ดิฉันได้มาติดต่อขอจองร้านค้าห้องหนึ่งกับโครงการ (เดิมชื่อ) "Airport Avenue" (ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็น) "Panini Plaza" เพื่อที่จะประกอบธุรกิจขายเฟอร์นิเจอร์และผ้าม่านนั้น โดยเห็นป้ายโฆษณาติดหน้าโครงการซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ว่าให้เช่า (ป้ายโฆษณาใหญ่ติดหน้าโครงการเหมือนใบปลิวแนบค่ะ) คือจะเป็น Office and Commercial จึงสนใจเพราะเห็นว่าใกล้บ้าน และราคาเช่าเหมาะสม จึงได้เข้าไปจองเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2556 โดยก่อนวันจองดิฉันได้เข้าไปสอบถามข้อมูลรายละเอียดกับเซลล์ขายห้องเช่า ชื่อ คุณณัฎฐกาญจน์ ขณะนี้เธอได้ลาออกไปนานแล้ว โดยมีบริษัทแห่งหนึ่ง ดูแลการขายห้องเช่าร้านค้าของโครงการนี้ ผู้ติดต่อ คุณเบญจวรรณได้เสนอการเช่าให้เห็นว่า โครงการจะเป็นในรูปแบบของออฟฟิศและพลาซ่าให้เช่า และจะมีธนาคารและห้างสรรพสินค้าแบบมินิมา เช่น ท๊อปมินิ (ตอนนี้ไม่มีมาสักรายค่ะ) โดยมีโปรชัวร์และรูปจำลองโครงการให้ดู ลักษณะของโครงการจะมีสองฝั่ง โดยมีโดมกลมๆ ตรงกลาง ทางเซลล์แจ้งว่าฝั่งหนึ่งจะให้เช่าเป็นสำนักงานและธนาคาร และอีกฝั่งจะเป็นพลาซ่า ซึ่งดิฉันได้จองในส่วนของพลาซ่า และทางเซลล์ก็จัดให้ร้านดิฉันไปอยู่ชั้นสอง โดยแจ้งว่าด้านล่างจะเป็นร้านอาหารทั้งหมด ดิฉันก็ตกลงจองชั้นสองตามที่เซลล์แจ้งถึงการวางแผนรูปแบบและการกำหนดของโครงการให้ทราบ
หลังจากได้มาจอง ดิฉันก็ปฏิบัติทุกประการตามหมายกำหนดการของโครงการที่ทางเซลล์ได้ให้ไว้ คือ ให้เข้ามาตกแต่งร้านในเดือนกรกฎาคม ถึง สิงหาคม 2556 (ระยะเวลาตกแต่งสองเดือน) แต่พอเข้ามาตกแต่งร้านและเตรียมของสำหรับพร้อมที่จะเปิดกิจการตามหมายกำหนดของโครงการเรียบร้อยแล้วนั้น ปรากฏว่าโครงการก่อสร้างไม่เสร็จตามกำหนดการ ซึ่งในวันที่ 1 กันยายน 2556 หมายกำหนดการของโครงการจะเรียกเข้าไปเซ็นต์สัญญา แต่ก็ไม่สามารถเรียกเซ็นต์ได้เนื่องจากโครงการไม่เสร็จ และการก่อสร้างก็ลากยาว จนกระทั้งดิฉันได้มาทราบว่า "โครงการจะเปลี่ยนจากพลาซ่าเป็นโรงแรม โดยดิฉันได้ตกแต่งและเตรียมของไว้สำหรับจำหน่ายแล้ว โดยปฎิบัติตามหมายกำหนดของโครงการทุกประการ" ซึ่งขัดกับธุรกิจของดิฉันที่ได้วางแผนไว้ในตอนแรก หากเปลี่ยนเป็นโรงแรมแล้วดิฉันจะขายให้ใครได้ ดิฉันจึงตัดสินใจว่าจะเซ้งร้านและได้แจ้งทางโครงการไป โดยทางโรงแรมเองก็ไม่ขึ้นป้ายใหญ่ที่จะแสดงให้เห็นว่าเป็นโรงแรม ซึ่งได้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2557
