#เล่าสู่กันฟัง The Help (2011)
- หนังเรื่องแรกของเพจ ว่าไม่ได้ว่าปกดูคล้ายกับ Little Miss Sunshine มากจนผมเคยจำ 2 เรื่องนี้สลับกันมาก่อน จนวันนี้ฤกษ์งามยามดีหยิบขึ้นมาดู จนดูจบต้องมารีบเขียนรีวิว ก่อนจะลืมอารมณ์ในหนังไป
- หนังเล่าถึง “ยูจีเนีย” หญิงสาวผู้มีความใฝ่ฝันในการเป็นนักเขียน เกิดอยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับคนผิวสีในเมืองแห่งหนึ่งที่เป็นคนรับใช้และพี่เลี้ยงเด็กในคราวเดียวกัน แต่ในการเขียนนั้น ก็ต้องมีการสัมภาษณ์จากเจ้าตัวผู้ซึ่งมีผิวสี แต่ในการสัมภาษณ์นั้น ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะด้วยเหตุผล และอุปสรรคหลาย ๆ อย่าง ซึ่งต้องไปติดตามในตัวหนังเอาเองนะครับ กลัวว่าจะเป็นการสปอยล์ ทำให้เสียอรรธรสในการรับชม ฮ่าๆๆๆ
- บท - เนื้อเรื่องดำเนินได้สนุกมากและน่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง เรียกได้ว่าทุกฉากทุกเม็ดของหนังเรื่องนี้ เป็นส่วนสำคัญทั้งหมด ไม่มีส่วนไหนที่ใส่มาแล้วเรารู้สึกว่า ไม่ต้องมีก็ได้มั้ง และนั่นเป็นเสน่ห์และมนตร์สะกดของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เรื่องเล่าเป็นส่วนของคนผิวขาวและคนผิวสี ซึ่งแน่นอนว่าคนผิวขาวเมื่อก่อนนั้น รังเกียจคนผิวสีมาก จนผมดูแล้วอดน้อยใจแทนไม่ได้จริง ๆ ส่วนผิวสีก็ต้องเป็นคนใช้ ถูกเหยียด โดนกดขี่ แต่ก็ยังมีคนผิวขาวบางส่วนที่ไม่ได้เป็นแบบที่กล่าว คือตัวนางเอก ยูจีเนีย และ ซีเลีย ผู้หญิงผิวขาว แต่ไม่ถูกคบค้าสมาคมด้วย เพราะถูกกล่าวหาว่าเธอเป็นคนชั้นต่ำ จึงเห็นได้ว่า เนื้อเรื่องไม่ได้มีแค่เรื่องของการเหยียดผิวเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการแบ่งชนชั้นวรรณะในคนผิวสีเดียวกันอีกด้วย แต่ตัวหนังก็ไม่ได้ดูแล้วหดหู่ หรือดูแล้วกดดันแต่อย่างใด เพราะในหนังยังมีการแทรกมุขตลกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้คนดูยิ้มและหัวเราะออกมาด้วยระหว่างดู และด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ทำให้หนังดูเป็นหนังอบอุ่น ๆ เรื่องหนึ่งด้วย หนังแบ่งบทตัวละครได้ดีมาก ทุกตัวเป็นตัวสำคัญในเรื่องทั้งหมด และทุกตัวละครมีน้ำหนักบทที่เท่ากันและน่าจดจำทั้งหมด
- นักแสดง - ตอนแรกที่ผมดู ผมคิดว่าเอมม่า สโตน จะต้องรับบทสาวเปรี้ยว ที่ไม่ชอบคนผิวสี เพราะดูจากการขับรถ และการแต่งตัวในฉากเปิดตัวแรกของเธอ แต่ตรงกันข้าม เธอกลับมารับบทหญิงสาวผู้เห็นใจคนผิวสี ดูอ่อนโยน แต่เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว การแสดงของเธอในเรื่องนี้ไม่ได้หวือหวาหรือท้าทายมาก อันที่จริง ๆ การแสดงของทุกคนในเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรน่าว้าวมาก แต่พอถึงฉากที่ต้องแสดงฉากอารมณ์ หรือฉากหนัก ๆ ทุกคนในเรื่องเอาอยู่จริง ๆ คนผิวสี พอเป็นพี่เลี้ยงเด็กก็ดูอบอุ่นมาก พอโดนกระทำก็น่าเห็นใจมาก ส่วนคนผิวขาวบางคนก็ โอ้ยยย อยากจะเข้าไปตบสักฉาดเสียจริง ๆ โดยเฉพาะฮิลลี่ คอยเชียร์ให้โดนตบอยู่ทุกครั้งที่โผล่หน้ามา คาแรกเตอร์น่าหมั่นไส้จริง ๆ ตอนนั่งดูนี่คันไม้คันมือเลยทีเดียว
