cr. นสพ.ข่าวสด วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558
"เจมส์"ดังเปรี้ยงบท"เหม" ท้าทายฝีมือ-ตี๋ทะลุพีเรียด
คุ้มค่ากับการหายจากจอไป 2 ปี ตั้งแต่ละคร "คุณชายรณพีร์" สำหรับพระเอกตี๋ "เจมส์ มาร์" ที่มารับบท "เหม" ในละครย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์ "ข้าบดินทร์" ทางช่อง 3 ของค่ายทีวีซีน
ซึ่งแรกโดนสบประมาทว่าไม่เหมาะกับบทดังกล่าวที่เป็นชายไทยสมัยโบราณ แต่หลังละครออนแอร์ กลับได้รับแต่เสียงชื่นชม
หายไปไหนจากจอทีวีถึง 2 ปีเต็ม หลังละครเรื่องแรก "คุณชายรณพีร์" จบ?
เจมส์ - "เป็นช่วงที่ผมต้องเรียนด้วย แล้วช่วงนั้นรอเปิดกล้อง "ข้าบดินทร์" ซึ่งเปิดกล้องหลังคุณชายรณพีร์จบไป 6 เดือน จากนั้นก็ไปเรียนฟันดาบไปเรียนเวิร์กช็อปไปทำหลาย อย่างมากๆ เพื่อละครข้าบดินทร์ พอเริ่มถ่าย ก็ถ่ายยาวเกือบปี นับเวลาหลังคุณชาย รณพีร์จบจนมาถึงเวลานี้ข้าบดินทร์ออกอากาศก็ 2 ปีเต็ม"
ละคร "ข้าบดินทร์" ออกอากาศ มีแต่เสียงชื่นชม หายเหนื่อยเลยไหม เพราะมีคนสบประมาทไว้เยอะว่าเป็นพระเอกตี๋จะมารับบทชายไทยย้อนยุคโบราณได้อย่างไร?
เจมส์ - "ดีใจและหายเหนื่อยครับ ที่ทำมารู้สึกภูมิใจ ได้ทำทุกอย่างเต็มที่ แล้วคนดูชอบด้วย ดีใจตรงนี้ ถามว่าลบคำสบประมาทไปเลยไหม ก็ยังไม่ลบร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ผมไม่ได้ใส่ใจกับตรงนั้น ผมคงไปเปลี่ยนหน้าตาตัวเองไม่ได้ ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดคือเป้าหมายของเรา เอาคำของเขาทั้งหมดมาปรับปรุง ตั้งแต่ก่อนถ่ายละครจนถึงถ่ายเสร็จผมทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ลุ้นว่าคนดูจะชอบไหม ซึ่งเขาก็ชอบและชมกันถึงแม้จะหน้าไม่ให้ คนชมก็เป็นกำลังใจที่ดีครับ"
ในเรื่องต้องฝึกเป็นตะพุ่นหญ้าช้างด้วย?
เจมส์ - "ตะพุ่นหญ้าช้างก็คือคนเลี้ยงช้าง ผมต้องไปฝึกที่สุรินทร์ ไปเรียนกับช้าง ต้องเข้ากับช้างตลอดเวลา เพราะเราเป็นคนขี่เขา เราต้องขี่เขาให้ได้ แรกๆ กลัว ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ปกติคนขี่ช้างต้องขี่หลัง ไม่ใช่ทุกคนจะขี่ที่คอเขา เราไปนั่งอยู่ที่คอเขาและบังคับเขา ซ้ายขวา ต้องให้เดินไปจุดนี้วิ่งไปตรงนั้น ขึ้นช้างลงช้างซึ่งตรงนี้ยาก แรกๆ ยาก แต่หลังๆ เริ่มสนุก เริ่มเข้าใจกัน เขาจำผมได้"
นอกจากฝึกขี่ช้าง ยังไปฝึกเรียนดาบอาทมาตด้วย?
