คนจบABACรับได้ไหมกับการที่จบมาแล้วมารับเงินเดือนหมื่นนิดๆ

เมื่อเทียบกับค่าเทอมแพงๆที่ต้องเสียไปแต่ละเทอม อย่างค่าเทอมคณะที่ถูกสุดในมหาลัยคือ BBAกับArts 60,000ต่อเทอม แพงสุดคือขับเครื่องบินล้านสองต่อเทอม แต่เมื่อจบมาแล้วต้องมารับเงินเดือนหมื่นหกหมื่นเจ็ดน้อยกว่าค่ากินอยู่ที่เอแบคอีก แบบนี้รับกันได้ไหม? แล้วคนที่จบที่นี่เงินเดือนตอนนี้เท่าไหร่กัน มากกว่าค่าเทอมที่เคยจ่ายรึยัง
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
แล้วไง ..... ตั้งมาเพื่อ

คิดว่าจบ abac แล้วต้องได้เท่าไรถึงพอ

ค่าเทอม 6 หมื่น ถ้าจบมาแล้วทำอะไรไม่เป็น วันละ 300 ยังเสียดาย

แทนที่จะมาคาดหวังว่าต้องได้เท่านั้นเท่านี้ ค่าเรียนเท่านั้น เท่านี้

ถามตัวเองดูก่อน ว่าคุณสมบัติ ความรู้ ความสามารถ มีแค่ไหน
ความคิดเห็นที่ 50
ขอตอบในฐานะคนที่จบ ABAC ครับ
ผมจบเมื่อปี 2005 คณะ LAW ด้วยเกรดเฉลี่ย 2.5 พยายามสมัครงานตามสำนักงานกฎหมายหวังเงินเดือนหมื่นกว่าบาทเพราะที่บ้านไม่ให้เงินใช้แล้วมีข้าวให้กิน 2มื้อรถที่เคยใช้ก็ยังมีแต่ก็ไม่มีเงินเติมน้ำมันเพราะฉะนั้นอะไรก็ได้ขอให้ได้ทำงาน พยายามหาอยู่ 1เดือนก็ไม่ได้งานด้วยเหตุที่ว่าเรายังไม่มีใบอนุญาตว่าความ

งานแรกที่ทำ - ผมมาทำงานที่สำนักงานกฎหมายเล็กๆ แห่งหนึ่ง แถวๆ นางเลิ้ง หวังเพื่อสอบใบอนุญาต โดยญาติฝากให้ทำ สำนักงานนี้ไม่มีเงินเดือนให้นะครับ ตอนเช้าไปทำงานนั่งรถไฟ 2บาทและได้รุ่นพี่เลี้ยงข้าวกลางวัน(เป็นสังคมหนึ่งที่ผมประทับใจ พี่ๆ บอกว่ากูก็มีรุ่นพี่เลี้ยงมาอีกที วันนี้กูมีกูก็เลี้ยง อนาคตโตไปก็เลี้ยงน้องต่อไป) และผมก็ได้เงินเล็กๆ น้อยๆ จากการวิ่งเอกสาร เช่นเวลาไปศาลจะได้ค่ารถ TAXI ผมไม่ขึ้น ใช้รถเมล์บ้างเดินบ้าง เดือนๆ นึงก็พอได้บ้าง 3พันกว่าบาท อดทนอยู่ 4 เดือนเพื่อสอบในอนุญาตฯ ซึ่งสิ่งนี้ให้ผลอย่างมาก เชื่อไหมครับผมไม่ต้องอ่านหนังสือเลยก็สอบผ่านเพราะมีประสบการณ์จริง (จำได้ว่ามีข้อสอบถามว่าประตูศาลแรงงานเข้าทางซ้าย หรือขวา)
สิ่งที่ผมได้จากที่นี่
1. ความอดทน
2. ถ่ายเอกสาร ส่ง FAXเป็น และใช้ MS Office เก่งขึ้น
3. คุยกับคนที่ทำงานรู้เรื่อง
4. รู้ระบบการทำงาน
5. ผมสอบข้อเขียน ใบอนุญาตว่าความผ่าน

งานที่สอง - ผมมาได้งานที่บ.ประกันแแห่งหนึ่ง รับผิดชอบงานในส่วนของนิติกรรม ที่นี่ผมได้ใช้ความสามารถภาษาอังกฤษอย่างมาก เพราะในส่วนไม่มีใครได้ภาษาอังกฤษเลยเพราะฉะนั้นทุกอย่างมาลงที่ผมหมดตั้งแต่สัญญาจ้างฝรั่ง ยันสัญญาซื้อ-ขายพัธบัตรมูลค่าพันล้าน(ทุกวันนี้ยังไม่เชื่อตัวเองว่าทำไมเขากล้าให้เด็กไร้ประสบการณ์อย่างผมทำ) ฟังดูรับผิดชอบเยอะเงินเดือนก็น่าจะเยอะแต่เปล่าเลยครับเริ่มงาน 9พันบาทผ่านโปรฯ ได้ 1หมื่น1พันบาทครับ ผมทำที่นี่ 6 เดือนพร้อมกับเตรียมตัวสอบปากเปล่าใบอนุญาตว่าความ
สิ่งที่ผมได้จากที่นี่
1. เปิดโลกธุรกิจ จากที่เคยคิดว่าจะต้องทำแต่สายกฎหมาย
2. เริ่มสนใจเรื่องการลงทุน
3. ได้ฝึกภาษาเชิงธุรกิจที่ใช้งานจริง

