พระ..ผู้เอาเปรียบสังคม อยู่ฟรี กินฟรี !

กระทู้สนทนา
ภิกษุ : ผู้จะต้องเลี้ยงชีพด้วยการขอข้าวชาวบ้าน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา  มีเพื่อน  นิสิต ลูกศิษย์เรียนภาษาบาลี ทั้งโทรศัพท์ ทั้งส่งข้อความในสื่อออนไลน์อื่น ๆ  ที่มีผู้กล่าวพาดพิงหลักสูตรการเรียนการสอน และการเป็นอยู่ของพระนิสิตในมหาวิทยาลัยสงฆ์  และเชิญให้เข้าไปดูรายละเอียด   “... ต้องปฏิรูป มจร เร่งด่วน  เพราะเน้นสอนทางโลกมากเกินไป ไม่เรียนทางธรรมเลย... นิสิตอยู่ฟรีกินฟรีทุกอย่าง...เอาเปรียบเยาวชน”      ขอเรียนตามตรงว่า ทัศนะความเห็นเช่นนี้ ไม่ใช่ของใหม่ ไม่ใช่คำพูดใหม่ และไม่ใช่ประเด็นใหม่อะไร  เป็นเพียงคำพูดที่ทำให้ดูเหมือนว่า ตัวเองเป็นผู้มองสภาพการณ์กิจการพระศาสนาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และหวังผลให้คนชื่นชมว่า ตัวเองเป็นผู้กล้าเป็นอัศวินม้าขาวที่จะเข้ามาจัดการปฏิรูปกิจการพระศาสนา   ผู้เขียนไม่ใช่นักวิพากษ์สังคม ไม่ค่อยชอบอ่านงานเขียนหรือบทวิจารณ์ทางสังคม  แต่เห็นคำพูดนี้แล้วเกรงจะเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการใช้คำที่แสดงออกต่อพระสงฆ์ไปในทางไม่ถูกต้องตามหลักการ  จึงอยากจะแสดงทัศนะในฐานะของผู้ถูกถาม  ข้อคิดเห็นที่แสดงต่อสาธารณะในตอนที่ 1  นี้  เป็นข้อคิดเห็นในประเด็น “.... อยู่ฟรีกินฟรีทุกอย่าง เอาเปรียบเยาวชน”  ซึ่งเป็นคำพูดที่เกี่ยวข้องกับตัวหลักการของพระพุทธศาสนาโดยตรง  ส่วนประเด็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ มีหลักสูตรการเรียนการสอนทางโลกอะไรอย่างไร  ไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่เป็นข้อเท็จจริงเชิงประวัติศาสตร์ และข้อเท็จจริงเชิงบริบททางสังคม ถ้าหากจะมีการพูดถึงมหาวิทยาลัยสงฆ์ ก็ควรทำความเข้าใจในตัวหลักการความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ที่พระพุทธองค์ได้บัญญัติไว้ เป็นอันดับแรก

อยู่ฟรีกินฟรีทุกอย่าง ... : อาหารบิณฑบาต กิจของสงฆ์

ทัศนะหลักการเรื่อง “...อยู่ฟรี กินฟรีทุกอย่าง...”  ผู้เขียนเห็นว่า เป็นประเด็นของเรื่องหลักการ หลักขั้นปฏิบัติพื้นฐานของชาวพุทธ หากเข้าใจในเรื่องนี้ไม่ถูกต้องแล้ว ก็ไม่สามารถเข้าใจบทบาทหน้าที่ของพระสงฆ์ ไม่เข้าใจวิถีชีวิตของพระภิกษุสามเณร หรือ พระนิสิตของมหาวิทยาลัยสงฆ์ได้เลย  คำพูดที่เห็นว่า อยู่ฟรี กินฟรีทุกอย่าง เอาเปรียบเยาวชน   เป็นคำพูดที่แสดงถึงความไม่ประสาในเรื่องของพุทธศาสนา พูดด้วยมิจฉาทิฐิ ไม่เข้าใจในหลักการที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เพื่อการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันของพุทธบริษัท 4  หรือแม้หากจะเข้าใจอย่างดี แต่ก็พูดเพื่อจ้องทำลายหลักการของพระพุทธเจ้า ในเรื่องดังกล่าวนี้

