จากพนักงานประจำ เปลี่ยนมาเป็นพนักงานนวด



ดิฉันเป็นคนเชียงใหม่ เรียนจบป.ตรี ครูแนะแนวจากทางใต้ แล้วกลับมาทำงานที่รง.ในลพ. มีตำแหน่งแค่พนักงานออฟฟิต ไม่มีPositionอย่างอื่น ทำไปวันๆไม่สนใจตำแหน่งอะไร ก็โอเคนะ รายได้สองหมื่นกว่าต่อเดือน ชีวิตแสนสบาย มีรถรับส่งไปที่ทำงานทุกวัน วันหยุดได้ออกกำลังกาย หัวค่ำเรียนเพิ่มเติม ใช้เงินจากบัตรเครดิตเป็นว่าเล่น ...และมันก็พอกพูน และหลังๆ ชีวิตรักก็ไม่ค่อยสวยงาม สภาพจิตใจก็แย่ตามๆ อยู่มาวันนึง น้องสาวแท้ๆก็โทรมาถามว่า อยากมาทำงานนวดที่อังกฤษด้วยกันมั้ย น้องเซ้งร้านนวดในเมืองได้แล้ว แต่มันไม่ง่ายนะ ต้องทำใจ และต้องไปเรียนนวดมาให้เรียบร้อย ฉันจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่ทำมาสิบเจ็ดปี และก้าวออกมาจากชีวิตรักที่ล้มเหลว

ก่อนลาออกสามเดือน ฉันจัดการถ่ายโอนงานให้เพื่อนร่วมงานอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้ใครรู้ตัว เคลียร์งานทุกสิ่งอย่างเงียบๆ แอบไปเรียนนวดที่รร.เอกชนในเมือง ทุกวันอาทิตย์ ขอยืมไหล่เพื่อน แขนเพื่อน ขาเพื่อน ซ้อมนวด กดจุดไป คนนั้นทีคนนี้ทีไปอย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเรากำลังจะลาออก ยกเว้นคนสนิทที่รู้เมื่อวันที่ยื่นเอกสารแล้ว พนักงานคนนึงที่เงียบๆ เรียบๆ สนุกกับกิจกรรมบริษัททุกปี ทำงานมาอย่างอดทน ก็ขอลาออก จึงเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วทั้งบาง ราวๆพันกว่าคน แม้กระทั่งน้องชายที่ทำงานเป็นล่าม พึ่งมาสนิทกันก็ยังลาออกตามฉัน เพราะคงไม่สนุกแล้วที่รุ่นพี่ลาออกกระทันหันแบบนี้

ฉันยื่นวีซ่าไปอังกฤษด้วยตนเอง กรอกเอกสารเอง ไม่ใช้เอเย่นช่วย ลุ้นจนวันที่พาสปอร์ทส่งกลับมาว่าผ่านหรือไม่ และมันก็ผ่านฉลุย แต่มันเป็นวีซ่าแบบ แฟมมิลี่วิสิทเตอร์ คือไปเยี่ยมครอบครัว ไม่ได้ไปทำงาน หรือเรียนภาษา ด้วยสาเหตุหลายประการที่ต้องทำแบบนี้ ถ้าต้องทำเวอร์เพอร์มิท ก็เป็นล้าน และกฏหมายทางฝ่ายอังกฤษไม่อนุญาติให้ทำงานวดในอังกฤษอย่างแน่นอนสำหรับคนทั่วไป เอาน่า ชีวิตไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว ลุยเลยละกัน