เมื่อเดือนมกราคม 2557 ทางโครงการได้มีหนังสือแจ้งให้เข้าไปทำสัญญาพร้อมกันทุกร้านและนัดเวลาต่างกัน โดยแจ้งถึงเหตุผลกับทุกร้านที่ได้จองว่า ขอให้ทำสัญญาเพื่อโครงการจะได้นำเอกสารไปกู้ธนาคารเพื่อที่จะได้ทำการสร้างต่อให้เสร็จ เพราะเงินโครงการไม่มี ซึ่งก่อนหน้านี้ดิฉันก็ได้แจ้งไปแล้วว่าโครงการไม่ได้ทำตามที่โฆษณาไว้ คือจะเปลี่ยนจากพลาซ่าเป็นโรงแรม ดิฉันจึงขอให้ทางโครงการช่วยหาคนมาเซ้งต่อ ในวันที่โครงการเรียกเซ็นสัญญา ดิฉันได้มอบหมายให้คุณแม่ กับ คุณลุงที่นับถือ ไปคุยกับโครงการแทนดิฉัน เนื่องจากดิฉันได้ไปทำงานที่ต่างจังหวัดไม่สามารถไปเองได้ และได้มีการเจรจาในวันที่เรียกทำสัญญา ว่าทางร้านจะไม่ขอทำสัญญา เพราะไม่สามารถจะขายของให้ใครได้ ทางเจ้าของโครงการก็บอกว่า ถ้ายืนยันไม่เอาร้าน ทางโครงการจะช่วยหรือจะช่วยหาคนมาเซ้งร้านต่อ และให้ทางดิฉันส่งรายการแจ้งว่าจะเซ้งเท่าไหร่ เวลาผ่านไปโครงการก็ไม่เสร็จสักทีและดิฉันก็ได้ถามทางพนักงานธุรการของโครงการ ชื่อคุณเจน มาตลอดว่าพอมีใครจะเอาร้านไหม แต่ทุกครั้งที่ถามก็บอกว่ายังไม่มี ดิฉันก็เข้าใจว่าโครงการไม่เสร็จสักทีจะมีใครมาเช่าได้ยังไง ก็รอต่อไป จนมาถึงเดือนตุลาคม 2557 ดิฉันเห็นว่ามันนานไม่มีความคืบหน้าและได้ส่งอีเมลล์ไปแจ้งค่าใช้จ่ายที่จะเซ้งไป แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีการตอบกลับอีเมลล์ใดๆ ทั้งสิ้น จนกระทั้งดิฉันเห็นร้านอื่นโดนส่งใบแจ้งให้ย้ายของออกภายใน 15 วันเนื่องจากไม่ชำระค่าเช่า (ร้านอื่นได้เปิดดำเนินธุรกิจตั้งแต่โครงการยังไม่เสร็จ แต่ได้มีคุยด้วยวาจาว่าจะเก็บค่าเช่าตอนที่โครงการเสร็จ แต่กลับโดนย้อนหลังเจ็ดเดือน และบอกเลิกสัญญาเช่า) เจ้าของร้านต่างๆ ที่โดนจึงเตือนดิฉันให้ระวังว่าโครงการจะซับปรับ ดิฉันจึงถามอีเมลล์ไปอีกรอบเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2558 (ฉบับแนบต่อกัน) ปรากฏว่าทางโครงการให้ดิฉันย้ายของออกภายใน 7 วันโดยไม่พูดถึงค่าเสียหายของดิฉันแต่อย่างใด ซึ่งก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่งเดือนดิฉันบังเอิญเจอเจ้าของโครงการและได้ถามไป เค้าก็ยังบอกให้รอหน่อย ยังไม่มีคนเอา
ดิฉันใคร่ขอความเป็นธรรมด้วย ถ้าหากว่าโครงการเป็นพลาซ่าอย่างที่โฆษณาไว้ ดิฉันก็จะเปิดร้านแน่นอน เพราะเตรียมทุกอย่างไว้แล้วคะ ดิฉันรู้เพิ่มเติมว่าทางโครงการได้ประกาศขายโครงการ 90 ล้าน อาจจะเป็นเหตุผลถือโอกาสเคียร์ร้านค้าเก่าๆ ออกก็เป็นได้คะ
ขณะนี้ดิฉันได้นำสินค้าทุกสิ่งทุกอย่างออกจากร้านหมดแล้วค่ะ จะเหลือก็ในส่วนที่เดินไฟไว้ค่ะ
ค่าเสียหายขอแยกเป็นสองส่วนนะค่ะ
1. สรุปค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตั้งแต่มาลงทุนทำการจอง รวมเป็นเงิน 179,735.- บาท
2. สรุปรายการสินค้าราคาตั้งขาย รวมเป็นเงิน 239,080.- บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 418,815.- บาท
ก่อนหน้านี้ดิฉันได้ไปยื่นเรื่องขอความเชื่อเหลือจาก 6 แห่ง แต่ก็ได้รับความปฏิเสธจากทุกที่ โดยแตกต่างเหตุผลของแต่ละหน่วยงาน ดังนี้
1. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ) ร้องเรียนเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2558 – ได้รับจดหมายตอบลงวันที่ 17 เมษายน 2558 ความว่า มิใช่คดีผู้บริโภค (ซึ่งแจ้งว่ามีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ว่าจะรับแต่กรณีผู้บริโภค)
2. ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ร้องเรียนเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2558 – ได้โทรศัพท์สอบถามไปโดยแจ้งว่า ได้ส่งเรื่องให้ สคบ เนื่องจากไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ เพราะข้ามเขต
3. สำนักนายกรัฐมนตรี ร้องเรียนเมื่อวันที่ประมาณวันที่ 10 เมษายน 2558 – ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์ว่า กรณีไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ เนื่องจากเป็นหน่วยงานของเอกชน
4. สภาทนายความ – ได้ไปขอคำปรึกษากับทนายอาสาก็ไม่ได้รับคำแนะนำอะไรใดๆ และบอกให้ทางดิฉันไปอุธรณ์กับ สคบ เอง ซึ่งดิฉันได้แจ้งไปแล้วว่าได้ไปยื่นแล้ว
5. ศาลากลางจังหวัดมีนบุรี – ได้ไปขอคำปรึกษากับทนายอาสา แจ้งว่าสามารถฟ้องได้ แต่ค่าทนายห้าหมื่น ทั้งนี้ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งดิฉันไม่มีเงินค่ะ
6. Thai PBS – ได้โทรมาแจ้งว่า คดีนี้เป็นเรื่องที่ต้องฟ้องร้อง ต้องมีการพิสูจน์ก่อนว่าใครผิดใครถูก และทางผู้โทรก็มีแนะนำข้อเสียเปรียบของดิฉัน คือ ไม่ได้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรว่าโครงการจะช่วยเซ้งหรือจะหาคนมาเซ็งให้ หากมีแต่อีเมลแจ้ง บางทีก็เป็นจุดบอดได้
ขณะนี้ดิฉันได้ส่งเรื่องให้สำนักกฏหมายแห่งหนึ่งดูเพื่อจะดำเนินการฟ้อง แต่จะมีค่าทนาย ค่าขึ้นศาล และ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ใจก็กลัวว่าจะแพ้ ไม่ได้อะไรเลย แถมมาเสียค่าทนายอีก ซึ่งเงินลงทุนมาจมกับค่าของและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ร่วมสองปีแล้ว
ดิฉันก็เลยลังเลว่าจะฟ้องหรือไม่ หากถ้าแพ้ ยังไงดิฉันก็ต้องจ่ายค่าทนาย แต่หากชนะก็พอได้คืนบ้างในส่วนที่เสียไป
รบกวนขอคำแนะนำด้วยคะ
ขอคำปรีกษาว่า ควรจะดำเนินการฟ้องหรือไม่ คุ้มหรือไม่คุ้มกับค่าทนาย
หลังจากได้มาจอง ดิฉันก็ปฏิบัติทุกประการตามหมายกำหนดการของโครงการที่ทางเซลล์ได้ให้ไว้ คือ ให้เข้ามาตกแต่งร้านในเดือนกรกฎาคม ถึง สิงหาคม 2556 (ระยะเวลาตกแต่งสองเดือน) แต่พอเข้ามาตกแต่งร้านและเตรียมของสำหรับพร้อมที่จะเปิดกิจการตามหมายกำหนดของโครงการเรียบร้อยแล้วนั้น ปรากฏว่าโครงการก่อสร้างไม่เสร็จตามกำหนดการ ซึ่งในวันที่ 1 กันยายน 2556 หมายกำหนดการของโครงการจะเรียกเข้าไปเซ็นต์สัญญา แต่ก็ไม่สามารถเรียกเซ็นต์ได้เนื่องจากโครงการไม่เสร็จ และการก่อสร้างก็ลากยาว จนกระทั้งดิฉันได้มาทราบว่า "โครงการจะเปลี่ยนจากพลาซ่าเป็นโรงแรม