จีบสาวมันยากมันเข็ญ ยากเย็นกว่าขับ f 16 ที่ จริงก็ไม่เคยขับหรอกนะ f 16 อะไรเนี่ย แต่เฟิร์มว่าเกี้ยวสาวเนี่ยเป็นเรื่องโหดหินชะมัดยาดเลยสิเอ้า สองปีที่อยู่วัดสังเวช เราทำสถิติจีบสาวไปทั้งหมด 5 คน เป็นเพื่อนในห้องซะ 3 ห้องอื่นซะ 2 หน่วย คิดเป็นอัตราส่วนต่อเพื่อนผู้หญิงในห้อง 10 % พอดิบพอดีเด๊ะ ผลสถิติกินเนสบุ๊คบันทึกไว้ว่า เราเป็นคนหล่อที่อกหักรักคุดโดยไม่ได้รักตุ๊ดมากที่สุดในโลกแล้ว และจวบจนปัจจุบันก็ยังไม่มีใครทำลายสถิตินี้ลงได้ ว่าแล้วลองมาแจกแจงเป็นราย ๆไปดีกว่า
รายแรก ก็คนที่มาทำหน้าแดงใส่ตอนล้างแก้วแล็บเคมีนั่นแหละ นับเป็นแห้วกระป๋องแรกที่ได้กิน รสชาติปวดปร่าใช้ได้ทีเดียวเชียว แต่หาได้เข็ดไม่ เพราะเราถือคติ ผู้หญิงไม่ไร้เท่าใบพุทรา เที่ยวออกเดินหาต้องเจอจั๋ง ๆ บ้างแหละน่า ฮึ่มฮึ ฮึ่มแฮ่
รายที่สอง สาวเจ้านั่งโต๊ะหน้าเรากับสาวน้อยร่างยักษ์ที่โดนเราอำด้วยไปรษณียบัตรรัก จากนายร้อยนั่นแหละ หลังจากหนิดหนมกันได้พักเดียว จู่ ๆเราก็เกิดมองเห็นความน่ารักน่าชังของสาวเจ้าขึ้นมาซะงั้น ( ไม่ใช่สาวนายร้อยนะจ๊ะ ) จึ่งมีวันนึง ไม่รู้จะเริ่มยังไง เลยเอ่ยปากชวนหล่อนดื้อ ๆว่า " แต่งงานกันมั้ย" แหม ใครจะไปบ้าขนาดนั้น " ไปตีแบดกันมั้ย" ตะหากเล่า เล่นเอาคุณเธองงง ๆไปเหมือนกัน
ส่วนแม่เจ้าประคุณรุนช่องที่นั่งคู่กับเธอก็ช่างคิดแค้นที่ถูกเราอำเรื่อง นายร้อยสอยรักหรือไงก็ไม่รู้ เลยเที่ยวตามล้างตามเช็ดตามกีดตามกันตามก้างตามขวางตามคอเราอยู่ทุกฝีก้าวสิน่า สุดท้ายยังไงก็ไม่รู้ เลยไปผิดใจกับเพื่อนอริที่มันก็คั่ว ๆของมันอยู่เหมือนกัน เลยต้องนัดกันไปฟาดปากกันบนป้อมพระสุเมรุในวันตรุษจีนนั่นแหละ ที่จริงเรื่องนี้มีเกล็ดนิดหน่อยด้วย คือตอนต่อยกันเนี่ย ไอ้คู่ชกเรามันสวมแหวนโลหะด้วยนะ ซัดเราเข้าเป้ากึ่งปากกึ่งจมูกพอดีเชียะเมียะ ไอ้เกียรติ ซี้เรามันถึงได้เดือดแค้นแทนนักไง ส่วนสาวเจ้า ตอนหลังก็สอบเข้าคณะครุศาสตร์จุฬา เราเลยตามไปลองเสนอขายขนมจีบอีกรอบ เธอเลยควักแห้วขึ้นมาให้อีกกระป๋องบอกว่า " เอ้า ป๋องเดียวไม่พอเหรอ แถมให้อีกหนึ่งแล้วกันนะ ในฐานะที่เป็นขาประจำกัน" 555
รายที่สาม เป็นเพื่อนห้องศิลป์ ( เราเรียนวิทย์ชีวะ ) สาวสุพรรณ น่าร้าาาาาาาาาาาาาาาาากซะอดใจไม่ไหว ลุยเลยแล้วกัน แรก ๆเค้าก็ยอมเป็นเพื่อนดีอยู่หรอก คงเห็นเราคุยสนุกกลิ่นเต่าไม่ชัดแจ้งอะนะ แต่พอเรารุกหนัก ๆเข้า สาวเจ้าเลยบอกว่า " เป็นเพื่อนกันดีกว่านะ ถ้าเป็นแค่เพื่อนล่ะโอเลย" เราเลยได้คอลเล็กชั่นแห้วเพิ่มมาอีกหนึ่ง จำได้เลา ๆว่า ตอนหลังเธอจะเข้าธรรมศาสตร์นะรายนี้
