เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูแล้วไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่ผมอยากจะเล่าเพื่อเป็นกรณีศึกษาให้กับทุกๆ ท่านนะครับ
เรื่องราวอาจจะยาวไปสักนิด แต่ก็ขอให้อ่านจนจบนะครับ โดยในการเล่าเรื่องครั้งนี้ ผมขออนุญาตสมมติชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องรวมถึงชื่อสถานที่ด้วยนะครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2554 ข้าพเจ้าก็ได้ช่วยแม่ทำงานบ้าน โดยช่วยเช็ดกระจกบานเกร็ดที่มีอยู่ในบ้าน และเมื่อได้ไปเช็ดกระจกที่หลังบ้าน ข้าพเจ้าก็ได้เดินออกไปเช็ดกระจกด้านนอกบ้านโดยข้าพเจ้าได้สวมรองเท้าแตะ (รองเท้าฟองน้ำ) ออกไปด้วย แต่ก็ไม่ได้สังเกตให้ดี ว่าที่หลังบ้านมีไม้กระดานที่ผุแล้ว แล้วมีตะปูติดอยู่ด้วย ข้าพเจ้าก็เช็ดกระจกตามปกติ แล้วก็ได้พลาดท่าเท้าลื่นไปเหยียบเอาตะปูที่อยู่บนไม้กระดาน ตะปูได้แทงทะลุรองเท้าไปด้วย โดยส่วนที่เหยียบตะปูลงไปก็คือส้นเท้าข้างซ้าย ข้าพเจ้าก็รีบดึงออกทันที ซึ่งก็ทำให้มีเลือดออก ที่ตะปูนั้นก็มีสนิมด้วย เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วข้าพเจ้าก็ได้รีบล้างเท้าให้สะอาด แล้วก็รีบห้ามเลือด แล้วก็ไปโรงพยาบาล น. (ชื่อสมมติ) เพื่อที่จะทำการรักษาในวันนั้นเลย เนื่องจากว่าเป็นโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด เป็นแผลอุบัติเหตุเล็กน้อย สามารถใช้สิทธิ์เบิกประกันอุบัติเหตุได้
โรงพยาบาล น. เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งอยู่ทางภาคใต้ตอนบนของประเทศไทย เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2551 คุณแม่ได้พาข้าพเจ้าไปที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ก็ได้ให้กรอกข้อมูลประวัติส่วนตัวก่อน เนื่องจากว่าข้าพเจ้ายังไม่เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ จากนั้นก็ได้ให้เข้าห้องฉุกเฉิน (ER) เมื่อเข้าห้องฉุกเฉินแล้ว ก็มีพยาบาลคนหนึ่งได้ทำการซักประวัติอย่างละเอียด จากนั้น นพ.ซัน (นามสมมติ) ก็ได้ดูแผล แล้วก็บอกว่าจะกรีดแผลเพื่อทำความสะอาดแผลและฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในแผล แล้วก็จะฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักอีกด้วยโดยในขั้นตอนแรก นพ.ซัน ก็ได้ทำการฉีดยาชาก่อน เมื่อยาชาออกฤทธิ์แล้ว นพ.ซัน ได้ทำการกรีดแผล แล้วฉีด Normal Saline (น้ำเกลือล้างแผล) และ Betadine (เบตาดีน) ลงไปเยอะมากจนข้าพเจ้ารู้สึกแสบๆ ร้อนๆ ที่แผลไปหมด แล้วก็มีพยาบาลมาฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก (Tetanus toxoid) เข็มที่ 1 ให้กับข้าพเจ้า เมื่อการทำแผลและปิดแผลเรียบร้อยแล้ว ทางโรงพยาบาลก็ได้ให้บัตรนัดล้างแผล บัตรนัดฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักสำหรับเข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 และก็ให้ยามารับประทานที่บ้านอีกด้วย โดยในบัตรล้างแผลก็ได้เขียนไว้ว่า 24 ต.