โดยดิฉันได้ตกแต่งและเตรียมของไว้สำหรับจำหน่ายแล้ว โดยปฎิบัติตามหมายกำหนดของโครงการทุกประการ" ซึ่งขัดกับธุรกิจของดิฉันที่ได้วางแผนไว้ในตอนแรก หากเปลี่ยนเป็นโรงแรมแล้วดิฉันจะขายให้ใครได้ ดิฉันจึงตัดสินใจว่าจะเซ้งร้านและได้แจ้งทางโครงการไป โดยทางโรงแรมเองก็ไม่ขึ้นป้ายใหญ่ที่จะแสดงให้เห็นว่าเป็นโรงแรม ซึ่งได้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2557
เมื่อเดือนมกราคม 2557 ทางโครงการได้มีหนังสือแจ้งให้เข้าไปทำสัญญาพร้อมกันทุกร้านและนัดเวลาต่างกัน โดยแจ้งถึงเหตุผลกับทุกร้านที่ได้จองว่า ขอให้ทำสัญญาเพื่อโครงการจะได้นำเอกสารไปกู้ธนาคารเพื่อที่จะได้ทำการสร้างต่อให้เสร็จ เพราะเงินโครงการไม่มี ซึ่งก่อนหน้านี้ดิฉันก็ได้แจ้งไปแล้วว่าโครงการไม่ได้ทำตามที่โฆษณาไว้ คือจะเปลี่ยนจากพลาซ่าเป็นโรงแรม ดิฉันจึงขอให้ทางโครงการช่วยหาคนมาเซ้งต่อ ในวันที่โครงการเรียกเซ็นสัญญา ดิฉันได้มอบหมายให้คุณแม่ กับ คุณลุงที่นับถือ ไปคุยกับโครงการแทนดิฉัน เนื่องจากดิฉันได้ไปทำงานที่ต่างจังหวัดไม่สามารถไปเองได้ และได้มีการเจรจาในวันที่เรียกทำสัญญา ว่าทางร้านจะไม่ขอทำสัญญา เพราะไม่สามารถจะขายของให้ใครได้ ทางเจ้าของโครงการก็บอกว่า ถ้ายืนยันไม่เอาร้าน ทางโครงการจะช่วยหรือจะช่วยหาคนมาเซ้งร้านต่อ และให้ทางดิฉันส่งรายการแจ้งว่าจะเซ้งเท่าไหร่ เวลาผ่านไปโครงการก็ไม่เสร็จสักทีและดิฉันก็ได้ถามทางพนักงานธุรการของโครงการ ชื่อคุณเจน มาตลอดว่าพอมีใครจะเอาร้านไหม แต่ทุกครั้งที่ถามก็บอกว่ายังไม่มี ดิฉันก็เข้าใจว่าโครงการไม่เสร็จสักทีจะมีใครมาเช่าได้ยังไง ก็รอต่อไป จนมาถึงเดือนตุลาคม 2557 ดิฉันเห็นว่ามันนานไม่มีความคืบหน้าและได้ส่งอีเมลล์ไปแจ้งค่าใช้จ่ายที่จะเซ้งไป แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีการตอบกลับอีเมลล์ใดๆ ทั้งสิ้น จนกระทั้งดิฉันเห็นร้านอื่นโดนส่งใบแจ้งให้ย้ายของออกภายใน 15 วันเนื่องจากไม่ชำระค่าเช่า (ร้านอื่นได้เปิดดำเนินธุรกิจตั้งแต่โครงการยังไม่เสร็จ แต่ได้มีคุยด้วยวาจาว่าจะเก็บค่าเช่าตอนที่โครงการเสร็จ แต่กลับโดนย้อนหลังเจ็ดเดือน และบอกเลิกสัญญาเช่า) เจ้าของร้านต่างๆ ที่โดนจึงเตือนดิฉันให้ระวังว่าโครงการจะซับปรับ ดิฉันจึงถามอีเมลล์ไปอีกรอบเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2558 (ฉบับแนบต่อกัน) ปรากฏว่าทางโครงการให้ดิฉันย้ายของออกภายใน 7 วันโดยไม่พูดถึงค่าเสียหายของดิฉันแต่อย่างใด ซึ่งก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่งเดือนดิฉันบังเอิญเจอเจ้าของโครงการและได้ถามไป เค้าก็ยังบอกให้รอหน่อย ยังไม่มีคนเอา
ดิฉันใคร่ขอความเป็นธรรมด้วย ถ้าหากว่าโครงการเป็นพลาซ่าอย่างที่โฆษณาไว้ ดิฉันก็จะเปิดร้านแน่นอน เพราะเตรียมทุกอย่างไว้แล้วคะ ดิฉันรู้เพิ่มเติมว่าทางโครงการได้ประกาศขายโครงการ 90 ล้าน อาจจะเป็นเหตุผลถือโอกาสเคียร์ร้านค้าเก่าๆ ออกก็เป็นได้คะ
