[CR] ทริปลุยเดี่ยวเที่ยวโตเกียวและหมู่บ้านจิ้งจอก (Tokyo Trip & Fox Village) Ep.1

*คำเตือน* รูปเยอะมาก

ทริปลุยเดี่ยวเที่ยวโตเกียวและหมู่บ้านจิ้งจอก

เป็นครั้งแรกที่ไปเที่ยวด้วยตัวเอง (แบบพึ่งตัวเองมากๆ) เลยอยากแบ่งปันประสบการณ์ค่ะ

ออกตัวก่อนเลยว่า เราไม่เคยออกนอกประเทศไปไหนตลอดชีวิตอายุ 22 ปีของเราค่ะ ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้เพื่อความอุ่นใจของพ่อแม่ เราเลยบินไปพร้อมกับครอบครัวของน้าค่ะ แต่ทริปที่ตะลุยเดี่ยวนี้ เราไปคนเดียวค่ะ มีไปกับครอบครัวน้าแค่วันเดียวเท่านั้น (พักกันคนละที่ แยกกันเที่ยวซะส่วนใหญ่ค่ะ) ดังนั้น เรียกได้ว่าเราไปเที่ยวคนเดียวซัก 90% ก็ได้ค่ะ

ก่อนไปเราวางแผนค่อนข้างเยอะพอสมควร (แต่ก็แค่ที่จะไปสองที่) ค่ะ ส่วนใหญ่ก็ใช้ http://www.hyperdia.com/en/ เว็บนี้เวลารถไฟที่วิ่งจะตรงมากค่ะ อีกอย่างคือสำหรับสมาร์ทโฟนใช้ Google map ได้เลยค่ะ มีบอกวิธีเดินทางหลายวิธีและบอกราคาเอาไว้ด้วยค่ะ (แต่เวลาเดินตามถนนอย่าไปเชื่อมันนะ เราหลงหลายทีและ แต่ขึ้นรถไฟถูกเพราะ google ค่ะ) อีกทางหนึ่งคือโหลดแอพลิเคชั่นจาก Play Store ชื่อ TABIMORI กับ Tokyo Map มาใช้ค่ะ แผนของเราแต่แรกเริ่มเดิมทีมีแค่สองอย่างคือ ไปหมู่บ้านจิ้งจอกที่จังหวัดมิยางิ กับไปคาเฟ่แมวที่อุเอโนะค่ะ ที่เหลือโนแพลนสุดๆ



หลังจากลงเครื่องที่ฮาเนดะตอนหกโมงเช้า (เวลาญี่ปุ่น เวลาไทยตีสี่) เราก็หอบของไปฝากไว้ที่โรงแรมก่อนค่ะ เช็คอินเข้าห้องได้ตอน4โมงเย็นแต่ฝากของไว้ได้ค่ะ วันที่เราไปนี้ฝนตกต้อนรับด้วยค่ะ (ญี่ปุ่นเข้าหน้าร้อนพอดี) เย็นชุ่มฉ่ำมาก (แต่กระเป๋าเปียก) พอเอาของไปฝากเราก็ไปร่อนเลยค่ะ (ไม่เจียม) แยกกับน้าตอนที่มาถึงสถานีรถไฟ Asakusa ค่ะ (เราพักที่ Asakusa ถ้าใครมาแนะนำพักแถวนี้ก็ได้ค่ะ เงียบดี กลางคืนมีแต่ร้านเหล้าที่เปิด เพราะเป็นย่านตึกบริษัทและที่ทำงานทั้งนั้นเลยค่ะ) ไม่รู้จะไปไหนเลยไปยืนดูแผนที่รถไฟก่อน สุดท้ายก็ลองแบบกล้าๆกลัวๆ (ไปคนเดียว) ขึ้นรถไฟ Ginza Line ไป Ueno ค่ะ (2สถานี) แล้วก็ถึงเป้าหมายแรกนั่นก็คือ คาเฟ่แมวค่ะ (ออกทางออก Asakusa เลี้ยวซ้าย แล้วข้ามถนนไปจะเจอป้ายเลยค่ะ จากนั้นขึ้นลิฟต์ไปชั้น8 ชื่อร้าน Nekomaru café ค่ะ)