เจมส์- "ฝึกเรียนดาบอาทมาต 6 เดือน ต้องควงดาบ สองมือ ต้องตีเป็นวงเป็นท่ารำของวิชา เริ่มต้นเรียนมวยก่อน มวยไชยา มวยคือดาบ ดาบคือมวย วิชาดาบอาทมาตไม่ได้สอนให้ไปทำร้ายใคร เป็นดาบที่ปกป้องแผ่นดินและปกป้องตัวเอง ยากมาก โหดมาก ทำจนทำเป็น ครูบอกท่าเริ่มเข้าที่เริ่มดี พอเรามาดูในทีวี โอ้โหเจ๋งอ่ะ ไม่คิดว่าจะเป็นวงสวยขนาดนั้น จำได้ว่าเรียนเพลงดาบอาทมาตเดือนแรกครูดุ จะไม่ชมเลย ค่อนข้างเป๊ะ องศานี้ก็ต้ององศานี้ บอกว่าฟัน 45 องศาก็ต้อง 45 องศา จะมั่วไม่ได้ ซึ่งผมท้อมากตอนแรก ทำไมทำไม่ได้ แต่ก็แค่แป๊บเดียว ก็เอาใหม่ทำใหม่ สนุกกับมัน หลังๆ เริ่มสนุกเริ่มเข้าไปในสายเลือด เริ่มชิน พอตอนถ่ายละครไม่ท้อเลย ชอบมาก"
? ร่วมงานกับ "แมท-ภีรนีย์" เป็นอย่างไร?
เจมส์ - "คนนี้สุดยอด เป็นนางเอกที่เก่งมากๆ สวยมากๆ เขาทำให้ผมเชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาคือลำดวน ทำให้เหมรักลำดวนมากๆ เราจำภาพเขาทุกอย่างที่เราเจอกับเขามา ทำให้เราอินจนเอากลับไปนอนฝันถึงเลย คิดว่าเขาคือลำดวน ไม่ได้คิดว่าเขาคือแมท- ภีรนีย์ ดีใจมากที่ได้ทำงานกับเขา"
เห็นพัฒนาการทางการแสดงจากเรื่องแรกมาเรื่องนี้ยังไงบ้าง?
เจมส์- "อันนี้ต้องให้คนดูตัดสิน แต่ถ้าพูดในมุมการทำงาน เรื่องประสบการณ์เราได้อย่างมากเลย ได้ทักษะการแสดงหลายอย่างและนำมาปรับใช้กับละครในปัจจุบันได้เหมือนกัน ซึ่งตอนนี้ที่ถ่ายคือเรื่อง "เพียงชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ" ของ พี่แอน ทองประสม ซึ่งสิ่งที่ผมได้จากละครข้าบดินทร์ คือวิธีทำการบ้านที่ดีมาก ที่หนักและเคลียร์ชัดเจน ไม่ใช่ทำพอเข้าใจ แต่ทำแบบเข้าใจจริงๆ"
เข้าวงการมา 2-3 ปี เรียนรู้อะไรจากวงการนี้?
เจมส์- "งานในวงการบันเทิงคือการทำงานสไตล์หนึ่ง เป็นงานที่มีการเปลี่ยนแปลงมูฟตลอดเวลา ซึ่งเรายังไม่เข้าใจจุดนี้ ต้องพยายามทำให้ชิน มันไม่เหมือนตอนเด็กที่ตื่นนอนแล้วไปเรียนหนังสือกลับบ้าน แต่การทำงานตรงนี้บางทีก็เหนื่อยมาก บางทีก็มีพักบ้าง 3 ปีของการทำงานก็ไม่ได้หยุดนะ แต่ผมชอบครับ"
"ผมหลงรักการแสดงตั้งแต่เรื่อง คุณชายรณพีร์ เสน่ห์ของการแสดงคือไม่มีอาชีพไหนที่จะทำให้เราได้เป็นทุกอย่างในโลกนี้เหมือนอาชีพการแสดง เป็นพ่อเหมในยุครัชกาล ที่ 3 เป็นทหารอากาศ ยุค 60 ในชีวิตจริงไม่มีทางเป็นไป ได้แต่เราได้ทำ นี่คือความมหัศจรรย์ของงานชิ้นนี้"
ตั้งเป้าในวงการไว้ยังไง?