งานที่สาม - เมื่อผมเริ่มสนใจเรื่องธุรกิจมากขึ้น จึงเริ่มหาทางปลีกตัวออกจากสายที่เรียนมาแต่ก็ยังคงใช้วิชาอยู่ ผมจึงมาได้งานที่ห้างค้าปลีกแห่งนึง ที่นี่ผมมาอยู่ในส่วนของการเช่าพื้นที่แต่ก็ยังคงอยู่ในฝ่ายนิติกรรมเหมือนเดิมคอยต่อสัญญา ทำสัญญาเช่าร้านค้า ตามหนี้ ต่างๆ แต่มีเพิ่มเข้ามาคือเรื่องลิขสิทธิ์ และการเขียนนโยบายและขั้นตอนการทำงาน(เนื่องจากบริษัทใหญ่คนทำงานเยอะจึงมีระเบียบในการทำงานเยอะเพื่อให้พนักงานทำงานไปในทิศทางเดียวกัน) ที่นี่ผมพยายามเก็บเกี่ยวทุกอย่าง ด้วยคติประจำใจ Never say no ให้ทำอะไรผมทำได้หมดขอเพียงให้โอกาสไปนอนเฝ้าห้างก็ไป ให้ไปต่างจังหวัดก็ไปเพียงนายสั่งทำเลย เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นเป็น 1หมื่น7พันบาท ทำอยู่ 2ปี (ก่อนไปเริ่มงานใหม่ผมก็บอกนายผมนะ นายบอกว่า คุณไปเลยอยู่ที่นี่พี่ดันคุณไม่ขึ้นเพราะมีคนรอขึ้นอยู่ และขอให้ผมช่วยงานแกอีก 1เรื่อง)
สิ่งที่ผมได้จากที่นี่
1. เข้าใจสังคมการทำงานในองค์กรใหญ่
2. การแก้ปัญหาแบบเป็นขั้นตอน
3. connection มหาศาล
4. มุมมองเรื่องทุน
5. ได้ใบอนุญาตว่าความหลังจากสอบผ่านมาอีก 2 ด่าน

งานที่สี่ - งานนี้เป็นร้านขายขนมที่มีสาขาเยอะซึ่งได้จาก connection ที่ทำงานแรกเงินเดือนผมเริ่มที่ 3หมื่น ผมยังคงรับผิดชอบด้านนิติกรรมเหมือนเดิม แต่เพิ่มในส่วนหาพื้นที่เพื่อเปิดร้านเพิ่ม ผมโชคดีมีนายที่เก่งมาก(ดันเป็นรุ่นพี่ที่ ABAC อีกอันนี้มารู้ทีหลัง)นายผมคนนี้เนื่องจากไม่ใช่สายกฎหมายเหมือนนายที่ผ่านมา เป็นสายธุรกิจล้วนๆ การเจรจาธุรกิจนายคนนี้ปิดได้ทุกที่ ผมก็ได้เรียนรู้จากพี่คนนี้มาเยอะมากในการพูดการวางตัว และที่สำคัญการคำนวณตัวเลขเพื่อหาจุดคุ้มทุนในการลงพื้นที่ต่างๆ และภาวะผู้นำ ทำให้ผมสนใจที่มาที่ไปและการคำนวณหาจุดคุ้มทุน ซึ่งครั้นจะเรียนต่อบริหารก็คงไม่ใช่เลยไปเรียนเศรษฐศาสตร์ธุรกิจหล่ะกัน ผมใช้เวลาที่บริษัทนี้ 3ปี
สิ่งที่ได้จากที่นี่
1. การมองมูลค่าสินทรัพย์
2. การเจรจาต่อรอง
3. ความเป็นผู้นำ
4. ปริญญาโท เศรษฐศาสตร์อีกใบ