รายที่สี่ ชักติดใจเพื่อนต่างห้อง เพราะยังไม่เคยเห็นไส้เห็นพุงเรา น่าจะหลอก เอ๊ย เต๊าะได้ง่ายกว่า คนนี้ สุดยอดแห่งความน่ารักเลยด้วย ประกวดเวทีไหนก็ไม่มีทางตกรอบแรกแน่นอน อันนี้ขอการันตี ก็เที่ยวเนียนไปส่งเค้าที่บ้านสองสามครั้งได้ แล้วก็ได้รับแจกอาหารแสลง ( ใจ ) เพิ่มมาอีกป๋อง จนได้ เฮ้อออออ
รายที่ห้า รายสุดท้าย หวนกลับมาปิ๊งเพื่อนก๊วนสนิทด้วยกันนี่แหละ สาวห้าว ตลกอารมณ์ดีที่เราเคยล้วงกางเกงมาแล้วซะด้วยสิ........ แหม่ อย่าเพิ่งจินตนาการไปไกลสิท่านผู้ชมล่ะก็ คือ ครั้งนึง ช่วงปิดเทอม พวกเราราว 10 หน่อชวนกันไปเที่ยวบ้านญาติเพื่อนที่ระยองกัน เป็นอะไรที่สนุกมาก ๆเลยตอนนั้น วันนึงตอนลงเล่นน้ำทะเล เรากลัวว่าแว่นจะหลุดหาย เลยฝากเค้าใส่ในกระเป๋ากางเกงวอร์มขายาวที่เค้าใส่อยู่ ทีนี้ตอนเล่น ๆกันอยู่ ไม่รู้ยังไง เราเกิดจะเอาแว่นคืน เค้าเลยบอกให้เราล้วงลงไปใต้น้ำ ทว่า มือมันล้วงเข้าไปผิดช่อง แทนที่จะเข้าไปในกระเป๋า ดันจะเข้าไปในขอบกางเกงแทน เล่นเอาเจ้าหล่อนร้องลั่นว่า " เฮ้ย ๆ ผิดช่อง ๆ" เรางี้ ชักมือคืนแทบไม่ทันทีเดียว งานนี้เลยโดนพวกเพื่อน ๆที่ไปด้วยกันล้อซะยกใหญ่
พอกลับมา เราก็เริ่ม ๆ เต๊าะเธออย่างจริงจัง แต่บังเอิญว่า ไอ้เกียรติซี้เรามันดั๊นคิดตรงก๊ะเรานี่สิ สุดท้ายเลยเกิดฉากเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดขึ้น แนว ๆว่าเราแอบหักหลังมัน มาเต๊าะหญิงในดวงใจของมันนั่นแหละ จบลงด้วยการนัดไปเคลียร์กันสามคนเพื่อให้สาวเจ้าชี้ชัดไปเลยว่าจะเลือกใคร ไม่รู้เพราะรักเพื่อนและกลัวเสียเพื่อนนั่นแหละ หล่อนเลยบอก ไม่ล่งไม่เลือกใครทั้งนั้นแหละ " อยากถีบส่งไปทั้งสองคน" แห้วมาทีเดียวสองกระป๋องเลยทีนี้ เรากับไอ้เกียรติก็มองหน้ากันไม่ติดไปพักใหญ่ ๆทีเดียว ทว่ากาลเวลาก็นำพาให้เรากับมันกลับมากอดคอซี้ปึ้กกันเหมือนเดิม
ต๋องตี๋อารามบอย ด้วยความที่ชอบดูหนังมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ก็เลยติดหนังหนึบเป็นธรรมดา ช่วงนั้นเป็นยุคทองของซีรี่ย์ฝรั่งที่ช่อง 3 สรรหาหนังดีๆมาให้เอมกันตลอด ทั้ง holocaust หนังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวในเยอรมันที่ เมอรีล สตรีปเล่นได้สุโค่ยมากจนคว้ารางวัลเอมมี่อวอร์ดไปครอง rich man poor man หนังที่นิค โนลเต้เล่นก่อนจะเล่นหนังใหญ่ starkey and hutch หนังคู่หูตำรวจที่ทั้งมันส์ทั้งฮา roots หนังเกี่ยวกับคุนต้า คินเต้ ทาสอาฟริกันในอเมริกาที่ลึกซึ้งกินใจเหลือเกิน แล้วก็อีกหลาย ๆเรื่องที่ดี ๆ ทั้งนั้นเลย