เจมส์- "ขอเป็นนักแสดงช่อง 3 ที่ดี ละครที่เล่น เป้าหมายของผมคือทำให้คนดูมีความสุข พอคนดูชอบ ผมภูมิใจมากเหมือนเป็นของขวัญ"
โอกาส
เป็นนักแสดงลูกครึ่งไทย-ฮ่องกง สำหรับหนุ่ม "เจมส์ มาร์" โดยพ่อเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ทำธุรกิจนำเข้าส่งออกและอสังหาริมทรัพย์ ส่วนแม่เป็นคนฮ่องกงทำงานบริษัท
เจมส์เกิดที่เมืองไทย เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2536 มีน้องสาวชื่อ "วาเนสซ่า"
จนอายุ 8 ขวบ ครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ฮ่องกง กระทั่งอายุ 16 ปี เจมส์ถึงได้กลับมาอยู่เมืองไทย
ไปอยู่ฮ่องกงหลายปี พอกลับมาเมืองไทย เจมส์รับ ว่าต้องปรับตัวเยอะ เพราะไม่รู้ว่าสังคมเมืองไทยเป็นอย่างไร
"เมื่อก่อนแค่กลับมาเที่ยวก็เที่ยวแค่กับครอบครัว กลับมาวันแรกเพื่อนชวนไปสยาม บ้านเราเคยไปเที่ยวแต่เซ็นทรัลชิดลม เอ็มโพเรียม เซ็นทรัลเวิลด์ พารากอน ห้างที่ดังๆ รู้อยู่แค่นี้ แต่ไม่รู้ว่าสยามคืออะไร ไม่รู้ไลฟ์สไตล์ของเด็กไทยเป็นยังไง ต้องปรับตัวเยอะมาก ส่วนเรื่องภาษาไทยเราพูดได้อยู่แล้ว แค่พูดเร็วและไม่ชัด แต่ไม่ถึงกับไม่ชัดเป็นสำเนียงฝรั่ง แค่คำบางคำมันออกไม่ชัด"
ถามว่าครอบครัวเลี้ยงมาแบบไหน พระเอกหนุ่มกล่าวว่า "เลี้ยงมาแบบคนจีนแต่ก็ไม่ถึงกับเคร่งมาก พ่อแม่จะเลี้ยงให้เป็นเด็กที่คิดดีทำดีทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็มีดุนิดหน่อย แต่ไม่ถึงขั้นห้ามโน่นนี่จะปล่อยให้มีความฝันและทำตามฝัน ทำตามเป้าหมาย คือวิธีที่พ่อสอน พ่อสอนให้มีเป้าหมายแล้วทำให้สำเร็จ"
เขาสนับสนุนการเป็นนักแสดงของเราไหม "ก็คุยกัน เขาบอกมันเป็นโอกาสที่ไม่ใช่ทุกคนจะได้ ตอนนั้นแค่ พี่เอ-ศุภชัย (ศรีวิจิตร) ชวนเข้าวงการก็เป็นโอกาสที่ไม่มีง่ายๆ ก็คิดว่ามาลอง ทำดู เป็นนักแสดงมัน ก็เป็นโอกาสที่ดี ผมไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน แต่ผมชอบดูหนังฟังเพลง คิดว่าถ้าได้ทำก็คงดี ก็เลยเข้ามา ได้มาเล่นละครเป็นเจมส์ มาร์ ทุกวันนี้ไม่คาดฝันมาก่อน"
"พ่อแม่ก็ให้กำลังใจ ถือว่าเป็นการสนับสนุน แต่ก็ไม่ได้มากดดันคาดหวัง เขาให้เราทำเท่าที่เราทำได้ ได้โอกาสมาแล้วจงทำให้ดีที่สุด" เจมส์กล่าว
"ความเก่ง"คือเสน่ห์ของ"ผู้หญิง"
"โสดมาตลอด ไม่มีโอกาสไปเจอใครด้วยมั้ง ด้วยเราทำงาน เรียนหนังสือ ไม่ได้รีบ แต่พอถึงเวลาจังหวะมีปุ๊บเราก็ไม่ปิดบังแค่นั้นเอง" พระเอกหนุ่ม "เจมส์ มาร์" แง้มถึงสถานะของหัวใจในตอนนี้
