ตามหัวกระทู้ ผมตั้งกระทู้นี้เพราะความแปลกใจ เพราะปกติเคยวิจารณ์แต่การแสดงของณเดชน์ แต่เพราะความแปลกใจที่ณเดชน์สร้างให้ครั้งล่าสุด วันนี้จึงขอวิจารณ์การร้องเพลงของเขาบ้างก็แล้วกัน
สมัยณเดชน์ ร้องเพลงใหม่ๆ 5-6 ปีก่อนก็เห็นว่าร้องดีอยู่ แต่ก็ดีแบบดาราร้องเพลง เอาไว้ร้องออกงานอีเว้นต์ หรือ ร้องเพลงประกอบละครแบบพอไปวัดไปวาได้ ไม่คิดว่าจะเอาดีด้านนี้แบบจริงๆจังๆได้ เพราะน้ำเสียงโดยธรรมชาติของณเดชน์จะขึ้นจมูกนิดๆ ตามประสาคนมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ จึงไม่ค่อยคาดหวังกับความสามารถด้านนี้ของณเดชน์มากนัก
ณเดชน์กับการร้องเพลงโชว์สมัยเข้าวงการใหม่ๆ
ปี 55
เพลง ให้รักมันโตในใจ
เพลงประกอบละคร ธรณีนี่นี้ใครครองผลงานเพลงที่ร้องอย่างเป็นทางการเพลงแรก ฮิตทั่วบ้านทั่วเมืองเพราะเป็นเพลงที่ฟังง่ายสบายๆ ท่วงทำนองจังหวะดนตรีติดหู และ เป็นเพลงแนวสดใสฟังแล้วสบายใจ เด็กฟังได้ผู้ใหญ่ฟังดี การร้องของณเดชน์ในตอนนั้นก็ต้องเรียกว่าแค่พอเอาตัวรอดได้สำหรับดารามาจับไมค์ การถ่ายทอดอารมณ์เพลงยังไม่ชัดเจน เสียงร้องยังไม่เต็มคำ ลูกเล่นเสียงท้ายพยางค์ยังไม่มี ยังคงล่องลอยไปไม่มีตวัดขี้นตวัดลง ตามประสาคนที่ยังไม่ได้ฝึกฝนอย่างมืออาชีพ เพลงเดียวกันนี้ถ้าเอานักร้องอาชีพมาร้องย่อมอาจทำได้ดีกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อย่างไรก็ตามเพลงนี้ก็กลายเป็นเอกลักษณ์ต้นแบบของเสียงร้องของณเดชน์ไปแล้ว และเป็น
"การฝึกขั้นพื้นฐาน" อย่างจริงจังในการร้องเพลงครั้งแรกๆเลยของณเดชน์
ด้วยความเป็นซุปเปอร์สตาร์ทางการแสดงที่มีเสียงร้องเพลงแบบ
"พอไปได้" ทำให้นอกเหนือจากเพลงประกอบละครแล้ว ณเดชน์ ยังได้มีโอกาสร้องเพลงประกอบโฆษณาต่างๆของตัวเองอยู่เสมอๆ เล่นเอง ร้องเอง เต้นเอง ครบวงจรในคนเดียว ซึ่งจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามแต่นั่นคือการฝึกทักษะการร้องเพลงอย่างต่อเนื่องพร้อมออกท่าทางไปในตัว ถึงจะเป็นแค่เพลงสั้นๆแต่ก็มีหลากหลายสไตล์เพลง และส่วนมากเป็นเพลงที่ได้ร้องแบบออกท่าทาง ท่าเต้นที่ครีเอทออกมาไม่ซ้ำแบบ อาทิเช่น
คลิปโฆษณาเลย์ The Best of Summer
รสชาติใหม่ซัมเมอร์ ลองแล้วรักเลย!!