คำพูดว่า “....อยู่ฟรีกินฟรีทุกอย่าง....”  เป็นคำพูดที่ระบุถึงการเป็นอยู่ของพระนิสิตมหาวิทยาลัยสงฆ์ หรืออาจจะเหมารวมการเป็นอยู่ของพระสงฆ์ทั้งหมด ที่มองเห็นภาพของการออกบิณฑบาต การรับกิจนิมนต์ หรือ การที่มีพุทธศาสนิกชนนำอาหารบิณฑบาตไปถวายในวัด หรือ ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ มองเลยเถิดไปจนเกิดทัศนคติที่เห็นว่า พระนิสิตเหล่านี้ เรียนฟรี อยู่ฟรี กินฟรี เอาเปรียบชาวบ้าน ซึ่งเป็นทัศนคติที่ไม่เข้าใจสถานะและบริบททางสังคม ไม่เข้าใจแม้กระทั่งหลักการขั้นพื้นฐานที่พุทธบริษัทจะพึงปฏิบัติต่อกัน  ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า ถ้าผู้พูดมีทัศนคติที่อยู่บนพื้นฐานความไม่เข้าใจในหลักการปฏิบัติขั้นพื้นฐานของพุทธบริษัทเช่นนี้  อาสารับหน้าที่ที่จะปฏิรูปหรือปรับปรุงกิจการอะไรบางอย่างของคณะสงฆ์ นอกจากจะมิใช่เป็นการปรับปรุงแล้ว แต่จะเป็นการทำลายหลักการขั้นพื้นฐานที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้อีกต่างหาก


อาหารบิณฑบาต : หลักสงเคราะห์บริษัท

หลักการหรือข้อปฏิบัติพุทธบริษัท ทั้ง 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา จะพึงปฏิบัติต่อกันในระดับขั้นพื้นฐานคือชีวิตความเป็นอยู่ที่มีความเกี่ยวเนื่องกันนั้น   มีปรากฏข้อความพุทธดำรัสมากมายหลายแห่งในพระไตรปิฎก เช่น  กรณียกิจ 4   (ดูรายละเอียดในพระวินัยปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ ภาษาบาลี เล่มที่ 4 ข้อ 128  หน้า 139  ฉบับภาษาไทย  หน้า  197)  พระพุทธองค์ทรงวางหลักปฏิบัติให้ฝ่ายภิกษุต้องเลี้ยงชีพด้วยอาศัยอาหารบิณฑบาตของชาวบ้าน   เป็นคำสอนที่พระอุปัชฌาย์ พึงบอกแก่ภิกษุผู้อุปสมบทใหม่ เรียกว่า  กรณียกิจ คือ กิจหรือหน้าที่ที่พระภิกษุต้องกระทำเป็นกิจวัตร จัดเป็นกิจของสงฆ์  อาหารบิณฑบาตโภชนะ ทั้งส่วนที่ต้องเดินตามลำดับตรอก หมู่บ้าน คามนิคม  ภาษาชาวบ้านคือออกบิณฑบาต หรืออติเรกลาภ คือ ภัตรถวายสงฆ์ การนิมนต์ สลากภัตร หรือภัตรที่เกิดขึ้นในวันอุโบสถเป็นต้นเหล่านี้ จัดอยู่ในรูปของอาหารบิณฑบาตทั้งหมด   การรับอาหารบิณฑบาต จัดเป็นกรณียกิจ ข้อปฏิบัติข้อแรกในกรณียกิจ 4 ประการ   ด้วยนิยามตามข้อวัตรปฏิบัติ คือ เลี้ยงชีพด้วยการขอข้าวชาวบ้าน  ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาจึงพบว่า พระพุทธองค์ตรัสเรียกสาวกว่า   “ภิกฺขุ”   แปลว่า  ผู้ขอข้าวชาวบ้าน  (ดูรายละเอียดในคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา คาถาที่ 415)  คำถามคือ เหตุใดพระพุทธองค์จึงทรงวางหลักการให้ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยอาศัยอาหารบิณฑบาตของชาวบ้าน