และกล่าวว่า "นักแสดงที่เจอก็เป็นเพื่อนร่วมงานเป็นเพื่อนที่ดีมาก ยังไม่เจอใครที่รู้สึกว่าใช่ ณ ตอนนี้"
แล้วสเป๊กสาวล่ะ "ผมเป็นคนไม่มีสเป๊ก แล้วแต่ความรู้สึก ณ ตอนนั้นว่าชอบไหม แต่ถ้าให้พูดถึงคน ที่เราชอบนักแสดงผู้หญิงที่เราชื่นชอบมากๆ คือ พี่อั้ม-พัชราภา ชอบที่เขาเป็นคนเก่งมาก ความเก่งนี่แหละคือเสน่ห์ของผู้หญิง ถ้าผู้หญิงเก่งคุณจะมีเสน่ห์ขึ้นมาทันที และอีกผู้หญิงที่เก่ง คุณออง ซาน ซู จี มีเสน่ห์มาก สำหรับพี่อั้มเป็นนักแสดงที่เก่งมาก เล่นกี่เรื่องเราก็ชอบ"
อยากมีโอกาสร่วมงานกับพี่อั้มไหม "แค่ได้เจอเขาสักครั้งผม ก็ดีใจแล้ว ร่วมงานค่อยว่ากัน แค่ได้เจอ ถามว่าเป็นเด็กในสังกัดพี่เอ-ศุภชัย แต่ทำไมไม่ได้เจอพี่อั้มเลย ผมก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน (หัวเราะ)"
สำหรับมุมมองความรักของตัวเอง เจมส์กล่าวว่า "ความรักเป็นความรู้สึกที่ดีที่มีต่อคนคนหนึ่ง แต่คนที่เป็นแฟนของเราจะต้องมากและต้องพิเศษถึงขั้นว่าเราดูแลเขาได้ เขาดูแลเราได้ เป็นทั้งเพื่อน ทั้งแฟน บางทีเป็นคู่กัด เป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกเป็นทุกอย่าง"
"ต้องไม่มีจุดที่มาอาย เป็นตัวของตัวเองได้ รับในตัวตนของกันได้ เป็นตัวเราในแบบที่ดีที่สุดของเราครับ"
"เจมส์"ดังเปรี้ยงบท"เหม" ท้าทายฝีมือ-ตี๋ทะลุพีเรียด จาก นสพ.ข่าวสด
"เจมส์"ดังเปรี้ยงบท"เหม" ท้าทายฝีมือ-ตี๋ทะลุพีเรียด
คุ้มค่ากับการหายจากจอไป 2 ปี ตั้งแต่ละคร "คุณชายรณพีร์" สำหรับพระเอกตี๋ "เจมส์ มาร์" ที่มารับบท "เหม" ในละครย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์ "ข้าบดินทร์" ทางช่อง 3 ของค่ายทีวีซีน
ซึ่งแรกโดนสบประมาทว่าไม่เหมาะกับบทดังกล่าวที่เป็นชายไทยสมัยโบราณ แต่หลังละครออนแอร์ กลับได้รับแต่เสียงชื่นชม
หายไปไหนจากจอทีวีถึง 2 ปีเต็ม หลังละครเรื่องแรก "คุณชายรณพีร์" จบ?
เจมส์ - "เป็นช่วงที่ผมต้องเรียนด้วย แล้วช่วงนั้นรอเปิดกล้อง "ข้าบดินทร์" ซึ่งเปิดกล้องหลังคุณชายรณพีร์จบไป 6 เดือน จากนั้นก็ไปเรียนฟันดาบไปเรียนเวิร์กช็อปไปทำหลาย อย่างมากๆ เพื่อละครข้าบดินทร์ พอเริ่มถ่าย ก็ถ่ายยาวเกือบปี นับเวลาหลังคุณชาย รณพีร์จบจนมาถึงเวลานี้ข้าบดินทร์ออกอากาศก็ 2 ปีเต็ม"
ละคร "ข้าบดินทร์" ออกอากาศ มีแต่เสียงชื่นชม หายเหนื่อยเลยไหม เพราะมีคนสบประมาทไว้เยอะว่าเป็นพระเอกตี๋จะมารับบทชายไทยย้อนยุคโบราณได้อย่างไร?