ขณะนี้ดิฉันได้นำสินค้าทุกสิ่งทุกอย่างออกจากร้านหมดแล้วค่ะ จะเหลือก็ในส่วนที่เดินไฟไว้ค่ะ
ค่าเสียหายขอแยกเป็นสองส่วนนะค่ะ
1. สรุปค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตั้งแต่มาลงทุนทำการจอง รวมเป็นเงิน 179,735.- บาท
2. สรุปรายการสินค้าราคาตั้งขาย รวมเป็นเงิน 239,080.- บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 418,815.- บาท
ก่อนหน้านี้ดิฉันได้ไปยื่นเรื่องขอความเชื่อเหลือจาก 6 แห่ง แต่ก็ได้รับความปฏิเสธจากทุกที่ โดยแตกต่างเหตุผลของแต่ละหน่วยงาน ดังนี้
1. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ) ร้องเรียนเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2558 – ได้รับจดหมายตอบลงวันที่ 17 เมษายน 2558 ความว่า มิใช่คดีผู้บริโภค (ซึ่งแจ้งว่ามีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ว่าจะรับแต่กรณีผู้บริโภค)
2. ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ร้องเรียนเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2558 – ได้โทรศัพท์สอบถามไปโดยแจ้งว่า ได้ส่งเรื่องให้ สคบ เนื่องจากไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ เพราะข้ามเขต
3. สำนักนายกรัฐมนตรี ร้องเรียนเมื่อวันที่ประมาณวันที่ 10 เมษายน 2558 – ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์ว่า กรณีไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ เนื่องจากเป็นหน่วยงานของเอกชน
4. สภาทนายความ – ได้ไปขอคำปรึกษากับทนายอาสาก็ไม่ได้รับคำแนะนำอะไรใดๆ และบอกให้ทางดิฉันไปอุธรณ์กับ สคบ เอง ซึ่งดิฉันได้แจ้งไปแล้วว่าได้ไปยื่นแล้ว
5. ศาลากลางจังหวัดมีนบุรี – ได้ไปขอคำปรึกษากับทนายอาสา แจ้งว่าสามารถฟ้องได้ แต่ค่าทนายห้าหมื่น ทั้งนี้ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งดิฉันไม่มีเงินค่ะ
6. Thai PBS – ได้โทรมาแจ้งว่า คดีนี้เป็นเรื่องที่ต้องฟ้องร้อง ต้องมีการพิสูจน์ก่อนว่าใครผิดใครถูก และทางผู้โทรก็มีแนะนำข้อเสียเปรียบของดิฉัน คือ ไม่ได้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรว่าโครงการจะช่วยเซ้งหรือจะหาคนมาเซ็งให้ หากมีแต่อีเมลแจ้ง บางทีก็เป็นจุดบอดได้
ขณะนี้ดิฉันได้ส่งเรื่องให้สำนักกฏหมายแห่งหนึ่งดูเพื่อจะดำเนินการฟ้อง แต่จะมีค่าทนาย ค่าขึ้นศาล และ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ใจก็กลัวว่าจะแพ้ ไม่ได้อะไรเลย แถมมาเสียค่าทนายอีก ซึ่งเงินลงทุนมาจมกับค่าของและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ร่วมสองปีแล้ว
ดิฉันก็เลยลังเลว่าจะฟ้องหรือไม่ หากถ้าแพ้ ยังไงดิฉันก็ต้องจ่ายค่าทนาย แต่หากชนะก็พอได้คืนบ้างในส่วนที่เสียไป
รบกวนขอคำแนะนำด้วยคะ