ฉันยื่นใบลาออก ในวันที่ได้รับพาสปอร์ท ซื้อตั๋วเครื่องบิน (ตั๋วปี) ราวๆสี่หมื่นบาทเพราะตั้งใจอยู่จนวีซ่าหมด กระเป๋าที่มีเป็นของฝากน้องสาวทั้งหมด ของใช้ส่วนตัวมีเพียงเน็ทบุ๊ค กล้องDSLR เสื้อผ้าสองสามชิ้น และเสื้อกันหนาวที่รับได้ที่ 5c ที่มีเท่านี้เพราะน้องสาวจะพาไปซื้อใหม่ทั้งหมด เป็นพวกที่เหมาะสมกับเมืองหนาว ซึ่งก็ตามนั้น หนาวจริงๆ ก่อนบินมีเพียงเพื่อนสนิทและแม่ที่มาส่ง ใครบางคนมาหาที่หน้าบ้านแค่ชั่ววินาที เพื่อกล่าวคำอำลา .... นั่งน้ำตาซึมจากเชียงใหม่จนถึงกทม. และสิบสองชม.บนเครื่องก็นอนไม่หลับสักเท่าไหร่ ชีวิตต้องเดินต่อไป

น้องสาวจ้างคนขับรถมารับฉันที่สนามบิน เพื่อพาฉันไปถึงบ้านโดยปลอดภัย ฉันมาถึงลอนดอนแล้ว.....มันยังมึนๆ เบลอๆ

บ้านน้องสาวฉันห่างลอนดอนไปทางใต้สองชม. เป็นเมืองเล็กๆที่เงียบสงบ ร้านนวดอยู่ห่างออกไปอีกเมือง แต่นั่งรถเมล์ไปได้สะดวกมาก ฉันมีหน้าที่ส่งหลานไปเนสเซอร์รี่ แล้วก็จับรถเมล์ไปร้าน หรือวันที่น้องสาวหยุด ฉันก็เฝ้าร้านนวดแทนน้อง เก็บเงินกลับบ้าน ร้านนวดเป็นร้านเล็กๆ มีห้องนวดสามห้อง มีลูกค้าเข้าอย่างน้อย3-9คน แต่ค่านวดวันละสามคนก็ถือว่าได้ค่าเช่าร้าน ค่าต่างๆนานาแล้ว ที่ได้เกินคือกำไร หลังจากที่น้องสาวได้เงินก็ส่งเงินกลับบ้านให้แม่เพื่อปลูกบ้านใหม่ และขายร้านทิ้งไปในปีถัดมาก ที่ขายเพราะพวกเราไม่เหมาะกับการทำธุระกิจ น้องสาวทะเลาะกับสามีเรื่องความไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ในเรื่องธุระกิจ และสร้างภาระให้สามี แต่พอขายไปแล้ว ก็เข้าสู่สภาวะปกติ ชีวิตครอบครัวอบอุ่นอีกครั้ง ส่วนฉันเจออิมมิเกรชั่นเข้าตรวจร้านในอาทิตย์แรกที่เริ่มลงงานนวด แต่วันนั้นฉันไม่ได้ลงงาน และนั่งเล่นคอมเฉยๆ จึงรอดไป ฉันจึงกลับไทยหลังจากที่อยู่แค่เพียงสี่เดือน (วีซ่ากำหนดหกเดือน)

พอกลับมาไทยแล้วก็จ่ายหนี้บัตรเครดิตได้เพียงครึ่งเดียว เพราะยังไม่มีงานทำ และไปเรียนนวดอีกครั้งที่ศูนย์พัฒนาทรัพยากรณ์มนุษย์ที่สันกำแพง เรียนเพื่อสอบวัดระดับนวดไทยระดับหนึ่ง เลยได้รู้จักกับคำว่า Therapist และที่นี่สอนให้ฉันได้รู้จักงานสปา ฉันจึงเรียนเอาใบสปาระดับหนึ่งมาอีกครั้ง และสอบวัดระดับ  ได้งานที่ประเทศมาเลเซีย เป็นงานที่ถูกต้องตามกฏหมาย และเป็นสปาระดับห้าดาว เงินเดือนไม่มาก ต่ำกว่าเงินเดือนพนักงานบริษัทเดิมเยอะเลย แต่ก็อดทน เพื่อเอาใบรับรองการทำงานไปสมัครงานที่อื่น หรือเพิ่มตำแหน่งในโอกาสต่อไป