คาเฟ่แมวที่นี่เป็นชั้นเลยค่ะ คือขึ้นลิฟต์ไปชั้น8ก็จะเจอร้านเลย เจ้าของร้านจะถามเราว่า “มาครั้งแรกรึเปล่า?” จากนั้นก็จะให้ล้างมือ แนะนำการเล่นกับแมวและราคาแบบคร่าวๆค่ะ มานี่เราแค่มาหลบฝนเฉยๆ ก็เลยเสียไปแค่ 350 เยน ประมาณ 15 นาทีค่ะ ที่อยู่ที่นั่น แต่แมวมีเยอะมาก และถ้าสนใจ เขาจะให้เราเป็นคนให้อาหารแมวด้วยค่ะ พวกทูน่าฉีก แมวติดตรึมเลยค่ะ (แต่ต้องระวังมันข่วนเอานะคะ แมวบางตัวเรียกเราแล้วเราไม่หันมันจะเอาเล็บสะกิดค่ะ T^T) ตอนที่เรานั่งอยู่มีคู่สามีภรรยาชาวยุโรปเข้ามาด้วยค่ะ และก่อนจะออกก็เจอคู่รักชาวยุโรปค่ะ





ระบบคาเฟ่แมวที่นี่ค่อนข้างไม่จุกจิกเรื่องการเล่นกับแมวค่ะ มีแต่ห้ามทำให้แมวตกใจหรือว่าทำอันตรายแมวค่ะ เช่น ดึงหางหรือยกตัวแกว่งไป-มาค่ะ ที่เหลืออยากทำอะไรเขาปล่อยฟรีค่ะ อ่อ ถ้านั่งครึ่งชม.เป็นต้นไป (700เยน) จะแถมเครื่องดื่มฟรีหนึ่งอย่างค่ะ
ที่คาเฟ่แมวเราเจอนิตยสารเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติโตเกียวค่ะ ว่าในขณะนั้นกำลังจัดแสดงดาบที่เป็นสมบัติของชาติอย่างดาบ “Mikazuki Munechika” อยู่ค่ะ เลยตกลงปลงใจจะไปดูให้ได้ก่อนกลับค่ะ (เนื่องจากไม่รู้เขาจะเอามาแสดงอีกเมื่อไหร่ ไหนๆมาตรงแล้วก็เลยไปดูมันซะเลย) ใครเป็นสาวกเกม Touken Ranbu จะรู้จักดาบเล่มนี้ดีค่ะ 555







พอออกจากคาเฟ่แมวก็ไปเตร็ดเตร่หาหนทางอยู่พักนึงค่ะ (หาทางไปพิพิธภัณฑ์) แต่ก็ยังงงๆอยู่ เพราะไม่คุ้นค่ะ แล้วก็มานี่ใช้อยู่สองภาษา อังกฤษกับญี่ปุ่น คือเราพูดญี่ปุ่นได้บ้างแต่ไม่เก่ง ก็ใช้สลับกันไปค่ะ ก่อนออกจากอุเอโนะเลยไปจองตั๋วชินคันเซ็นเพื่อจะไปมิยางิในวันที่ 5 มิ.ย. ค่ะ (เรามาถึงวันที่ 3 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ใจดีมากค่ะ ถึงจะพูดอังกฤษกันไม่ค่อยได้ แต่เขาจะมีสมุดพกประจำตัวจดภาษาอังกฤษกำกับภาษาญี่ปุ่นเอาไว้ตรงนั้นค่ะ เขาก็ยื่นให้เราอ่าน เราถึงได้เข้าใจและซื้อตั๋วได้อย่างราบรื่นค่ะ