ค.54 ทำแผลทุกวันจนหาย (คิดค่าแผล 100 บาท/วัน) วางบิลต่อเนื่อง แต่เมื่อข้าพเจ้าไปทำแผลจริงๆ พอทางโรงพยาบาลรู้ว่าใช้สิทธิ์เบิกประกันชีวิตของ ING ก็ได้แก้ตัวเลขค่าทำแผลจาก 100 บาทเป็น 140 บาท
ยาที่ทางโรงพยาบาล น. ได้ให้มารับประทานก็มีทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด (กินเมื่อมีอาการ) และยา Paracetamol 500 mg ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้กินยาแก้ปวดด้วยเนื่องจากเห็นว่าเพิ่งทำแผลมาใหม่ๆ อาจจะมีอาการปวดแต่ปรากฏว่าข้าพเจ้าก็มีอาการมึนศีรษะ คลื่นไส้ รับประทานอาหารไม่ค่อยได้ ต้องนอนอย่างเดียว จนถึงตอนเย็นของวันนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ไปทำแผลที่โรงพยาบาล แม่เป็นคนพาไป ซึ่งคุณแม่ได้เอายาทุกชนิดที่ทางโรงพยาบาลจ่ายให้ไปด้วย เพื่อจะได้รู้ว่ายาตัวไหนที่มีผลข้างเคียง เมื่อไปถามพยาบาลก็ถามกลับมาว่า“เภสัชกรไม่บอกเลยเหรอว่ายาแก้ปวดมีผลข้างเคียง” แม่ก็ตอบว่า“เภสัชกรไม่ได้บอก” จากนั้นพยาบาลก็ได้เขียนอธิบายถึงผลข้างเคียงของยาอย่างละเอียด
ข้าพเจ้าก็ได้ไปล้างแผลที่โรงพยาบาล น. ทุกวัน โดยคุณแม่ของข้าพเจ้าก็ได้เป็นคนพาไป โดยข้าพเจ้าก็ดูแลแผลอย่างดี เวลาอาบน้ำก็เอาถุงพลาสติกหุ้มที่เท้าทุกครั้ง ระวังไม่ให้เท้าถูกน้ำ จนกระทั่งพยาบาลที่ทำแผลก็ได้สังเกตว่าเนื้อรอบๆ แผลแข็งมาก เมื่อข้าพเจ้าถามเขาก็ให้เหตุผลว่าหนังที่ส้นเท้ามันหนา อาจจะทำให้เป็นเนื้อแข็งได้ เนื้อจะค่อยๆ ลอกไปเองเมื่อทำแผลไปเรื่อย ๆ แต่ข้าพเจ้าก็ได้ถามพยาบาลทุกครั้งที่ล้างแผล ว่าแผลเป็นอย่างไรบ้าง เนื่องจากแผลอยู่ที่เท้า ข้าพเจ้ามองไม่เห็น บางคนก็ตอบแบบไม่ชัดเจน บางคนก็ตอบว่ามันก็ค่อยๆ ดีขึ้น ฯลฯ แต่แผลก็หายช้ามากจึงทำให้ข้าพเจ้าและแม่เกิดความรู้สึกสงสัยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 แม่ก็ได้เข้าไปดูการทำแผลและถามพยาบาลว่าทำไมรอบๆ แผลจึงเป็นเนื้อแข็งๆ และซีดเหมือนเนื้อตาย พยาบาลก็ได้ถาม นพ.สน (นามสมมติ) ซึ่งอยู่ในห้อง ER ด้วย ว่าทำไมแผลจึงเป็นแบบนี้ คุณหมอสนก็ตอบว่า “หนังส้นเท้าก็แข็งเป็นธรรมดา ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวมันก็ลอกไปเองแผลแห้งแล้ว ใกล้จะหายแล้ว” อีก 2 วันต่อมา (4 พฤศจิกายน 2554) สังเกตเห็นว่ามีขอบสีดำๆ เป็นวง อยู่รอบแผล แรกๆ ก็คิดว่าเป็นเพราะพยาบาลเช็ดคราบ Betadine ออกไม่หมด แต่พอเอามือไปแตะดูก็รู้ว่าไม่ใช่ เพราะมันแข็งติดอยู่ใต้ผิวหนัง ในวันนั้น นพ.