TrueMove H กับ ณเดชน์ แล้วคุณจะแรงแซงใคร
TrueMove H เราเข้าถึงใจ
นอกเหนือจากเพลงโฆณาแล้ว ด้วยความที่เป็นนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการภาพยนตร์และวิดีทัศน์ที่ต้องทำ Project ส่งอาจารณ์ทำให้ณเดชน์ได้ร้องเพลงประกอบหนังสั้นที่ทำร่วมกับรุ่นพี่ ซึ่งอาจไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างเพราะเป็นผลงานหนังสั้นนักศึกษา แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ควรค่าแก่การเก็บเกี่ยวสำหรับนักศึกษาณเดชน์เป็นอย่างดี
ปี 56
เพลง หลงรักเลย
เพลงประกอบหนังสั้น หลงรักเลย ซึ่งณเดชน์แสดงนำ และ ร้องเพลงประกอบ ถือว่าเป็นการออกผลงานเพลงของตัวเองอย่างเป็นทางการเพลงที่ 2 ก็ได้ สำหรับคนทั่วไปแทบอาจไม่เคยได้ฟังเพลงนี้เนื่องจากเป็นเพียงผลงานนักศึกษาทำส่งอาจารย์ แต่สำหรับแฟนคลับผู้ติดตามผลงานจะเห็นถึงวิวัฒนาการอีกขึ้นของณเดชน์ที่มีความพยายามถ่ายทอดอารมณ์ของนักแสดงเข้าไปในเนื้อเพลง โดยใช้อารมณ์จากการเป็นนักแสดงนำ ถ่ายทอดลงไปในเสียงร้องออกมาเป็นเพลงฟังเหงาๆ สบายๆ ตาม theme ของหนังสั้น เสียงร้องของณเดชน์เพลงนี้เริ่มมีอินเนอร์ของคนร้องเข้ามาในเนื้อเพลงแล้ว
ปี 56
เพลง อังศุมาลิน
เพลงประกอบภาพยนตร์ คู่กรรม ที่ณดชน์รับบทเป็นโกโบริ เป็นเพลงภาคภาษาไทยที่แปลงเนื้อร้องมาจากเพลง ฮิเดโกะ ภาษาญี่ปุ่น ซึ่งณเดชน์สามารถปรับปรุงน้ำเสียงให้นุ่มนวลหนักแน่นขึ้นอีกขั้น พร้อมจังหวะลากยาวแบบจบไม่ลงท้ายเสียง ก็เหมือนจะค่อยๆหายไป น้ำเสียงก็นุ่มนวลขึ้นไม่ออกจมูกจ๋าอย่างแต่ก่อน เป็นอีกครั้งหนึ่งสำหรับความแปลกใจว่ายังพัฒนาขึ้นได้อีกกับการร้องเพลงของเขา โดยTheme โศกนาฏกรรมความรักของตัวหนัง ณเดชน์ถ่ายทอดความรักแสนเศร้าของโกโบริที่มีต่ออังศุมาลินได้ลึกซึ้งกินใจ พอๆกับการแสดงในบทบาทของโกโบริของเขาที่ถือเป็นงาน Masterpiece ชิ้นหนึ่งของณเดชน์เลยทีเดียว
ปี 57
เพลง แล้วเราจะรักกันได้ไหม
เพลงประกอบ ละคร รอยฝันตะวันเดือด ที่ณเดชน์ร้องคู่กับน้องญาญ่า และ มีเวอร์ชั่นที่ร้องเดี่ยว เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมคิดว่ามาตรฐานดีสุดของณเดชน์แบบเข้าที่แล้วคงได้ประมาณนี้ คือเสียงร้องลื่นไหล ฟังไม่ขัดหู มีลูกเอื้อน ยาว สั้น มีเสียงกำมะหยี่อันเป็นเอกลักษณ์เล็กๆพอเศษเสี้ยวๆตามแบบฉบับนักร้องที่เสียงไม่ทุ้มอย่าง พี่เบน พี่เบิร์ด ภาษานักร้องไม่รู้ว่าเรียกอะไร แต่ผมขอเรียกเสียงเนียนๆละเอียดของนักร้องนี้ว่ากำมะหยี่ละกัน ^-^ ตอนนั้นคิดว่ามาตรฐานดีสุดของนักแสดงที่ร้องเพลงทำได้ดีสุดแล้วคงประมาณนี้ และยังห่างไกลจากนักร้องมืออาชีพพอสมควรแต่ปรากฏว่าพรแสวงของณเดชน์ยังไม่หยุดนิ่งอยู่แค่นี้
ปี 58
เพลง คำตอบสุดท้าย
เพลงประกอบหนังสั้น Mr. Peter's Project หนังทะลึ่งทะเล้น หลุดโลกแต่ปราศจากคำหยาบ โปรเจคจบการศึกษาของณเดชน์ที่ทั้ง เล่น กำกับ และ ร้องเพลงประกอบเอง เช่นเดียวกับเพลงประกอบหนังสั้น หลงรักเลย อาจไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวางเพราะเป็นเพียงผลงานนักศึกษา แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีตรงมีอิสระในการคิดและทำของณเดชน์ ที่สามารถตั้งโจทย์เองได้ตามใจนึกว่าจะเล่นอะไร จะร้องอะไร ทำให้เป็นผลงานที่ดู