ที่ได้งานนี้เพราะบอกเขาไปว่า เคยไปทำงานนวดที่อังกฤษมาก่อน เพราะเดิมเขาต้องการคนมีประสบการณ์มาแล้วหนึ่งปี แม้แค่บอกปากเปล่า เขาก็เชื่อถือ นอกเหนือจากใบรับรองต่างๆจากทางหน่วยงานรัฐบาล วีซ่าที่อังกฤษในพาสปอร์ทก็พอจะยืนยันได้ว่าไปมาจริงๆ และเรื่องสนุกๆในการทำงานครั้งแรกในสปาของฉันก็เกิดขึ้นมากมาย ความอดทนเท่านั้นที่จะทำให้ฉันอยู่ทำงานที่มาเลฯจนครบสัญญา

เทรนงานเป็นภาษาอังกฤษล้วน เทคนิคการนวดที่คล้ายงานนวดไทย เพื่อนร่วมงานเป็นสาวบาหลี เด็กที่อยู่ร่วมบ้านเป็นเด็กมาเล จำเป็นต้องงดทานหมูไปในตัว ที่พักก็ไม่ได้อยู่ในสปา ต้องแยกไปพักที่โฮสเทลที่เจ้าของเช่าไว้ให้ เดินทางด้วยรถไฟฟ้า ทุกอย่างคล้ายคนท้องถิ่น (บางร้านพนง.นวดพักในตึกเดียวกับที่นวด จึงไม่ค่อยได้ไปไหน) ฉันจะออกบ้านตอนเช้า เพื่อเดินสำรวจเส้นทางรอบๆที่พักและรอบๆที่ทำงาน พอคุ้นเคยก็แวะช้อปปิ้ง (ได้ทิปจากการนวด)

จริงๆแล้วคนไทยที่มาทำงานที่สปานี้จะต้องไปประจำนอกกัวลาลัมเปอร์ เพราะบอสเปิดร้านใหม่ที่นอกเมือง และมีเมนูนวดไทย พวกฉันต้องนวดไทยเป็นหลัก แต่ความที่ร้านรอใบอุนญาติประกอบการ ฉันจึงต้องไปประจำที่สาขาอื่นๆ รอเวลาร้านเปิด จึงเป็นโอกาสดีที่ได้ประจำที่เอ้าท์เล็ทในรร.ห้าดาว คืออินเตอร์คอนติเนนตัล แต่กว่าจะนวดจนได้ทิปสวยๆก็ใช้เวลานานมาก ฉันได้ฝึกทุกสิ่งจากที่นี่ แม้กระทั่งเป็นคัสตอมเมอร์เซอร์วิส น้องๆผจก.สปา เพราะฉันพอจะโต้ตอบภาษาอังกฤษได้ (ฉันเคยสอบโทอิก ได้ราวๆห้าร้อยคะแนน)  

เดือนที่แปดของการทำงานในกัวลาลัมเปอร์ก็หมดลง คำสั่งย้ายฉันไปนอกเมืองก็มาถึง ในเวลาห้าทุ่ม...สปากำลังปิด

"พรุ่งนี้หยุดหนึ่งวันนะ แล้วอีกวันก็ย้ายไปสุบังฯกัน"

ไม่มีเวลาได้ร่ำลาอะไร ถุงหนึ่งใบ โกยของในล๊อคเกอร์ลงไป และปิดสปา ลาก่อยยย......ทิปครั้งละห้าร้อยบาทของฉัน