สน อยู่ในห้อง ER ด้วย พยาบาลก็ได้ถาม นพ.สน ว่าทำไมแผลจึงเป็นแบบนี้ คุณหมอสนก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร แผลดีมากแล้ว หากไม่สบายใจหมอแต่งแผลให้แล้วกัน เป็นการตัดเนื้อที่แข็งๆ รอบแผลออก ซึ่งจะทำให้แผลหายเร็วขึ้น” แล้วก็ฉีดยาชาและตัดเนื้อแข็งๆ ที่อยู่รอบๆ แผลออกไปแค่นิดเดียวในขณะที่ฉีดยาชา ข้าพเจ้าไม่มีความรู้สึกเจ็บเลย เพราะว่าหนังที่ส้นเท้าตอนนั้นมันแข็งมากรู้สึกเหมือนเนื้อได้ตายไปแล้ว
หลังจากนั้น คุณแม่ขอเข้าไปดูเวลาที่พยาบาลทำแผลด้วย และได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ ซึ่งสังเกตได้ว่าแผลเริ่มเป็นขอบสีดำ แล้วก็ค่อยๆ ดำเข้ามาข้างในเรื่อยๆ จากนั้นก็ดำสนิท เนื้อรอบแผลจะแข็งมาก เมื่อเอามือเคาะแรงเท่าไร หรือเข็มมาจิ้มลงไปก็ไม่รู้สึกเจ็บแต่ก็ได้ถามพยาบาลอยู่ตลอด ว่าทำไมแผลจึงเป็นแบบนี้ พยาบาลก็ตอบประมาณว่า “ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็หาย หนังที่ส้นเท้าก็เป็นอย่างนี้แหละ มันหนา อาจจะหายช้าหน่อย” บางครั้งก็ตอบว่า “แผลที่มันดำๆ เป็นเพราะเบตาดีนซึมเข้าไปในผิวหนัง” นี่คือคำตอบนายแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาล น.
พยาบาลได้ทำการล้างแผลแบบเดิมๆ มาตลอด กระทั่งวันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 ตรงกับเวร นพ.ซัน หมอได้ดูแผลของข้าพเจ้า นพ.ซัน ก็รู้แล้วว่าเป็นแผลติดเชื้อ (Dry Gangrene) แต่ก็ไม่ได้บอกให้ผู้ป่วยทราบ และได้เขียนลงในแฟ้มประวัติผู้ป่วยของข้าพเจ้าแล้วว่า“เป็นแผลติดเชื้อ (Dry Gangrene)”พร้อมกับบอกข้าพเจ้าว่า “เดี๋ยวหมอจะนัดให้หมอศัลยกรรมดูแผลให้นะ เผื่อจะมีวิธีการอื่นที่ดีกว่าการล้างแผล” จากนั้นก็ได้เขียนใบนัดมาให้
เมื่อถึงวันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2554 ข้าพเจ้าก็ได้ไปที่โรงพยาบาล น. ตามวันเวลาที่ทางโรงพยาบาลได้นัดเอาไว้เพื่อที่จะได้พบแพทย์ศัลยกรรม เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ทั้งพยาบาลและเจ้าหน้าที่ก็บอกให้นั่งรอเพื่อที่จะพบหมอเลย แต่ปรากฏว่า นพ. สอ นามสมมติ (แพทย์ศัลยกรรม) ก็ไม่มาตามนัด พยาบาลได้โทรศัพท์ไปตาม คุณหมอบอกว่า “คนไข้เพียงคนเดียว ไม่มาให้นัดใหม่แล้วกัน” พยาบาลได้แก้วันเวลาในบัตรนัด เป็นวันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 เวลา 12.00 น.โดยได้นัดให้พบกับ นพ.ชาติ (นามสมมติ) และพยาบาลเวรคนนั้นยังบอกอีกว่า “แผลแห้งแล้ว รอให้เนื้อตื้นขึ้นมาเพียงอย่างเดียว มันอาจไม่ตื้นขึ้นมาทันที แต่จะค่อยๆ ตื้นขึ้นมาเหมือนเล็บที่มันจะค่อยๆ งอกขึ้นมา ไม่ต้องมาล้างที่ รพ.ก็ได้ ล้างเองที่บ้านยังได้เลย” จากนั้นก็ได้ให้ผ้าก๊อซเพื่อปิดแผล เวลาล้างแผลที่บ้าน แล้วก็ยังได้บอกอีกว่า ที่ต้องนัดให้พบแพทย์ศัลกรรมเนื่องจาก นพ.ซัน เป็นแพทย์อายุรกรรมไม่ใช่แพทย์เฉพาะทาง พบหมอศัลยกรรมโดยตรงเลยดีกว่า