"FREE" มากทั้งผลงานหนังสั้นและผลงานเพลง เพราะคนทำทำด้วยความสุขและความตั้งใจที่ได้ทำมันจริงๆ แม้เทียบกันแล้วต้องพูดตรงๆยังสู้ผลงานอื่นที่ผลิต และควบคุมการร้องโดยทีมงานมืออาชีพไม่ได้ แต่สุขแค่ไหนก็ดูจากสีหน้าคนร้องเพลงเอาเองละกันครับ
ปี 58
เพลง ที่จริงฉันก็เจ็บ
เพลงประกอบละคร ลมซ่อนรัก ที่ออกอากาสไปล่าสุด และส่วนตัวเป็นเพลงที่ออกมาแล้วทำให้ผมร้อง เฮ้ยอีกครั้ง กับพัฒนาของการ้องเพลงของณเดชน์เพราะที่ผ่านๆมาเสียงร้องเพลงจะขั้นจมูกชัดเจนและยังขาดพลังความทุ้มแน่นอยู่ แต่กับเพลงนี้บอกเลยว่าฟังแล้วเสียงณเดชน์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเจน ไม่ลอยๆแต่แน่นขึ้น หนักแน่นขึ้น แสดงอารมณ์ได้อย่างชัดเจนทุกถอยคำ ที่สำคัญ เสียงหล่อเป็นเอกลักษณ์มาก สงสัยเพราะวัยเปลี่ยนจากวัยรุ่นตอนปลายเป็นผู้ใหญ่ตอนต้นหรือเปล่าฟระ อันนี้ผมอวย แหะๆ แต่เชื่อเถอะ ณเดชน์ เป็นหนึ่งในคนที่เสียงเพลงออกทางวิทยุปุ๊บ คนฟังจะรู้เลยว่านี่เสียงณเดชน์ร้อง ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาและเป็นเพลงที่ส่งออกคลื่นวิทยุได้โดยไม่อายนักร้องอาชีพ เพลงนี้เริ่มมีเทคนิคการร้องแบบเน้นเสียงขยี้อารมณ์แบบนักร้องมืออาชีพ ผมขอเรียกว่า ณเดชน์เริ่มขยี้กำมะหยี่ได้แล้วละกันนะ และ เพลงนี้ทำให้ผมคิดว่าการพัฒนาของณเดชน์เข้าใกล้นักร้องอาชีพได้อีกขั้นหนึ่งแล้ว
และ นี่คือความแปลกใจครั้งล่าสุดที่ผมพูดถึง ที่ต้องทำให้ร้อง ว้าว จนต้องมาตั้งกระทู้เลยกลับไม่ใช่ผมงานเพลงที่ออกเป็น Official ล่าสุด แต่กลับกลายเป็นต้อง ว๊าว กับเพลงประกอบการแสดงธรรมดาๆ ที่แค่ได้สพย์จาก คลิบวิดิโอ ที่โคตรจะไม่ชัดทั้งภาพและเสียง แต่พอเสียงเพลง
กะทันหัน ที่ณเดชน์ และ มิว นิษฐา ดังขึ้นประกอบการแสดงในงานเปิดวิ๊กบิ๊ก 3 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา สิ่งแรกที่ทึ่งเลยไม่ใช่ภาพณเดชน์เดินออกมา แต่ทึ่งกับเสียงร้องที่อัดไว้ต่างหากเพราะณเดชน์ร้องเพลงนี้ได้แบบเต็มปากเต็มคำ มีไดนามิคธรรมชาติแบบนักร้องอาชีพมาเลย ขณะที่เสียงขยี้กำมะหยี่แบบฉบับธรรมชาติเสียงของณเดชน์ก็ยังคงเอกลักษณ์ของน้ำเสียงตัวเองไว้ได้ กลายเป็นเพลง กะทันหัน เวอร์ชั่นณเดชน์ไปอย่างสมบูรณ์ เป็นก้าวใหญ่ๆพัฒนาการของการร้องเพลงของณเดชน์เลยก็ว่าได้ ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ตัวหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆคือสร้างความแปลกใจให้กับคนที่คิดว่าสุดแล้ว แต่ไม่สุดซักที ยังได้อีก อีกแล้ว
(หาคลิปชัดสุดได้เท่านี้ )
นอกเหนือจากงานร้องเพลงแล้ว งาน Entertainment อื่นๆอย่างการขึ้น คอนเสิร์ต ณเดชน์ก็ทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็นงานหลวง งานราษฎร์งานอีเว้นต์ อย่างที่ทราบกันดี เช่น
คอนเสิร์ต 4+1
คอนเสิร์ต Give me 5