เรื่องของเรื่องคือ หนังเรื่องนักสืบโคลัมโบเนี่ยมันดันมาดึก แต่พล็อตแต่ละตอนซับซ้อนซ่อนปมสุดจะฉลาดล้ำเต็มที เรางี้ติดงอมเลยแหละ ทว่าพี่สาวเราเค้าไม่ยอมให้ดู เพราะทั้งกลัวเราจะตื่นสาย แล้วเสียงแสงก็รบกวนเค้าด้วย ( นอนห้องเดียวกัน ) ดู ๆอยู่ เค้าก็จะลุกขึ้นมาปิด ลงไปนอน เราเปิดอีก เค้าก็ปิดอีก สุดท้ายพี่ชายเราเลยลงไปสับคัตเอ๊าท์ไฟดับไปทั้งบ้านเลย
คับแค้นใจหนักเข้า เราเลยเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลาแล้วหนาบ้านเก่า หนีไปอยู่วัดกับเพื่อนดีกว่า เลยได้ไปอาศัยนอนกับเพื่อนชื่อสุธี ( คนที่ไม่ยอมร่วมโดดเรียนไปเที่ยวงานลอยกระทงนั่นไง ) ที่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ คับที่อยู่ได้จริงอย่างที่เค้าว่า ๆกันซะด้วยดิ เพราะห้องใต้กุฏิที่เรานอนกับมันแล้วก็ ไอ้จ่อย เพื่อนจากปราจีนของมันเนี่ยขนาดไม่น่าจะเกิน 6 ตารางเมตรมั้ง นี่เป็นช่วงชีวิตที่เรามีความสุขเสรีแบบสุด ๆก็ว่าได้ และเป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อน ๆ ซึ่งเป็นอะไรที่ติดตรึงเหลือเกิน คนที่เคยเป็นนักเรียนประจำหรือเคยแชร์ห้องอยู่กับเพื่อน ๆ ย่อมจะรู้ดีว่า เรากำลังหมายถึงอะไร ( ส่วนคนที่ไม่เคยก็คงได้แต่จินตนาการกันต่อไป 55 เอิ๊ก ๆ)
สิ่งนึงที่เราได้จากการเป็นเด็กวัดที่นี่คือ " การสวาปาม" เพราะหลังจากพระท่านฉันเสร็จ เด็กวัดทุกคนก็จะมานั่งล้อมวงกินอาหารส่วนที่เหลือ มากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่ ๆละวัน แต่ส่วนใหญ่กับข้าวจะมีไม่พอกับจำนวนกระเพาะที่รออยู่ บรรยากาศการโซ้ยซวบ ๆจึงเกิดขึ้นเป็นประจำ เรียกว่าใครช้ามีหวังอดไข่ดาวไข่เจียวหมูทอดแน่ ๆ อาจเหลือแต่ผัดผักมันเยิ้มกับปลาทูกะปิเท่านั้นเอง เราเลยได้ฝึกวิทยายุทธวิชา " โซ้ยซวบ ๆ" ตักเร็วเคี้ยวเร็วจากสำนักมหาธาติแห่งนี้ไปเต็ม ๆ แล้วก็เกลียดปลาทูแบบเต็ม ๆมาถึงทุกวันนี้ด้วย ( วันก่อน ภรรยาไปซื้อผ้าเช็ดเท้าลายก้างปลาทูมาใช้ในห้องน้ำ เราเลยบอกให้เอาคว่ำลายลงกับพื้นเพื่อไม่ให้แสลงเท้าแสลงใจซะเลย )