งานที่ห้า(ปัจจุบัน) - ผมได้มีโอกาสมาบริหารงานในบริษัทลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของผู้มีพระคุณที่กำลังจะเป็นหนี้ NPL โดยการตัดสินใจครั้งนี้ยากลำบากมาก เพราะ NPL คือหนี้เน่าแล้วยังคิดจะมาทำอีกหรือ ผมใช้สิ่งที่ได้มาจากการทำงานที่ผ่านมาวิเคราะห์ว่าแม้บริษัทมีหนี้และขาดสภาพคล่องเพื่อชำระหนี้แต่ก็มีทรัพย์สิน ขาดเพียงการบริหารจัดการที่ดี ผมเข้ามาบริหารจัดการที่ในฐานะตัวแทนเจ้าของ เงินเดือนไม่ต้องพูดถึงได้เท่าที่เดิมเพราะหนี้ขนาดนี้เป็นผู้บริหารสูงสุดหากยังมีใจเรียกสูงๆ ก็บ้าแล้ว ผมใช้ทุกอย่างที่เรียนรู้มาประคองธุรกิจและแก้ไขปัญหาต่างๆ จบใน 6เดือนจนหลุดพ้นภาวะหนี้ท่วม อีกทั้งยังเพิ่มโครงการสองจนแล้วเสร็จ และเตรียมโครงการสามต่อไป เงินเดือนตอนนี้บอกตรงๆ 3หมื่นสองพันบาท แต่มีปันผลทุกปีไม่มากไม่น้อยประมาณ ล้านกว่าบาทและเพิ่มขึ้นทุกปีเพราะองค์กรใหญ่ขึ้นอีกทั้งหนี้ยังลดลง

อ่านจนจบสรุปสั้นๆ ปัจจัยที่ผมเลือกงานคือ
1. ผมชอบมันไหม
2. เจ้านายเก่งไหม
3. จะได้ประสบการณ์อะไรจากการทำงานในองค์กรนั้นๆ
4. ผมจะเอาไปต่อยอดอะไรได้บ้าง

ผมไม่มานั่งมองหรอกครับว่าจะได้เงินเดือนเท่าไหร่เพราะหมายความว่าคุณมองแค่เดือนชนเดือนเท่านั้น
ความคิดเห็นที่ 4
หนู๋คาดหวังเท่าไรค๊ะ
สองหมื่น สามหมื่น หนึ่งแสนรึ
ราคาขนาดนี้น เฮียจ้างเด็กสามย่านดีกว่ามัย
COST หนู๋เฮียเข้าใจ แต่มันคนละเรื่องกับ COST เฮียนา
หลานเฮียเรียนอนุบาลหมีน้อยค่าเทรมเดือนเป็นแสน จบปอสามมา
เฮียควรรับมาทำงานจ่ายนเดือนเท่าไร ???
ความคิดเห็นที่ 8
ค่าเทอม เทอมละ 6 หมื่นเลยเหรอคะ !!!!
สมัยเราเรียน ลงเต็มเอี๊ยดเลยนะ 3 หมื่น (ไม่รวมซัมเมอร์) ยังคิดว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้แพงดับอะไรเพราะยังถูกกว่ารังสิตและสูสีกะ ม กรุงเทพ หรือเดี๋ยวนี้ค่าเทอมยกระดับ 6 หมื่นกันแล้ว ??

ตอบ ตอนเราหางานตอนเรียนจบ (ทรานสคริปต์ยังไม่ออกเลย) เรียกเงินเดือน 1 หมื่น อินเด็กส์ (พระรามสอง) สัมภาษณ์บอกลเ้งินเดือนได้ไหม เราบอก 8,500 แต่เค้ายังไม่รับ อีกอาทิตย์ต่อมาได้งานโรงงานเล็กๆ แถวบ้าน เงินเดือน 1 หมื่นตามที่ขอ (ตอนนั้นอินเด็กซ์โทรมาตามอีกรอบแต่เราได้งานแล้ว) ทำงาน 6 เดือน ทนครอบครัวเจ้านายและฝ่ายบุคคลไม่ไหวขอไปตายเอาดาบหน้า ได้งานที่ใหม่ 13,500 บาท

ตอนทำเงินเดือน 1 หมื่น เด็กใหม่ที่เข้ามาเหมือนกันจบจุฬาบอกอย่างพวกเราเรียกได้ 13,000 เลยนะ ประมาณว่าเราเรียกต่ำเค้าเลยโดนกดไปด้วย (แต่นางทำอยู่ 3 วันมั้ง)

เด็กเอแบค (สมัยเรา) ไม่ใช่ทุกคนที่บ้านมีตังมีกิจการ เพื่อนสนิทเราเป็นแก๊งเด็ก รร รัฐธรรมดา (พื้นเพเหมือนกันเลยสนิทกัน) โหนรถเมล์กินข้าวข้างทาง หลายคนก็กู้เรียน อย่างเราก็บ้านไม่ได้รวยอะไรโหนรถเมล์ไปเรียน (นับว่าไกล) พอจบทำงานคิดว่าอยากทำงานและได้เงินจริงๆ พ่อแม่ก็ไม่คิดว่าเงินเดือนจะน้อยแต่ภูมิใจที่สามารถผลักดันส่งเรียนจนจบและหาเงินได้เองค่ะ
ความคิดเห็นที่ 12
จบโทเมืองนอกหมดตั้งหลายล้าน เอาเดือนละเท่าไรดีหว่านี่ยังไม่รวมค่ากินอยู่ระหว่างเรียนนะ555
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่