เจมส์ - "ดีใจและหายเหนื่อยครับ ที่ทำมารู้สึกภูมิใจ ได้ทำทุกอย่างเต็มที่ แล้วคนดูชอบด้วย ดีใจตรงนี้ ถามว่าลบคำสบประมาทไปเลยไหม ก็ยังไม่ลบร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ผมไม่ได้ใส่ใจกับตรงนั้น ผมคงไปเปลี่ยนหน้าตาตัวเองไม่ได้ ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดคือเป้าหมายของเรา เอาคำของเขาทั้งหมดมาปรับปรุง ตั้งแต่ก่อนถ่ายละครจนถึงถ่ายเสร็จผมทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ลุ้นว่าคนดูจะชอบไหม ซึ่งเขาก็ชอบและชมกันถึงแม้จะหน้าไม่ให้ คนชมก็เป็นกำลังใจที่ดีครับ"
ในเรื่องต้องฝึกเป็นตะพุ่นหญ้าช้างด้วย?
เจมส์ - "ตะพุ่นหญ้าช้างก็คือคนเลี้ยงช้าง ผมต้องไปฝึกที่สุรินทร์ ไปเรียนกับช้าง ต้องเข้ากับช้างตลอดเวลา เพราะเราเป็นคนขี่เขา เราต้องขี่เขาให้ได้ แรกๆ กลัว ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ปกติคนขี่ช้างต้องขี่หลัง ไม่ใช่ทุกคนจะขี่ที่คอเขา เราไปนั่งอยู่ที่คอเขาและบังคับเขา ซ้ายขวา ต้องให้เดินไปจุดนี้วิ่งไปตรงนั้น ขึ้นช้างลงช้างซึ่งตรงนี้ยาก แรกๆ ยาก แต่หลังๆ เริ่มสนุก เริ่มเข้าใจกัน เขาจำผมได้"
นอกจากฝึกขี่ช้าง ยังไปฝึกเรียนดาบอาทมาตด้วย?
เจมส์- "ฝึกเรียนดาบอาทมาต 6 เดือน ต้องควงดาบ สองมือ ต้องตีเป็นวงเป็นท่ารำของวิชา เริ่มต้นเรียนมวยก่อน มวยไชยา มวยคือดาบ ดาบคือมวย วิชาดาบอาทมาตไม่ได้สอนให้ไปทำร้ายใคร เป็นดาบที่ปกป้องแผ่นดินและปกป้องตัวเอง ยากมาก โหดมาก ทำจนทำเป็น ครูบอกท่าเริ่มเข้าที่เริ่มดี พอเรามาดูในทีวี โอ้โหเจ๋งอ่ะ ไม่คิดว่าจะเป็นวงสวยขนาดนั้น จำได้ว่าเรียนเพลงดาบอาทมาตเดือนแรกครูดุ จะไม่ชมเลย ค่อนข้างเป๊ะ องศานี้ก็ต้ององศานี้ บอกว่าฟัน 45 องศาก็ต้อง 45 องศา จะมั่วไม่ได้ ซึ่งผมท้อมากตอนแรก ทำไมทำไม่ได้ แต่ก็แค่แป๊บเดียว ก็เอาใหม่ทำใหม่ สนุกกับมัน หลังๆ เริ่มสนุกเริ่มเข้าไปในสายเลือด เริ่มชิน พอตอนถ่ายละครไม่ท้อเลย ชอบมาก"
? ร่วมงานกับ "แมท-ภีรนีย์" เป็นอย่างไร?
เจมส์ - "คนนี้สุดยอด เป็นนางเอกที่เก่งมากๆ สวยมากๆ เขาทำให้ผมเชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาคือลำดวน ทำให้เหมรักลำดวนมากๆ เราจำภาพเขาทุกอย่างที่เราเจอกับเขามา ทำให้เราอินจนเอากลับไปนอนฝันถึงเลย คิดว่าเขาคือลำดวน ไม่ได้คิดว่าเขาคือแมท- ภีรนีย์ ดีใจมากที่ได้ทำงานกับเขา"
เห็นพัฒนาการทางการแสดงจากเรื่องแรกมาเรื่องนี้ยังไงบ้าง?