ทุก ๆ เช้าเรากับเพื่อนจะต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าได้ แล้วเดินถือถังออกไปติดสอยห้อยตามหลวงพี่ คอยรับของใส่บาตรมาใส่ถัง เดินกันระดับพอเมื่อยเท้าไหล่ลู่เหงื่อซึมทีเดียวเชียว ส่วนใหญ่ก็จะไปแถว ๆท่าเตียนท่าช้างท่าพระจันทร์ บางครั้งก็ไปสนามหลวง แล้วก็ย่านตลาดบางลำภูโน่นเลย จำได้ว่า ปีใหม่เป็นอะไรที่ทั้งเปรมอิ่มทั้งเหนื่อยเปลี้ยสุด ๆไปเลย เพราะผู้คนจะออกมาตักบาตรกันที่สนามหลวงชนิดล้นหลามลามทุ่งยุ่งเหยิงวุ่นวายกันไปหมดทีเดียว ได้ของกินมาอย่างล้นทะลัก เรียกว่ากินกันได้ทั้งตำบลนั่นเลยล่ะ
ไอ้จ่อย ( เรียนวัดสุทธิ ปัจจุบันเป็นข้าราชการด้านประมง กระทรวงเกษตรศาสตร์ ) ถึงจะเป็นเด็กบ้านนอกและเป็นเด็กวัดก็จริง ทว่ารสนิยมมันวิไลใช้ได้เลย มันสู้อุตส่าห์เก็บรอมค่าขนมอันน้อยนิดเพื่อซื้อเหล้า Suntory ของญี่ปุ่นละมังมานั่งเคลิ้มค่อย ๆละเลียดของมันไป ปากก็บอกว่า " โหย มันอร่อยจริง ๆนาโว้ย " เราเคยลองชิมของมันดูนิดนึง แต่จำไม่ได้แล้วว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อยยังไง
และแล้ววันนึง ไอ้จ่อยก็เกือบพาเราไปขึ้นเมรุก่อนวัยอันควร เพราะจู่ ๆมันก็ชวนพวกเราไปจับผิดพวกพ่อค้าขายยาแก้แมงกินฟันที่ตลาดนัดในวัดวันอาทิตย์ จังหวะที่พ่อค้าหน้าตานักเลงเอาสำลีไปถู ๆฟันของลูกค้าหรือหน้าม้าก็ไม่รู้ได้ แล้วเปิดสำลีให้เห็นหนอนตัวเล็ก ๆที่กำลังดิ้นตะแหง่ว ๆ พร้อมกับบรรยายสรรพคุณชวนซื้อของยา ไอ้จ่อยที่จ้อง ๆอยู่ก็โพล่งเสียงดังฟังชัดว่า " นี่มันต้มตุ๋นกันชัด ๆ แมงกินฟันที่ไหนจะตัวใหญ่ขนาดนี้ " จอมตุ๋นประชาชนรายนี้ถึงกับชะงักงัน หันขวับมาทางไอ้จ่อยและพวกเราทันที พร้อมทั้งส่งประกายรังสีอำมหิตออกมา 34 กระซวกตรอน มือของมันกระชับอุปกรณ็หมอฟันปลายแหลมมั่น นาทีนั้น ทั้ง ๆที่ใจเราลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มแล้วเรียบร้อย แต่ก็คิดว่า เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ยังไงก็ต้องช่วยเพื่อนไว้ก่อนแหละ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ......... ซวบ เปล่าหรอก แค่หลอกเล่นอะ ก่อนที่จะทันได้ขึ้นหน้าหนึ่งในวันรุ่งขึ้น ก็มีลุงคนนึงเข้ามาโอบไหล่ไอ้จ่อย แล้วดุนออกมาจากวง พร้อมกับพูดว่า " เฮ้ย ไอ้หนู ลุงว่า ไปเดินเล่นทางโน้นกับลุงกันเถอะ" ไอ้จ่อยกับพวกเราจึงเดินออกจากฉากมาคุกลิ่นเลือดใกล้จะโชยชนิดเส้นยาแดงผ่าสิบหกด้วยประการฉะนี้ ขอบคุณนะครับลุง และขอบใจนะไอ้จ่อย ที่ชวน วันหลังเราไม่ว่างว่ะ ตามดวกเลยเพื่อน 555
บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง-24/49 ไปเปิดโรงงานแห้วกระป๋องดีกว่ามั้ง?