คอนเสิร์ต หล่อทะลุโลก
คอนเสิร์ตให้พี่ป้าน้าอาแถวบ้าน
ณ วันนี้ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่งานไหนๆ ชั่วโมงนี้ต้องบอกเลยว่า ณเดชน์ เอายู่ และอยู่ในช่วงพัฒนาตัวเองจากนักแสดง เป็น Entertainer เต็มตัวที่สามารถ เล่น ร้อง เต้น ได้อย่างครบเครื่อง ถ้าฝีมือการแสดงของณเดชน์คือพรสวรรค์ ผมให้ความสามารถในการร้องเพลงของณเดชน์ต้องนับเป็นพรแสวง เพราะใช้เวลาหลายปีกว่าจะเข้าที่เข้าทางแบบฟังได้ไพเราะอยู่ในระดับดีกว่าดาราร้องเพลง แม้จะยังไม่ถึงขั้นนักร้องอาชีพ และ ณเดชน์จะพัฒนาไปไกลถึงขั้นนั้นได้เลยหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องรอแปลกใจอีกทีก็แล้วกัน ไม่แน่ว่าวันหนึ่งข้างหน้าเหล่าแฟนๆอาจได้ชมคอนเสิร์ตของณเดชน์ที่รวบรวมเพลงทั้งหมดที่เขาเคยร้อง มาร้องให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพัฒนาการทางด้านนี้ของเขาไปถึงที่สุดแล้วก็เป็นได้
วิวัฒนาการทางการร้องเพลงของ ณเดชน์ พรแสวงที่ทำให้แฟนๆของเขา แปลกใจได้อีก
สมัยณเดชน์ ร้องเพลงใหม่ๆ 5-6 ปีก่อนก็เห็นว่าร้องดีอยู่ แต่ก็ดีแบบดาราร้องเพลง เอาไว้ร้องออกงานอีเว้นต์ หรือ ร้องเพลงประกอบละครแบบพอไปวัดไปวาได้ ไม่คิดว่าจะเอาดีด้านนี้แบบจริงๆจังๆได้ เพราะน้ำเสียงโดยธรรมชาติของณเดชน์จะขึ้นจมูกนิดๆ ตามประสาคนมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ จึงไม่ค่อยคาดหวังกับความสามารถด้านนี้ของณเดชน์มากนัก
ณเดชน์กับการร้องเพลงโชว์สมัยเข้าวงการใหม่ๆ
ปี 55 เพลง ให้รักมันโตในใจ
เพลงประกอบละคร ธรณีนี่นี้ใครครองผลงานเพลงที่ร้องอย่างเป็นทางการเพลงแรก ฮิตทั่วบ้านทั่วเมืองเพราะเป็นเพลงที่ฟังง่ายสบายๆ ท่วงทำนองจังหวะดนตรีติดหู และ เป็นเพลงแนวสดใสฟังแล้วสบายใจ เด็กฟังได้ผู้ใหญ่ฟังดี การร้องของณเดชน์ในตอนนั้นก็ต้องเรียกว่าแค่พอเอาตัวรอดได้สำหรับดารามาจับไมค์ การถ่ายทอดอารมณ์เพลงยังไม่ชัดเจน เสียงร้องยังไม่เต็มคำ ลูกเล่นเสียงท้ายพยางค์ยังไม่มี ยังคงล่องลอยไปไม่มีตวัดขี้นตวัดลง ตามประสาคนที่ยังไม่ได้ฝึกฝนอย่างมืออาชีพ เพลงเดียวกันนี้ถ้าเอานักร้องอาชีพมาร้องย่อมอาจทำได้ดีกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อย่างไรก็ตามเพลงนี้ก็กลายเป็นเอกลักษณ์ต้นแบบของเสียงร้องของณเดชน์ไปแล้ว และเป็น "การฝึกขั้นพื้นฐาน" อย่างจริงจังในการร้องเพลงครั้งแรกๆเลยของณเดชน์
ด้วยความเป็นซุปเปอร์สตาร์ทางการแสดงที่มีเสียงร้องเพลงแบบ "พอไปได้" ทำให้นอกเหนือจากเพลงประกอบละครแล้ว ณเดชน์ ยังได้มีโอกาสร้องเพลงประกอบโฆษณาต่างๆของตัวเองอยู่เสมอๆ เล่นเอง ร้องเอง เต้นเอง ครบวงจรในคนเดียว ซึ่งจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามแต่นั่นคือการฝึกทักษะการร้องเพลงอย่างต่อเนื่องพร้อมออกท่าทางไปในตัว ถึงจะเป็นแค่เพลงสั้นๆแต่ก็มีหลากหลายสไตล์เพลง และส่วนมากเป็นเพลงที่ได้ร้องแบบออกท่าทาง ท่าเต้นที่ครีเอทออกมาไม่ซ้ำแบบ อาทิเช่น
คลิปโฆษณาเลย์ The Best of Summer
รสชาติใหม่ซัมเมอร์ ลองแล้วรักเลย!!