ข้าพเจ้าและคุณแม่ก็เกิดความคิดว่าการที่เลื่อนนัดไปเป็นวันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2554 จะทำให้ล่าช้าเกินไป จึงคิดว่าจะเลื่อนนัดเป็นวันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2554 โดยในคืนวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2554 ก็ได้เข้าไปที่โรงพยาบาล น. อีกครั้ง ซึ่งเมื่อไปถึงก็ไปพบพนักงานประชาสัมพันธ์ ซึ่งเธอก็ได้แนะนำว่าเข้าพบ นพ. อ.อ่าง (นามสกุล) ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาล น. (เจ้าของโรงพยาบาล น.) เพื่อให้ได้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วจะรักษายังไงหมอก็คงจะส่งต่อให้กับแพทย์ศัลยกรรมอีกทีหนึ่ง
เมื่อถึงเวลาประมาณ 12.00 น. ของวันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2554 คุณแม่ก็ได้พาข้าพเจ้าไปโรงพยาบาล น. เพื่อที่จะพบ นพ.อ.อ่าง เมื่อ นพ. อ.อ่าง ได้เห็นแผลก็รู้สึกตกใจพอสมควร โดยข้อความต่อไปนี้เป็นการสนทนาภายในห้องตรวจระหว่างข้าพเจ้า นพ.อ.อ่าง และคุณแม่ของข้าพเจ้าซึ่งเป็นข้อความที่ข้าพเจ้าได้แกะจากไฟล์เสียงที่ได้แอบอัดไว้ในขณะนั้น
>>>> ไว้ต่อภาค 2 นะครับ เนื่องจากจำนวนตัวอักษรใกล้จะครบ limit แล้ว
บันทึกเรื่องเล่าการบาดเจ็บ (ตะปูตำเท้า)
เรื่องราวอาจจะยาวไปสักนิด แต่ก็ขอให้อ่านจนจบนะครับ โดยในการเล่าเรื่องครั้งนี้ ผมขออนุญาตสมมติชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องรวมถึงชื่อสถานที่ด้วยนะครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2554 ข้าพเจ้าก็ได้ช่วยแม่ทำงานบ้าน โดยช่วยเช็ดกระจกบานเกร็ดที่มีอยู่ในบ้าน และเมื่อได้ไปเช็ดกระจกที่หลังบ้าน ข้าพเจ้าก็ได้เดินออกไปเช็ดกระจกด้านนอกบ้านโดยข้าพเจ้าได้สวมรองเท้าแตะ (รองเท้าฟองน้ำ) ออกไปด้วย แต่ก็ไม่ได้สังเกตให้ดี ว่าที่หลังบ้านมีไม้กระดานที่ผุแล้ว แล้วมีตะปูติดอยู่ด้วย ข้าพเจ้าก็เช็ดกระจกตามปกติ แล้วก็ได้พลาดท่าเท้าลื่นไปเหยียบเอาตะปูที่อยู่บนไม้กระดาน ตะปูได้แทงทะลุรองเท้าไปด้วย โดยส่วนที่เหยียบตะปูลงไปก็คือส้นเท้าข้างซ้าย ข้าพเจ้าก็รีบดึงออกทันที ซึ่งก็ทำให้มีเลือดออก ที่ตะปูนั้นก็มีสนิมด้วย เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วข้าพเจ้าก็ได้รีบล้างเท้าให้สะอาด แล้วก็รีบห้ามเลือด แล้วก็ไปโรงพยาบาล น. (ชื่อสมมติ) เพื่อที่จะทำการรักษาในวันนั้นเลย เนื่องจากว่าเป็นโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด เป็นแผลอุบัติเหตุเล็กน้อย สามารถใช้สิทธิ์เบิกประกันอุบัติเหตุได้