รายแรก ก็คนที่มาทำหน้าแดงใส่ตอนล้างแก้วแล็บเคมีนั่นแหละ นับเป็นแห้วกระป๋องแรกที่ได้กิน รสชาติปวดปร่าใช้ได้ทีเดียวเชียว แต่หาได้เข็ดไม่ เพราะเราถือคติ ผู้หญิงไม่ไร้เท่าใบพุทรา เที่ยวออกเดินหาต้องเจอจั๋ง ๆ บ้างแหละน่า ฮึ่มฮึ ฮึ่มแฮ่
รายที่สอง สาวเจ้านั่งโต๊ะหน้าเรากับสาวน้อยร่างยักษ์ที่โดนเราอำด้วยไปรษณียบัตรรัก จากนายร้อยนั่นแหละ หลังจากหนิดหนมกันได้พักเดียว จู่ ๆเราก็เกิดมองเห็นความน่ารักน่าชังของสาวเจ้าขึ้นมาซะงั้น ( ไม่ใช่สาวนายร้อยนะจ๊ะ ) จึ่งมีวันนึง ไม่รู้จะเริ่มยังไง เลยเอ่ยปากชวนหล่อนดื้อ ๆว่า " แต่งงานกันมั้ย" แหม ใครจะไปบ้าขนาดนั้น " ไปตีแบดกันมั้ย" ตะหากเล่า เล่นเอาคุณเธองงง ๆไปเหมือนกัน
ส่วนแม่เจ้าประคุณรุนช่องที่นั่งคู่กับเธอก็ช่างคิดแค้นที่ถูกเราอำเรื่อง นายร้อยสอยรักหรือไงก็ไม่รู้ เลยเที่ยวตามล้างตามเช็ดตามกีดตามกันตามก้างตามขวางตามคอเราอยู่ทุกฝีก้าวสิน่า สุดท้ายยังไงก็ไม่รู้ เลยไปผิดใจกับเพื่อนอริที่มันก็คั่ว ๆของมันอยู่เหมือนกัน เลยต้องนัดกันไปฟาดปากกันบนป้อมพระสุเมรุในวันตรุษจีนนั่นแหละ ที่จริงเรื่องนี้มีเกล็ดนิดหน่อยด้วย คือตอนต่อยกันเนี่ย ไอ้คู่ชกเรามันสวมแหวนโลหะด้วยนะ ซัดเราเข้าเป้ากึ่งปากกึ่งจมูกพอดีเชียะเมียะ ไอ้เกียรติ ซี้เรามันถึงได้เดือดแค้นแทนนักไง ส่วนสาวเจ้า ตอนหลังก็สอบเข้าคณะครุศาสตร์จุฬา เราเลยตามไปลองเสนอขายขนมจีบอีกรอบ เธอเลยควักแห้วขึ้นมาให้อีกกระป๋องบอกว่า " เอ้า ป๋องเดียวไม่พอเหรอ แถมให้อีกหนึ่งแล้วกันนะ ในฐานะที่เป็นขาประจำกัน" 555
รายที่สาม เป็นเพื่อนห้องศิลป์ ( เราเรียนวิทย์ชีวะ ) สาวสุพรรณ น่าร้าาาาาาาาาาาาาาาาากซะอดใจไม่ไหว ลุยเลยแล้วกัน แรก ๆเค้าก็ยอมเป็นเพื่อนดีอยู่หรอก คงเห็นเราคุยสนุกกลิ่นเต่าไม่ชัดแจ้งอะนะ แต่พอเรารุกหนัก ๆเข้า สาวเจ้าเลยบอกว่า " เป็นเพื่อนกันดีกว่านะ ถ้าเป็นแค่เพื่อนล่ะโอเลย" เราเลยได้คอลเล็กชั่นแห้วเพิ่มมาอีกหนึ่ง จำได้เลา ๆว่า ตอนหลังเธอจะเข้าธรรมศาสตร์นะรายนี้
รายที่สี่ ชักติดใจเพื่อนต่างห้อง เพราะยังไม่เคยเห็นไส้เห็นพุงเรา น่าจะหลอก เอ๊ย เต๊าะได้ง่ายกว่า คนนี้ สุดยอดแห่งความน่ารักเลยด้วย ประกวดเวทีไหนก็ไม่มีทางตกรอบแรกแน่นอน อันนี้ขอการันตี ก็เที่ยวเนียนไปส่งเค้าที่บ้านสองสามครั้งได้ แล้วก็ได้รับแจกอาหารแสลง ( ใจ ) เพิ่มมาอีกป๋อง จนได้ เฮ้อออออ