อาหารบิณฑบาต : มีคุณและโทษในตัวเอง

มุมมองของศาสนา  การรับหรือการให้อาหารบิณฑบาต เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธกิจอย่างหนึ่ง  คือ รุ่งเช้าจะต้องเสด็จออกบิณฑบาต  และเป็นกรณียกิจสำหรับสาวก  ดังปรากฏข้อความในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท  (ดูรายละเอียดในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ฉบับบาลี ภาค 6 หน้า 30 – 33  ฉบับภาษาไทย หน้า 49 – 52)  เมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อโปรดพุทธบิดาและประยูรญาติ  เช้าวันแรกที่เสด็จถึงพระนคร พระองค์ทรงออกรับบิณฑบาตจากชาวบ้านทั่วไป  ทำให้พระเจ้าสุทโธ ทนะ ทรงพิโรธอย่างมาก ได้เสด็จตามและทูลพระพุทธองค์ เป็นถึงลูกเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์เหตุใดจึงต้องขอข้าวชาวบ้าน ทำให้พระบิดาต้องอับอายด้วยเล่า  พระพุทธองค์ได้ตรัสสอน พระเจ้าสุทโธทนะและพระสาวกว่า การออกรับบิณฑบาตเป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์  (ในมุมมองของผู้เขียน เรื่องดังกล่าวนี้หากมองในแง่ของความสัมพันธ์ทางสังคม พระพุทธองค์เคยเป็นเจ้าชาย เป็นรัชทายาท มีพระเมตตาเปี่ยมล้นต่อพสกนิกร  ทรงเป็นที่รักของปวงชนพสกนิกร ได้เสด็จออกจากบ้านเมืองนี้เป็นเวลานาน การที่พระพุทธองค์ออกรับบิณฑบาตเช่นนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าได้เข้าเฝ้าได้ชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด)  พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนพระเจ้าสุทโธทนพุทธบิดาและหมู่สาวกที่ติดตามว่า ”บรรพชิตไม่พึงประมาทในก้อนข้าว อันตนพึงลุกขึ้นยืนรับ, บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต, ผู้มีปกติประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า, บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต, ไม่พึงประพฤติธรรมนั้นให้ทุจริต, ผู้มีปกติประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า”  พุทธดำรัสดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่า พระภิกษุเมื่อรับอาหารบิณฑบาตของชาวบ้านแล้ว ควรประพฤติดีปฏิบัติชอบ ไม่ควรมีชีวิตอยู่ด้วยความประมาท หากประพฤติผิดศีลธรรมแต่ยังปฏิญาณตนและรับอาหารบิณฑบาต ในทางพระพุทธศาสนาก็มีบทลงโทษไว้แล้ว  มีพระพุทธพจน์ ที่ตรัสถึงโทษของการประพฤติผิดศีล ไร้สังวรไว้ว่า   “กินก้อนเหล็กเผาไฟ ที่ลุกไหม้เป็นเปลวเพลิง ดีกว่าเป็นผู้ทุศีลไร้สังวร บริโภคอาหารของชาวบ้าน”   เพราะการกลืนก้อนเหล็กอันร้อนเป็นไฟ ก็ทุกข์ทรมานเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แต่ภิกษุผู้ประพฤติผิดศีลธรรม ย่อมตกนรกหมกไหม้หลายร้อยชาติ (ดูรายละเอียดในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ฉบับบาลี ภาค 7  หน้า 124 – 125  ฉบับภาษาไทย หน้า 192-193)