โรงพยาบาล น. เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งอยู่ทางภาคใต้ตอนบนของประเทศไทย เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2551 คุณแม่ได้พาข้าพเจ้าไปที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ก็ได้ให้กรอกข้อมูลประวัติส่วนตัวก่อน เนื่องจากว่าข้าพเจ้ายังไม่เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ จากนั้นก็ได้ให้เข้าห้องฉุกเฉิน (ER) เมื่อเข้าห้องฉุกเฉินแล้ว ก็มีพยาบาลคนหนึ่งได้ทำการซักประวัติอย่างละเอียด จากนั้น นพ.ซัน (นามสมมติ) ก็ได้ดูแผล แล้วก็บอกว่าจะกรีดแผลเพื่อทำความสะอาดแผลและฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในแผล แล้วก็จะฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักอีกด้วยโดยในขั้นตอนแรก นพ.ซัน ก็ได้ทำการฉีดยาชาก่อน เมื่อยาชาออกฤทธิ์แล้ว นพ.ซัน ได้ทำการกรีดแผล แล้วฉีด Normal Saline (น้ำเกลือล้างแผล) และ Betadine (เบตาดีน) ลงไปเยอะมากจนข้าพเจ้ารู้สึกแสบๆ ร้อนๆ ที่แผลไปหมด แล้วก็มีพยาบาลมาฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก (Tetanus toxoid) เข็มที่ 1 ให้กับข้าพเจ้า เมื่อการทำแผลและปิดแผลเรียบร้อยแล้ว ทางโรงพยาบาลก็ได้ให้บัตรนัดล้างแผล บัตรนัดฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักสำหรับเข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 และก็ให้ยามารับประทานที่บ้านอีกด้วย โดยในบัตรล้างแผลก็ได้เขียนไว้ว่า 24 ต.ค.54 ทำแผลทุกวันจนหาย (คิดค่าแผล 100 บาท/วัน) วางบิลต่อเนื่อง แต่เมื่อข้าพเจ้าไปทำแผลจริงๆ พอทางโรงพยาบาลรู้ว่าใช้สิทธิ์เบิกประกันชีวิตของ ING ก็ได้แก้ตัวเลขค่าทำแผลจาก 100 บาทเป็น 140 บาท
ยาที่ทางโรงพยาบาล น. ได้ให้มารับประทานก็มีทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด (กินเมื่อมีอาการ) และยา Paracetamol 500 mg ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้กินยาแก้ปวดด้วยเนื่องจากเห็นว่าเพิ่งทำแผลมาใหม่ๆ อาจจะมีอาการปวดแต่ปรากฏว่าข้าพเจ้าก็มีอาการมึนศีรษะ คลื่นไส้ รับประทานอาหารไม่ค่อยได้ ต้องนอนอย่างเดียว จนถึงตอนเย็นของวันนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ไปทำแผลที่โรงพยาบาล แม่เป็นคนพาไป ซึ่งคุณแม่ได้เอายาทุกชนิดที่ทางโรงพยาบาลจ่ายให้ไปด้วย เพื่อจะได้รู้ว่ายาตัวไหนที่มีผลข้างเคียง เมื่อไปถามพยาบาลก็ถามกลับมาว่า“เภสัชกรไม่บอกเลยเหรอว่ายาแก้ปวดมีผลข้างเคียง” แม่ก็ตอบว่า“เภสัชกรไม่ได้บอก” จากนั้นพยาบาลก็ได้เขียนอธิบายถึงผลข้างเคียงของยาอย่างละเอียด