รายที่ห้า รายสุดท้าย หวนกลับมาปิ๊งเพื่อนก๊วนสนิทด้วยกันนี่แหละ สาวห้าว ตลกอารมณ์ดีที่เราเคยล้วงกางเกงมาแล้วซะด้วยสิ........ แหม่ อย่าเพิ่งจินตนาการไปไกลสิท่านผู้ชมล่ะก็ คือ ครั้งนึง ช่วงปิดเทอม พวกเราราว 10 หน่อชวนกันไปเที่ยวบ้านญาติเพื่อนที่ระยองกัน เป็นอะไรที่สนุกมาก ๆเลยตอนนั้น วันนึงตอนลงเล่นน้ำทะเล เรากลัวว่าแว่นจะหลุดหาย เลยฝากเค้าใส่ในกระเป๋ากางเกงวอร์มขายาวที่เค้าใส่อยู่ ทีนี้ตอนเล่น ๆกันอยู่ ไม่รู้ยังไง เราเกิดจะเอาแว่นคืน เค้าเลยบอกให้เราล้วงลงไปใต้น้ำ ทว่า มือมันล้วงเข้าไปผิดช่อง แทนที่จะเข้าไปในกระเป๋า ดันจะเข้าไปในขอบกางเกงแทน เล่นเอาเจ้าหล่อนร้องลั่นว่า " เฮ้ย ๆ ผิดช่อง ๆ" เรางี้ ชักมือคืนแทบไม่ทันทีเดียว งานนี้เลยโดนพวกเพื่อน ๆที่ไปด้วยกันล้อซะยกใหญ่
พอกลับมา เราก็เริ่ม ๆ เต๊าะเธออย่างจริงจัง แต่บังเอิญว่า ไอ้เกียรติซี้เรามันดั๊นคิดตรงก๊ะเรานี่สิ สุดท้ายเลยเกิดฉากเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดขึ้น แนว ๆว่าเราแอบหักหลังมัน มาเต๊าะหญิงในดวงใจของมันนั่นแหละ จบลงด้วยการนัดไปเคลียร์กันสามคนเพื่อให้สาวเจ้าชี้ชัดไปเลยว่าจะเลือกใคร ไม่รู้เพราะรักเพื่อนและกลัวเสียเพื่อนนั่นแหละ หล่อนเลยบอก ไม่ล่งไม่เลือกใครทั้งนั้นแหละ " อยากถีบส่งไปทั้งสองคน" แห้วมาทีเดียวสองกระป๋องเลยทีนี้ เรากับไอ้เกียรติก็มองหน้ากันไม่ติดไปพักใหญ่ ๆทีเดียว ทว่ากาลเวลาก็นำพาให้เรากับมันกลับมากอดคอซี้ปึ้กกันเหมือนเดิม
ต๋องตี๋อารามบอย ด้วยความที่ชอบดูหนังมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ก็เลยติดหนังหนึบเป็นธรรมดา ช่วงนั้นเป็นยุคทองของซีรี่ย์ฝรั่งที่ช่อง 3 สรรหาหนังดีๆมาให้เอมกันตลอด ทั้ง holocaust หนังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวในเยอรมันที่ เมอรีล สตรีปเล่นได้สุโค่ยมากจนคว้ารางวัลเอมมี่อวอร์ดไปครอง rich man poor man หนังที่นิค โนลเต้เล่นก่อนจะเล่นหนังใหญ่ starkey and hutch หนังคู่หูตำรวจที่ทั้งมันส์ทั้งฮา roots หนังเกี่ยวกับคุนต้า คินเต้ ทาสอาฟริกันในอเมริกาที่ลึกซึ้งกินใจเหลือเกิน แล้วก็อีกหลาย ๆเรื่องที่ดี ๆ ทั้งนั้นเลย