- องค์ประกอบหนัง - เรื่องนี้เป็นหนังที่ถ่ายภาพออกมาได้สวยมาก โดยปกติแล้ว ถ้าเป็นหนังแนวเหยียดผิวสี ผมจะนึกออกแต่ภาพหมอง ๆ เพื่อให้อารมณ์ความอึดอัดของหนังเข้ามาถึงเราได้ง่าย แต่เรื่องนี้เป็นภาพสดใส ๆ สบายตา ดูอบอุ่น ทำให้ลดความกดดันและหดหู่ของหนังลงไปได้พอสมควร ผมว่าอันนี้เป็นเสน่ห์หลักของหนังเรื่องนี้เลยแหละ ส่วนสถานที่การถ่ายทำก็ดูน่ารัก ๆ มุ้งมิ้ง ดูพาสเทล สบายตาตามเนื้อภาพ เพลงสกอร์ก็เพราะ ดูจบแล้วยังมีซาวน์แทร็คให้ฟังต่ออีก จะมีอะไรเยี่ยมกว่านี้อีกมั้ย
- สรุป – พลาดมากถึงมากที่สุด ถ้าไม่ได้ดู!!!!!! เป็นหนังเหยียดสีผิว ที่มีการถ่ายทอดออกมาได้น่าสนใจมาก ทั้งเนื้อเรื่องที่สนุกน่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง การแสดงที่ทุกคนในหนังมีส่วนร่วมเท่า ๆ กันและแสดงได้น่าประทับใจทั้งหมด ภาพที่ถ่ายทอดออกมาได้สวยงามอบอุ่น และไม่ทำให้หดหู่เกินไปตามพล็อตเรื่อง เสียงสกอร์ที่มาคลอเรื่อย ๆ ทำให้ได้ฟังเสียงดนตรีเพราะ ๆ ที่เข้ากับบรรยากาศหนังได้อย่างลงตัว เป็น 2 ชั่วโมงครึ่งที่อิ่มและคุ้มค่ามากครับ
ฝากเพจ "ดูหนังให้ตาแฉะ" ด้วยนะครับ
www.facebook.com/MoviesEverytime
(REVIEW) THE HELP (2012) แค่เกิดมามีผิวสีก็แล้วเหรอ
- หนังเรื่องแรกของเพจ ว่าไม่ได้ว่าปกดูคล้ายกับ Little Miss Sunshine มากจนผมเคยจำ 2 เรื่องนี้สลับกันมาก่อน จนวันนี้ฤกษ์งามยามดีหยิบขึ้นมาดู จนดูจบต้องมารีบเขียนรีวิว ก่อนจะลืมอารมณ์ในหนังไป
- หนังเล่าถึง “ยูจีเนีย” หญิงสาวผู้มีความใฝ่ฝันในการเป็นนักเขียน เกิดอยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับคนผิวสีในเมืองแห่งหนึ่งที่เป็นคนรับใช้และพี่เลี้ยงเด็กในคราวเดียวกัน แต่ในการเขียนนั้น ก็ต้องมีการสัมภาษณ์จากเจ้าตัวผู้ซึ่งมีผิวสี แต่ในการสัมภาษณ์นั้น ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะด้วยเหตุผล และอุปสรรคหลาย ๆ อย่าง ซึ่งต้องไปติดตามในตัวหนังเอาเองนะครับ กลัวว่าจะเป็นการสปอยล์ ทำให้เสียอรรธรสในการรับชม ฮ่าๆๆๆ
- บท - เนื้อเรื่องดำเนินได้สนุกมากและน่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง เรียกได้ว่าทุกฉากทุกเม็ดของหนังเรื่องนี้ เป็นส่วนสำคัญทั้งหมด ไม่มีส่วนไหนที่ใส่มาแล้วเรารู้สึกว่า ไม่ต้องมีก็ได้มั้ง และนั่นเป็นเสน่ห์และมนตร์สะกดของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เรื่องเล่าเป็นส่วนของคนผิวขาวและคนผิวสี ซึ่งแน่นอนว่าคนผิวขาวเมื่อก่อนนั้น รังเกียจคนผิวสีมาก จนผมดูแล้วอดน้อยใจแทนไม่ได้จริง ๆ ส่วนผิวสีก็ต้องเป็นคนใช้ ถูกเหยียด โดนกดขี่ แต่ก็ยังมีคนผิวขาวบางส่วนที่ไม่ได้เป็นแบบที่กล่าว