ข้าพเจ้าก็ได้ไปล้างแผลที่โรงพยาบาล น. ทุกวัน โดยคุณแม่ของข้าพเจ้าก็ได้เป็นคนพาไป โดยข้าพเจ้าก็ดูแลแผลอย่างดี เวลาอาบน้ำก็เอาถุงพลาสติกหุ้มที่เท้าทุกครั้ง ระวังไม่ให้เท้าถูกน้ำ จนกระทั่งพยาบาลที่ทำแผลก็ได้สังเกตว่าเนื้อรอบๆ แผลแข็งมาก เมื่อข้าพเจ้าถามเขาก็ให้เหตุผลว่าหนังที่ส้นเท้ามันหนา อาจจะทำให้เป็นเนื้อแข็งได้ เนื้อจะค่อยๆ ลอกไปเองเมื่อทำแผลไปเรื่อย ๆ แต่ข้าพเจ้าก็ได้ถามพยาบาลทุกครั้งที่ล้างแผล ว่าแผลเป็นอย่างไรบ้าง เนื่องจากแผลอยู่ที่เท้า ข้าพเจ้ามองไม่เห็น บางคนก็ตอบแบบไม่ชัดเจน บางคนก็ตอบว่ามันก็ค่อยๆ ดีขึ้น ฯลฯ แต่แผลก็หายช้ามากจึงทำให้ข้าพเจ้าและแม่เกิดความรู้สึกสงสัยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 แม่ก็ได้เข้าไปดูการทำแผลและถามพยาบาลว่าทำไมรอบๆ แผลจึงเป็นเนื้อแข็งๆ และซีดเหมือนเนื้อตาย พยาบาลก็ได้ถาม นพ.สน (นามสมมติ) ซึ่งอยู่ในห้อง ER ด้วย ว่าทำไมแผลจึงเป็นแบบนี้ คุณหมอสนก็ตอบว่า “หนังส้นเท้าก็แข็งเป็นธรรมดา ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวมันก็ลอกไปเองแผลแห้งแล้ว ใกล้จะหายแล้ว” อีก 2 วันต่อมา (4 พฤศจิกายน 2554) สังเกตเห็นว่ามีขอบสีดำๆ เป็นวง อยู่รอบแผล แรกๆ ก็คิดว่าเป็นเพราะพยาบาลเช็ดคราบ Betadine ออกไม่หมด แต่พอเอามือไปแตะดูก็รู้ว่าไม่ใช่ เพราะมันแข็งติดอยู่ใต้ผิวหนัง ในวันนั้น นพ.สน อยู่ในห้อง ER ด้วย พยาบาลก็ได้ถาม นพ.สน ว่าทำไมแผลจึงเป็นแบบนี้ คุณหมอสนก็ตอบว่า “ไม่เป็นไร แผลดีมากแล้ว หากไม่สบายใจหมอแต่งแผลให้แล้วกัน เป็นการตัดเนื้อที่แข็งๆ รอบแผลออก ซึ่งจะทำให้แผลหายเร็วขึ้น” แล้วก็ฉีดยาชาและตัดเนื้อแข็งๆ ที่อยู่รอบๆ แผลออกไปแค่นิดเดียวในขณะที่ฉีดยาชา ข้าพเจ้าไม่มีความรู้สึกเจ็บเลย เพราะว่าหนังที่ส้นเท้าตอนนั้นมันแข็งมากรู้สึกเหมือนเนื้อได้ตายไปแล้ว
หลังจากนั้น คุณแม่ขอเข้าไปดูเวลาที่พยาบาลทำแผลด้วย และได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ ซึ่งสังเกตได้ว่าแผลเริ่มเป็นขอบสีดำ แล้วก็ค่อยๆ ดำเข้ามาข้างในเรื่อยๆ จากนั้นก็ดำสนิท เนื้อรอบแผลจะแข็งมาก เมื่อเอามือเคาะแรงเท่าไร หรือเข็มมาจิ้มลงไปก็ไม่รู้สึกเจ็บแต่ก็ได้ถามพยาบาลอยู่ตลอด ว่าทำไมแผลจึงเป็นแบบนี้ พยาบาลก็ตอบประมาณว่า “ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็หาย หนังที่ส้นเท้าก็เป็นอย่างนี้แหละ มันหนา อาจจะหายช้าหน่อย” บางครั้งก็ตอบว่า “แผลที่มันดำๆ เป็นเพราะเบตาดีนซึมเข้าไปในผิวหนัง” นี่คือคำตอบนายแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาล น.