เรื่องของเรื่องคือ หนังเรื่องนักสืบโคลัมโบเนี่ยมันดันมาดึก แต่พล็อตแต่ละตอนซับซ้อนซ่อนปมสุดจะฉลาดล้ำเต็มที เรางี้ติดงอมเลยแหละ ทว่าพี่สาวเราเค้าไม่ยอมให้ดู เพราะทั้งกลัวเราจะตื่นสาย แล้วเสียงแสงก็รบกวนเค้าด้วย ( นอนห้องเดียวกัน ) ดู ๆอยู่ เค้าก็จะลุกขึ้นมาปิด ลงไปนอน เราเปิดอีก เค้าก็ปิดอีก สุดท้ายพี่ชายเราเลยลงไปสับคัตเอ๊าท์ไฟดับไปทั้งบ้านเลย
คับแค้นใจหนักเข้า เราเลยเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลาแล้วหนาบ้านเก่า หนีไปอยู่วัดกับเพื่อนดีกว่า เลยได้ไปอาศัยนอนกับเพื่อนชื่อสุธี ( คนที่ไม่ยอมร่วมโดดเรียนไปเที่ยวงานลอยกระทงนั่นไง ) ที่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ คับที่อยู่ได้จริงอย่างที่เค้าว่า ๆกันซะด้วยดิ เพราะห้องใต้กุฏิที่เรานอนกับมันแล้วก็ ไอ้จ่อย เพื่อนจากปราจีนของมันเนี่ยขนาดไม่น่าจะเกิน 6 ตารางเมตรมั้ง นี่เป็นช่วงชีวิตที่เรามีความสุขเสรีแบบสุด ๆก็ว่าได้ และเป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อน ๆ ซึ่งเป็นอะไรที่ติดตรึงเหลือเกิน คนที่เคยเป็นนักเรียนประจำหรือเคยแชร์ห้องอยู่กับเพื่อน ๆ ย่อมจะรู้ดีว่า เรากำลังหมายถึงอะไร ( ส่วนคนที่ไม่เคยก็คงได้แต่จินตนาการกันต่อไป 55 เอิ๊ก ๆ)
สิ่งนึงที่เราได้จากการเป็นเด็กวัดที่นี่คือ " การสวาปาม" เพราะหลังจากพระท่านฉันเสร็จ เด็กวัดทุกคนก็จะมานั่งล้อมวงกินอาหารส่วนที่เหลือ มากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่ ๆละวัน แต่ส่วนใหญ่กับข้าวจะมีไม่พอกับจำนวนกระเพาะที่รออยู่ บรรยากาศการโซ้ยซวบ ๆจึงเกิดขึ้นเป็นประจำ เรียกว่าใครช้ามีหวังอดไข่ดาวไข่เจียวหมูทอดแน่ ๆ อาจเหลือแต่ผัดผักมันเยิ้มกับปลาทูกะปิเท่านั้นเอง เราเลยได้ฝึกวิทยายุทธวิชา " โซ้ยซวบ ๆ" ตักเร็วเคี้ยวเร็วจากสำนักมหาธาติแห่งนี้ไปเต็ม ๆ แล้วก็เกลียดปลาทูแบบเต็ม ๆมาถึงทุกวันนี้ด้วย ( วันก่อน ภรรยาไปซื้อผ้าเช็ดเท้าลายก้างปลาทูมาใช้ในห้องน้ำ เราเลยบอกให้เอาคว่ำลายลงกับพื้นเพื่อไม่ให้แสลงเท้าแสลงใจซะเลย )