เจมส์- "อันนี้ต้องให้คนดูตัดสิน แต่ถ้าพูดในมุมการทำงาน เรื่องประสบการณ์เราได้อย่างมากเลย ได้ทักษะการแสดงหลายอย่างและนำมาปรับใช้กับละครในปัจจุบันได้เหมือนกัน ซึ่งตอนนี้ที่ถ่ายคือเรื่อง "เพียงชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ" ของ พี่แอน ทองประสม ซึ่งสิ่งที่ผมได้จากละครข้าบดินทร์ คือวิธีทำการบ้านที่ดีมาก ที่หนักและเคลียร์ชัดเจน ไม่ใช่ทำพอเข้าใจ แต่ทำแบบเข้าใจจริงๆ"
เข้าวงการมา 2-3 ปี เรียนรู้อะไรจากวงการนี้?
เจมส์- "งานในวงการบันเทิงคือการทำงานสไตล์หนึ่ง เป็นงานที่มีการเปลี่ยนแปลงมูฟตลอดเวลา ซึ่งเรายังไม่เข้าใจจุดนี้ ต้องพยายามทำให้ชิน มันไม่เหมือนตอนเด็กที่ตื่นนอนแล้วไปเรียนหนังสือกลับบ้าน แต่การทำงานตรงนี้บางทีก็เหนื่อยมาก บางทีก็มีพักบ้าง 3 ปีของการทำงานก็ไม่ได้หยุดนะ แต่ผมชอบครับ"
"ผมหลงรักการแสดงตั้งแต่เรื่อง คุณชายรณพีร์ เสน่ห์ของการแสดงคือไม่มีอาชีพไหนที่จะทำให้เราได้เป็นทุกอย่างในโลกนี้เหมือนอาชีพการแสดง เป็นพ่อเหมในยุครัชกาล ที่ 3 เป็นทหารอากาศ ยุค 60 ในชีวิตจริงไม่มีทางเป็นไป ได้แต่เราได้ทำ นี่คือความมหัศจรรย์ของงานชิ้นนี้"
ตั้งเป้าในวงการไว้ยังไง?
เจมส์- "ขอเป็นนักแสดงช่อง 3 ที่ดี ละครที่เล่น เป้าหมายของผมคือทำให้คนดูมีความสุข พอคนดูชอบ ผมภูมิใจมากเหมือนเป็นของขวัญ"
โอกาส
เป็นนักแสดงลูกครึ่งไทย-ฮ่องกง สำหรับหนุ่ม "เจมส์ มาร์" โดยพ่อเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ทำธุรกิจนำเข้าส่งออกและอสังหาริมทรัพย์ ส่วนแม่เป็นคนฮ่องกงทำงานบริษัท
เจมส์เกิดที่เมืองไทย เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2536 มีน้องสาวชื่อ "วาเนสซ่า"
จนอายุ 8 ขวบ ครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ฮ่องกง กระทั่งอายุ 16 ปี เจมส์ถึงได้กลับมาอยู่เมืองไทย
ไปอยู่ฮ่องกงหลายปี พอกลับมาเมืองไทย เจมส์รับ ว่าต้องปรับตัวเยอะ เพราะไม่รู้ว่าสังคมเมืองไทยเป็นอย่างไร
"เมื่อก่อนแค่กลับมาเที่ยวก็เที่ยวแค่กับครอบครัว กลับมาวันแรกเพื่อนชวนไปสยาม บ้านเราเคยไปเที่ยวแต่เซ็นทรัลชิดลม เอ็มโพเรียม เซ็นทรัลเวิลด์ พารากอน ห้างที่ดังๆ รู้อยู่แค่นี้ แต่ไม่รู้ว่าสยามคืออะไร ไม่รู้ไลฟ์สไตล์ของเด็กไทยเป็นยังไง ต้องปรับตัวเยอะมาก ส่วนเรื่องภาษาไทยเราพูดได้อยู่แล้ว แค่พูดเร็วและไม่ชัด แต่ไม่ถึงกับไม่ชัดเป็นสำเนียงฝรั่ง แค่คำบางคำมันออกไม่ชัด"