พยาบาลได้ทำการล้างแผลแบบเดิมๆ มาตลอด กระทั่งวันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 ตรงกับเวร นพ.ซัน หมอได้ดูแผลของข้าพเจ้า นพ.ซัน ก็รู้แล้วว่าเป็นแผลติดเชื้อ (Dry Gangrene) แต่ก็ไม่ได้บอกให้ผู้ป่วยทราบ และได้เขียนลงในแฟ้มประวัติผู้ป่วยของข้าพเจ้าแล้วว่า“เป็นแผลติดเชื้อ (Dry Gangrene)”พร้อมกับบอกข้าพเจ้าว่า “เดี๋ยวหมอจะนัดให้หมอศัลยกรรมดูแผลให้นะ เผื่อจะมีวิธีการอื่นที่ดีกว่าการล้างแผล” จากนั้นก็ได้เขียนใบนัดมาให้
เมื่อถึงวันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2554 ข้าพเจ้าก็ได้ไปที่โรงพยาบาล น. ตามวันเวลาที่ทางโรงพยาบาลได้นัดเอาไว้เพื่อที่จะได้พบแพทย์ศัลยกรรม เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ทั้งพยาบาลและเจ้าหน้าที่ก็บอกให้นั่งรอเพื่อที่จะพบหมอเลย แต่ปรากฏว่า นพ. สอ นามสมมติ (แพทย์ศัลยกรรม) ก็ไม่มาตามนัด พยาบาลได้โทรศัพท์ไปตาม คุณหมอบอกว่า “คนไข้เพียงคนเดียว ไม่มาให้นัดใหม่แล้วกัน” พยาบาลได้แก้วันเวลาในบัตรนัด เป็นวันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 เวลา 12.00 น.โดยได้นัดให้พบกับ นพ.ชาติ (นามสมมติ) และพยาบาลเวรคนนั้นยังบอกอีกว่า “แผลแห้งแล้ว รอให้เนื้อตื้นขึ้นมาเพียงอย่างเดียว มันอาจไม่ตื้นขึ้นมาทันที แต่จะค่อยๆ ตื้นขึ้นมาเหมือนเล็บที่มันจะค่อยๆ งอกขึ้นมา ไม่ต้องมาล้างที่ รพ.ก็ได้ ล้างเองที่บ้านยังได้เลย” จากนั้นก็ได้ให้ผ้าก๊อซเพื่อปิดแผล เวลาล้างแผลที่บ้าน แล้วก็ยังได้บอกอีกว่า ที่ต้องนัดให้พบแพทย์ศัลกรรมเนื่องจาก นพ.ซัน เป็นแพทย์อายุรกรรมไม่ใช่แพทย์เฉพาะทาง พบหมอศัลยกรรมโดยตรงเลยดีกว่า
ข้าพเจ้าและคุณแม่ก็เกิดความคิดว่าการที่เลื่อนนัดไปเป็นวันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2554 จะทำให้ล่าช้าเกินไป จึงคิดว่าจะเลื่อนนัดเป็นวันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2554 โดยในคืนวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2554 ก็ได้เข้าไปที่โรงพยาบาล น. อีกครั้ง ซึ่งเมื่อไปถึงก็ไปพบพนักงานประชาสัมพันธ์ ซึ่งเธอก็ได้แนะนำว่าเข้าพบ นพ. อ.อ่าง (นามสกุล) ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาล น. (เจ้าของโรงพยาบาล น.) เพื่อให้ได้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วจะรักษายังไงหมอก็คงจะส่งต่อให้กับแพทย์ศัลยกรรมอีกทีหนึ่ง
เมื่อถึงเวลาประมาณ 12.00 น. ของวันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2554 คุณแม่ก็ได้พาข้าพเจ้าไปโรงพยาบาล น. เพื่อที่จะพบ นพ.อ.อ่าง เมื่อ นพ. อ.อ่าง ได้เห็นแผลก็รู้สึกตกใจพอสมควร โดยข้อความต่อไปนี้เป็นการสนทนาภายในห้องตรวจระหว่างข้าพเจ้า นพ.อ.อ่าง และคุณแม่ของข้าพเจ้าซึ่งเป็นข้อความที่ข้าพเจ้าได้แกะจากไฟล์เสียงที่ได้แอบอัดไว้ในขณะนั้น
>>>> ไว้ต่อภาค 2 นะครับ เนื่องจากจำนวนตัวอักษรใกล้จะครบ limit แล้ว