ทุก ๆ เช้าเรากับเพื่อนจะต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าได้ แล้วเดินถือถังออกไปติดสอยห้อยตามหลวงพี่ คอยรับของใส่บาตรมาใส่ถัง เดินกันระดับพอเมื่อยเท้าไหล่ลู่เหงื่อซึมทีเดียวเชียว ส่วนใหญ่ก็จะไปแถว ๆท่าเตียนท่าช้างท่าพระจันทร์ บางครั้งก็ไปสนามหลวง แล้วก็ย่านตลาดบางลำภูโน่นเลย จำได้ว่า ปีใหม่เป็นอะไรที่ทั้งเปรมอิ่มทั้งเหนื่อยเปลี้ยสุด ๆไปเลย เพราะผู้คนจะออกมาตักบาตรกันที่สนามหลวงชนิดล้นหลามลามทุ่งยุ่งเหยิงวุ่นวายกันไปหมดทีเดียว ได้ของกินมาอย่างล้นทะลัก เรียกว่ากินกันได้ทั้งตำบลนั่นเลยล่ะ
ไอ้จ่อย ( เรียนวัดสุทธิ ปัจจุบันเป็นข้าราชการด้านประมง กระทรวงเกษตรศาสตร์ ) ถึงจะเป็นเด็กบ้านนอกและเป็นเด็กวัดก็จริง ทว่ารสนิยมมันวิไลใช้ได้เลย มันสู้อุตส่าห์เก็บรอมค่าขนมอันน้อยนิดเพื่อซื้อเหล้า Suntory ของญี่ปุ่นละมังมานั่งเคลิ้มค่อย ๆละเลียดของมันไป ปากก็บอกว่า " โหย มันอร่อยจริง ๆนาโว้ย " เราเคยลองชิมของมันดูนิดนึง แต่จำไม่ได้แล้วว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อยยังไง
และแล้ววันนึง ไอ้จ่อยก็เกือบพาเราไปขึ้นเมรุก่อนวัยอันควร เพราะจู่ ๆมันก็ชวนพวกเราไปจับผิดพวกพ่อค้าขายยาแก้แมงกินฟันที่ตลาดนัดในวัดวันอาทิตย์ จังหวะที่พ่อค้าหน้าตานักเลงเอาสำลีไปถู ๆฟันของลูกค้าหรือหน้าม้าก็ไม่รู้ได้ แล้วเปิดสำลีให้เห็นหนอนตัวเล็ก ๆที่กำลังดิ้นตะแหง่ว ๆ พร้อมกับบรรยายสรรพคุณชวนซื้อของยา ไอ้จ่อยที่จ้อง ๆอยู่ก็โพล่งเสียงดังฟังชัดว่า " นี่มันต้มตุ๋นกันชัด ๆ แมงกินฟันที่ไหนจะตัวใหญ่ขนาดนี้ " จอมตุ๋นประชาชนรายนี้ถึงกับชะงักงัน หันขวับมาทางไอ้จ่อยและพวกเราทันที พร้อมทั้งส่งประกายรังสีอำมหิตออกมา 34 กระซวกตรอน มือของมันกระชับอุปกรณ็หมอฟันปลายแหลมมั่น นาทีนั้น ทั้ง ๆที่ใจเราลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มแล้วเรียบร้อย แต่ก็คิดว่า เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ยังไงก็ต้องช่วยเพื่อนไว้ก่อนแหละ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ......... ซวบ เปล่าหรอก แค่หลอกเล่นอะ ก่อนที่จะทันได้ขึ้นหน้าหนึ่งในวันรุ่งขึ้น ก็มีลุงคนนึงเข้ามาโอบไหล่ไอ้จ่อย แล้วดุนออกมาจากวง พร้อมกับพูดว่า " เฮ้ย ไอ้หนู ลุงว่า ไปเดินเล่นทางโน้นกับลุงกันเถอะ" ไอ้จ่อยกับพวกเราจึงเดินออกจากฉากมาคุกลิ่นเลือดใกล้จะโชยชนิดเส้นยาแดงผ่าสิบหกด้วยประการฉะนี้ ขอบคุณนะครับลุง และขอบใจนะไอ้จ่อย ที่ชวน วันหลังเราไม่ว่างว่ะ ตามดวกเลยเพื่อน 555