คือตัวนางเอก ยูจีเนีย และ ซีเลีย ผู้หญิงผิวขาว แต่ไม่ถูกคบค้าสมาคมด้วย เพราะถูกกล่าวหาว่าเธอเป็นคนชั้นต่ำ จึงเห็นได้ว่า เนื้อเรื่องไม่ได้มีแค่เรื่องของการเหยียดผิวเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการแบ่งชนชั้นวรรณะในคนผิวสีเดียวกันอีกด้วย แต่ตัวหนังก็ไม่ได้ดูแล้วหดหู่ หรือดูแล้วกดดันแต่อย่างใด เพราะในหนังยังมีการแทรกมุขตลกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้คนดูยิ้มและหัวเราะออกมาด้วยระหว่างดู และด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ทำให้หนังดูเป็นหนังอบอุ่น ๆ เรื่องหนึ่งด้วย หนังแบ่งบทตัวละครได้ดีมาก ทุกตัวเป็นตัวสำคัญในเรื่องทั้งหมด และทุกตัวละครมีน้ำหนักบทที่เท่ากันและน่าจดจำทั้งหมด
- นักแสดง - ตอนแรกที่ผมดู ผมคิดว่าเอมม่า สโตน จะต้องรับบทสาวเปรี้ยว ที่ไม่ชอบคนผิวสี เพราะดูจากการขับรถ และการแต่งตัวในฉากเปิดตัวแรกของเธอ แต่ตรงกันข้าม เธอกลับมารับบทหญิงสาวผู้เห็นใจคนผิวสี ดูอ่อนโยน แต่เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว การแสดงของเธอในเรื่องนี้ไม่ได้หวือหวาหรือท้าทายมาก อันที่จริง ๆ การแสดงของทุกคนในเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรน่าว้าวมาก แต่พอถึงฉากที่ต้องแสดงฉากอารมณ์ หรือฉากหนัก ๆ ทุกคนในเรื่องเอาอยู่จริง ๆ คนผิวสี พอเป็นพี่เลี้ยงเด็กก็ดูอบอุ่นมาก พอโดนกระทำก็น่าเห็นใจมาก ส่วนคนผิวขาวบางคนก็ โอ้ยยย อยากจะเข้าไปตบสักฉาดเสียจริง ๆ โดยเฉพาะฮิลลี่ คอยเชียร์ให้โดนตบอยู่ทุกครั้งที่โผล่หน้ามา คาแรกเตอร์น่าหมั่นไส้จริง ๆ ตอนนั่งดูนี่คันไม้คันมือเลยทีเดียว
- องค์ประกอบหนัง - เรื่องนี้เป็นหนังที่ถ่ายภาพออกมาได้สวยมาก โดยปกติแล้ว ถ้าเป็นหนังแนวเหยียดผิวสี ผมจะนึกออกแต่ภาพหมอง ๆ เพื่อให้อารมณ์ความอึดอัดของหนังเข้ามาถึงเราได้ง่าย แต่เรื่องนี้เป็นภาพสดใส ๆ สบายตา ดูอบอุ่น ทำให้ลดความกดดันและหดหู่ของหนังลงไปได้พอสมควร ผมว่าอันนี้เป็นเสน่ห์หลักของหนังเรื่องนี้เลยแหละ ส่วนสถานที่การถ่ายทำก็ดูน่ารัก ๆ มุ้งมิ้ง ดูพาสเทล สบายตาตามเนื้อภาพ เพลงสกอร์ก็เพราะ ดูจบแล้วยังมีซาวน์แทร็คให้ฟังต่ออีก จะมีอะไรเยี่ยมกว่านี้อีกมั้ย
- สรุป – พลาดมากถึงมากที่สุด ถ้าไม่ได้ดู!!!!!! เป็นหนังเหยียดสีผิว ที่มีการถ่ายทอดออกมาได้น่าสนใจมาก ทั้งเนื้อเรื่องที่สนุกน่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง การแสดงที่ทุกคนในหนังมีส่วนร่วมเท่า ๆ กันและแสดงได้น่าประทับใจทั้งหมด ภาพที่ถ่ายทอดออกมาได้สวยงามอบอุ่น และไม่ทำให้หดหู่เกินไปตามพล็อตเรื่อง เสียงสกอร์ที่มาคลอเรื่อย ๆ ทำให้ได้ฟังเสียงดนตรีเพราะ ๆ ที่เข้ากับบรรยากาศหนังได้อย่างลงตัว เป็น 2 ชั่วโมงครึ่งที่อิ่มและคุ้มค่ามากครับ
ฝากเพจ "ดูหนังให้ตาแฉะ" ด้วยนะครับ
www.facebook.com/MoviesEverytime