ที่ร้านใหม่ ค่อนข้างเงียบเหงา นานๆมีลูกค้าทีนึง และโจทย์ที่ยากมากคือ นวดน้ำมันระดับสตรอง .... โคตรหนัก สามเดือนแรก ทิปไม่มี คนที่นี่ขี้เหนียว ฉันจะทำยังงัยให้ทิปมันหลุดออกจากกระเป๋าได้นะ พฤติกรรมลูกค้าของKL ต่างกับคนท้องถิ่นโดยสิ้นเชิง ผจก.สปาที่มากินนอนร่วมกันกับพวกเราก็ลาออกไป พนักงานทะเลาะกัน ฉันแก่สุดก็ต้องคอยเคลียร์ คิดเงิน ทำบิล ต้อนรับลูกค้า ขายเมนู ทำความสะอาดสปา ซ่อมแซมหลอดไฟ ส่งผ้าซัก ทุกสิ่ง จากวันแรกจนถึงวันนี้ก็เริ่มเป็นงาน ผจก.สปาคนถัดมาก็ลาอออก ทั้งสปาก็เหลือแต่ป้าแก่อย่างฉันรับหน้าทั้งสปา ก่อนที่จะมีผจก.คนใหม่มาประจำ บอสจ่ายเงินเดือนหมื่นกว่า ใช้จนคุ้มจริงๆ พนักงานจากเจ็ดคน ลาออก หมดสัญญา ย้ายไปที่สาขาอื่น ก็เหลือเพียงสามคน สุดยอดสปาจริงๆ

ครูเคยมาเยี่ยมตอนทำงานที่KL บอกว่าที่เธอไม่ได้ทิปจากคนมาเลฯ เพราะเธอยังไม่เจ๋งจริง ตอนนั้นในใจเถียงมากๆ เพราะค่านวดที่นี่ ชั่วโมงละสองพันห้าร้อยบาท ใครจะให้ทิปอีก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากฟังครูพูด ก็มานั่งสังเกตว่า ก็จริง ทิปที่ได้มักมาจากนักท่องเที่ยวรวยๆทั้งนั้น คนท้องถิ่นแท้ๆ ไม่เคยได้ทิปเลย ยิ่งพอย้ายมาที่สุบังก็เป็นจริงดั่งที่ครูบอก ฉันจึงพยายามนวดให้ได้ดั่งใจลูกค้า คอยฟัง คอยถาม ใส่ใจลูกค้า และความที่ฉันยิ้มและเป็นคนไทย ฉันก็เริ่มมีลูกค้าประจำ (ลูกค้าประจำไม่มาก แค่สองสามคน เพราะที่นี่ลูกค้ายังไม่ติด ราคานวดยังแพงไป ชม.ละแปดเค้าร้อยบาท) แรกๆลูกค้าประจำตัวดีเลย ไม่เคยให้ทิปเลย แต่พอทุกครั้งที่เรียกเรา ก็จะเริ่มทักทาย ยิ้มแย้ม แม้จะพึ่งเสร็จงานนวด ออกมาจากห้องนวดอีกห้องก็ตาม ตรงไหนเน้นได้ เน้น ตรงไหนแก้อาการได้ ก็แก้ จัดไปให้คุ้มแปดร้อยบาท ก็ได้ทิปมาบ้างแล้ว ร้อยบาท สองร้อยบาทก็เริ่มใจชื้น แม้จะน้อยกว่าที่KLแต่ก็ถือว่าเราทำสำเร็จ

ฉันยังไม่จบสัญญาจากที่นี่ แต่ก็คิดว่าจะยังทำงานนวดต่อไปจนกว่าจะเปลี่ยนตำแหน่งได้

ถามมว่าเพื่อนรังเกียจมั้ย ไม่เลยนะคะ ถึงจะมีใครรังเกียจก็ไม่สนใจคะ ถือว่าไมไ่ด้ทำอะไรผิดศิลธรรม ... ภูมิใจกับงานนี้เหมือนกัน ไม่ต่างกับพนักงานบริษัทเลยคะ

หากใครสนใจ หรือมีคำถามก็ทิ้งไว้ได้เลยคะ แล้วจะมาตอบ ถ้าอยากติดตามก็สามารถไปตามอ่านได้ที่ "ป้ามาทำอะไรใน Malaysia" อ่านเรื่องเก่าๆไปก่อนได้คะ ถ้าว่างก็จะอัพเพิ่มเติม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่