พอดีไลน์ไปหารุ่นพี่ที่รู้จัก (พี่เขามาเรียนที่ญี่ปุ่น) ค่ะ พี่ให้ไปเจอกันที่ Ikebukuro ก็เลยนั่งรถไฟต่อไป จากนั้นพี่ก็พาไปดูที่ต่างๆค่ะ ร้านที่คนไทยชอบมาซื้อขนม ร้านเครื่องสำอาง ร้านยา แล้วก็ห้าง (ที่ของแพงมั่กๆ) จากนั้นก็เข้าโซนสำหรับผู้รักการ์ตูนค่ะ Animate Shop สินค้าการ์ตูนจะอยู่ที่นี่เกือบหมดค่ะ พอเหนื่อยแล้วก็เลยพากันไปกินซูชิหมุนที่ตึก Round1 ค่ะ อยู่ชั้น B1 แนะนำว่าอย่าไปตอนเที่ยงค่ะ คนเยอะมากๆ ร้านนี้ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษค่ะ แต่มีรูปเมนูให้ดูและมีราคาเป็นตัวเลขบอกค่ะ ดังนั้นชาวต่างชาติสามารถกินได้อย่างสบายใจนะคะ (เพียงแต่ดูสีจานหน่อยว่าราคาเท่าไหร่) ราคามีตั้งแต่จานละ 100 เยน ไปจนถึงจานละ 250 เยนค่ะ

ตึก Round1 จะเลี้ยวขวานะคะ จากรูปถ่ายนี้ จะอยู่โซนเกมเซ็นเตอร์ค่ะ ตึกนั้น (เป็นตึกเกมด้วย)

วันแรกนี่เองค่ะที่เราหลงรถไฟ... คือสี่ทุ่มแล้วยังกลับไม่ถึงโรงแรมเลยค่ะ TOT เราหลงทาง พอแยกกับรุ่นพี่ที่ สถานี Ikebukuro เราก็ลงรถไฟใต้ดินกะจะมาลงที่สถานี Asakusa แต่มันต้องเปลี่ยนสายค่ะ ซึ่งเปลี่ยนตรงไหนยังไงเราก็ไม่รู้ นั่งไปสุดสายโน่นเลย จนถามเจ้าหน้าที่เขาบอกนั่งเลยมาแล้ว ต้องนั่งกลับไปใหม่ จากนั้นก็ไล่ถามเจ้าหน้าที่ในสถานีมาเรื่อยๆ ใช้คำว่า “I want to go to Asakusa” เขาก็จะอธิบายเรา (ด้วยภาษาญี่ปุ่น) ก็ไปตามที่เขาบอกค่ะ (โชคดีที่ฟังญี่ปุ่นออก T^T) พอมาถึงหน้าสถานี Asakusa (ที่เราลงเมื่อเช้าตอนมาจากสนามบิน) ก็พบว่า มันไกลจากโรงแรมเรามากๆ (ไกลแบบหยาบคายมาก) ถ้าเดินต๊อกๆนี่เราถึงโรงแรมห้าทุ่มเที่ยงคืนแน่ๆ แต่ก็ต้องเดิน เผอิญว่าเจอนายตำรวจขี่จักรยานตรวจบ้านเรือนค่ะ (ที่ขี่จักรยานแล้วบอกให้ระวังเรื่องไฟกับขโมย ระวังเรื่องล็อคบ้านที่เห็นๆกันตามซีรีย์หรือหนังค่ะ) เข้าพอดี เขาเลยถามเราว่าจะให้ไปส่งมั้ย อินี่ก็คิด ส่งยังไง? สักพักเท่านั้นแหละค่ะ รถสีขาวดำวิ่งเปิดไฟมาเลย (191บ้านเราแหละค่ะ) เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดี๊ดีย์มากๆ = =” นั่งรถตำรวจกลับโรงแรม น่าเสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปค่ะ ไม่งั้นคงถ่ายเซลฟี่มาแล้ว 555

ย่าน Asakusa ที่เราพักค่ะ อันนี้ถ่ายตอนเช้าที่ฝนหยุดแล้ว

ห้องโรงแรมที่เรานอนค่ะ (แคปซูล) เราอยู่หอหญิง เพราะงั้นแขกที่พักจะเป็นหญิงล้วนทั้งหมดค่ะ
วันแรกก็จบลงแบบอลเวงด้วยประการฉะนี้ค่ะ ไว้จะมาต่อวันที่2นะคะ วันที่สองไปดูฟูจิซังค่ะ และเป็นวันเดียวที่ได้เดินทางกับครอบครัวของน้าค่ะ
ชื่อสินค้า:   เที่ยวโตเกียวและหมู่บ้านจิ้งจอก
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่