ถามว่าครอบครัวเลี้ยงมาแบบไหน พระเอกหนุ่มกล่าวว่า "เลี้ยงมาแบบคนจีนแต่ก็ไม่ถึงกับเคร่งมาก พ่อแม่จะเลี้ยงให้เป็นเด็กที่คิดดีทำดีทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็มีดุนิดหน่อย แต่ไม่ถึงขั้นห้ามโน่นนี่จะปล่อยให้มีความฝันและทำตามฝัน ทำตามเป้าหมาย คือวิธีที่พ่อสอน พ่อสอนให้มีเป้าหมายแล้วทำให้สำเร็จ"
เขาสนับสนุนการเป็นนักแสดงของเราไหม "ก็คุยกัน เขาบอกมันเป็นโอกาสที่ไม่ใช่ทุกคนจะได้ ตอนนั้นแค่ พี่เอ-ศุภชัย (ศรีวิจิตร) ชวนเข้าวงการก็เป็นโอกาสที่ไม่มีง่ายๆ ก็คิดว่ามาลอง ทำดู เป็นนักแสดงมัน ก็เป็นโอกาสที่ดี ผมไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน แต่ผมชอบดูหนังฟังเพลง คิดว่าถ้าได้ทำก็คงดี ก็เลยเข้ามา ได้มาเล่นละครเป็นเจมส์ มาร์ ทุกวันนี้ไม่คาดฝันมาก่อน"
"พ่อแม่ก็ให้กำลังใจ ถือว่าเป็นการสนับสนุน แต่ก็ไม่ได้มากดดันคาดหวัง เขาให้เราทำเท่าที่เราทำได้ ได้โอกาสมาแล้วจงทำให้ดีที่สุด" เจมส์กล่าว
"ความเก่ง"คือเสน่ห์ของ"ผู้หญิง"
"โสดมาตลอด ไม่มีโอกาสไปเจอใครด้วยมั้ง ด้วยเราทำงาน เรียนหนังสือ ไม่ได้รีบ แต่พอถึงเวลาจังหวะมีปุ๊บเราก็ไม่ปิดบังแค่นั้นเอง" พระเอกหนุ่ม "เจมส์ มาร์" แง้มถึงสถานะของหัวใจในตอนนี้
และกล่าวว่า "นักแสดงที่เจอก็เป็นเพื่อนร่วมงานเป็นเพื่อนที่ดีมาก ยังไม่เจอใครที่รู้สึกว่าใช่ ณ ตอนนี้"
แล้วสเป๊กสาวล่ะ "ผมเป็นคนไม่มีสเป๊ก แล้วแต่ความรู้สึก ณ ตอนนั้นว่าชอบไหม แต่ถ้าให้พูดถึงคน ที่เราชอบนักแสดงผู้หญิงที่เราชื่นชอบมากๆ คือ พี่อั้ม-พัชราภา ชอบที่เขาเป็นคนเก่งมาก ความเก่งนี่แหละคือเสน่ห์ของผู้หญิง ถ้าผู้หญิงเก่งคุณจะมีเสน่ห์ขึ้นมาทันที และอีกผู้หญิงที่เก่ง คุณออง ซาน ซู จี มีเสน่ห์มาก สำหรับพี่อั้มเป็นนักแสดงที่เก่งมาก เล่นกี่เรื่องเราก็ชอบ"
อยากมีโอกาสร่วมงานกับพี่อั้มไหม "แค่ได้เจอเขาสักครั้งผม ก็ดีใจแล้ว ร่วมงานค่อยว่ากัน แค่ได้เจอ ถามว่าเป็นเด็กในสังกัดพี่เอ-ศุภชัย แต่ทำไมไม่ได้เจอพี่อั้มเลย ผมก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน (หัวเราะ)"
สำหรับมุมมองความรักของตัวเอง เจมส์กล่าวว่า "ความรักเป็นความรู้สึกที่ดีที่มีต่อคนคนหนึ่ง แต่คนที่เป็นแฟนของเราจะต้องมากและต้องพิเศษถึงขั้นว่าเราดูแลเขาได้ เขาดูแลเราได้ เป็นทั้งเพื่อน ทั้งแฟน บางทีเป็นคู่กัด เป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกเป็นทุกอย่าง"
"ต้องไม่มีจุดที่มาอาย เป็นตัวของตัวเองได้ รับในตัวตนของกันได้ เป็นตัวเราในแบบที่ดีที่สุดของเราครับ"