อาหารบิณฑบาต : การเผยแผ่ศาสนา

ในแวดวงของพุทธศาสนิกชนผู้มีศรัทธาความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีสติปัญญาฝึกอบรมตนมักจะไม่เกิดคำถามใด ๆ ในประเด็นนี้เพราะเข้าใจในหลักการที่พึงปฏิบัติต่อกันอยู่แล้ว   แต่จะเกิดคำถามอย่างมากมายสำหรับผู้เป็นชาวพุทธแค่ตามบัตรประชาชน หรือ ผู้ที่จ้องทำลายสถาบันพระศาสนาของชาติ มักจะมองเห็นว่า การเป็นอยู่ของพระสงฆ์เอาเปรียบชาวบ้านแล้วสร้างกระแสปลุกปั่นให้คนเห็นคล้อยตาม หารู้ไม่ว่า หลักการที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้พระภิกษุสามเณรต้องเลี้ยงชีพด้วยอาหารบิณฑบาตนั้น เมื่อมองในเชิงสังคมที่ประกอบด้วยหลายกลุ่มหลายคณะเป็นพุทธบริษัท  การให้และการรับอาหารบิณฑบาต นับเป็นกิจกรรมที่ทำได้ง่ายที่สุดที่พุทธบริษัทจะปฏิบัติต่อกัน และนับเป็นการวางเงื่อนไขให้ชีวิตของภิกษุต้องอาศัยชาวบ้าน นับเป็นประโยชน์ในการเผยแผ่และรักษาพระศาสนา ทำให้ภิกษุต้องมีชีวิตผูกพันอยู่กับชาวบ้าน  ว่าโดยหลักการ คือ เมื่อพระภิกษุได้รับการสงเคราะห์ด้วยอาหารบิณฑบาตแล้ว ก็ย่อมคิดหาทางช่วยเหลือชาวบ้าน คือ ศึกษาพระธรรมคำสอน รู้หลักธรรมดีแล้ว ก็นำหลักพระธรรมคำสอนออกไปเสนอ ออกไปเผยแผ่ ต้องคิดสงเคราะห์อนุเคราะห์ชาวบ้านในรูปแบบต่างๆ  หลักการของการให้การรับบิณฑบาต เป็นหลักของกตัญญูกตเวที เป็นหลักธรรมพื้นฐานของพุทธบริษัท ต่างฝ่ายต่างเกื้อกูลกันอย่างนี้ นี่คือ หลักการขั้นพื้นฐาน   หากไม่มีการให้การรับอาหารบิณฑบาต  ต่างคนต่างอยู่ กิจการพระศาสนา จะยั่งยืนอยู่มาได้อย่างไร

ผู้คนทั้งหลายมักจะมองตัวปัญหากับคนสร้างปัญหาเป็นอย่างเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว การรับอาหารบิณฑบาต หรือที่พูดกันแบบคะนองปากว่า “อยู่ฟรี กินฟรี เอาเปรียบชาวบ้าน”   ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด

แต่ที่เป็นปัญหา คือ ผู้รับอาหารบิณฑบาตที่มักจะเป็นข่าวคราวในทางไม่เป็นมงคล หรือ ฉันอาหารบิณฑบาตของชาวบ้านแล้ว ก็ยังประพฤตินอกธรรมวินัย  ปัญหาดังกล่าวนี้ ผู้เขียนขอยอมรับว่า ยังมีผู้ทุศีลเข้ามาบวชหลอกลวงพุทธบริษัท อาศัยพระศาสนาดำรงชีพ  ในขณะเดียวกัน ขอถามกลับว่า ข้าราชการ การเมือง ข้าราชการประจำ  พนักงานของรัฐ หรือ กลุ่มแรงงานใดๆ ก็ตามที่รับเงินค่าจ้างซึ่งเป็นสมบัติของชาวบ้าน เป็นภาษีอากรของหลวง  มีบ้างไหม?   ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ เบียดบังเวลาราชการ ทำการทุจริตคอรัปชั่น ประเทศชาติแทบล่มสลาย  ท่านเหล่านี้ จะแตกต่างอะไรกันเล่ากับผู้รับอาหารบิณฑบาตของชาวบ้านแล้วยังประพฤตินอกธรรมนอกวินัย  ผู้เขียน  ไม่ได้เข้าข้างพระภิกษุสงฆ์ ไม่ได้มีความพอใจกับสภาพการณ์ที่เป็นปัญหาเช่นนี้ ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขสภาพการณ์ของพระสงฆ์อีกมากมาย  ผู้เขียนและศิษย์เก่ามหาจุฬาฯ หรืออดีตมหาเปรียญมากมายหลายหมื่นคน ที่จบการศึกษาของคณะสงฆ์ มีจิตสำนึกแห่งความเป็นหนี้บุญคุณข้าวก้นบาตร ปฏิญาณตนรักษาศีล 5 ตลอดชีวิต ทำงานในหน้าที่อย่างสุดความสามารถเท่าที่จะทำได้  เพียงผู้เขียนนึกถึงข้าวก้นบาตรของชาวบ้านที่เคยพึ่งพาอาศัยเมื่อคราวบวชเรียน  แค่นี้ก็สามารถสร้างจิตสำนึกที่จะเป็นคนดีได้แล้วครับ


รองศาสตราจารย์เวทย์  บรรณกรกุล
อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่