก็มีราคา 100 เยนครับ (ไม่รวมภาษี) ซึ่งรสชาติก็ยังไม่ค่อยเผ็ดครับ
เอาล่ะๆ อาหารมาแล้ว
ของครบมือแล้ว
มีของหวานด้วยครับ (ไม่ได้รวมอยู่ในบุฟเฟ่ต์นะครับ)
-ค่าเสียหาย
สรุปเลยนะครับ ด้วยความชอบกินMKของผมส่วนตัว ถือว่าผ่านครับ ถึงแม้จะไม่ได้อร่อยเลิศหรูกินแล้วน้ำตาไหล และมีของให้เลือกน้อยกว่าที่ไทยก็ตาม แต่มันก็ทดแทนได้ด้วย All you can drink ไปได้ (เหตุผลส่วนตัวมากๆ) คราวนี้ผมไม่ได้สั่งอะไรเยอะมาก ถ่ายรูปอาหารก็ยังน้อย เพราะมัวแต่กิน ไว้คราวหน้าถ้าได้ไปกินอีกรอบจะตั้งใจถ่ายรูปอาหารมาให้มากกว่านี้นะครับ พอบอกให้แฟนฟังว่าจะกลับไปกินอีก นางก็ตอบผมว่า