TrueMove H กับ ณเดชน์ แล้วคุณจะแรงแซงใคร
TrueMove H เราเข้าถึงใจ
นอกเหนือจากเพลงโฆณาแล้ว ด้วยความที่เป็นนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการภาพยนตร์และวิดีทัศน์ที่ต้องทำ Project ส่งอาจารณ์ทำให้ณเดชน์ได้ร้องเพลงประกอบหนังสั้นที่ทำร่วมกับรุ่นพี่ ซึ่งอาจไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างเพราะเป็นผลงานหนังสั้นนักศึกษา แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ควรค่าแก่การเก็บเกี่ยวสำหรับนักศึกษาณเดชน์เป็นอย่างดี
ปี 56 เพลง หลงรักเลย
เพลงประกอบหนังสั้น หลงรักเลย ซึ่งณเดชน์แสดงนำ และ ร้องเพลงประกอบ ถือว่าเป็นการออกผลงานเพลงของตัวเองอย่างเป็นทางการเพลงที่ 2 ก็ได้ สำหรับคนทั่วไปแทบอาจไม่เคยได้ฟังเพลงนี้เนื่องจากเป็นเพียงผลงานนักศึกษาทำส่งอาจารย์ แต่สำหรับแฟนคลับผู้ติดตามผลงานจะเห็นถึงวิวัฒนาการอีกขึ้นของณเดชน์ที่มีความพยายามถ่ายทอดอารมณ์ของนักแสดงเข้าไปในเนื้อเพลง โดยใช้อารมณ์จากการเป็นนักแสดงนำ ถ่ายทอดลงไปในเสียงร้องออกมาเป็นเพลงฟังเหงาๆ สบายๆ ตาม theme ของหนังสั้น เสียงร้องของณเดชน์เพลงนี้เริ่มมีอินเนอร์ของคนร้องเข้ามาในเนื้อเพลงแล้ว
ปี 56 เพลง อังศุมาลิน
เพลงประกอบภาพยนตร์ คู่กรรม ที่ณดชน์รับบทเป็นโกโบริ เป็นเพลงภาคภาษาไทยที่แปลงเนื้อร้องมาจากเพลง ฮิเดโกะ ภาษาญี่ปุ่น ซึ่งณเดชน์สามารถปรับปรุงน้ำเสียงให้นุ่มนวลหนักแน่นขึ้นอีกขั้น พร้อมจังหวะลากยาวแบบจบไม่ลงท้ายเสียง ก็เหมือนจะค่อยๆหายไป น้ำเสียงก็นุ่มนวลขึ้นไม่ออกจมูกจ๋าอย่างแต่ก่อน เป็นอีกครั้งหนึ่งสำหรับความแปลกใจว่ายังพัฒนาขึ้นได้อีกกับการร้องเพลงของเขา โดยTheme โศกนาฏกรรมความรักของตัวหนัง ณเดชน์ถ่ายทอดความรักแสนเศร้าของโกโบริที่มีต่ออังศุมาลินได้ลึกซึ้งกินใจ พอๆกับการแสดงในบทบาทของโกโบริของเขาที่ถือเป็นงาน Masterpiece ชิ้นหนึ่งของณเดชน์เลยทีเดียว
ปี 57 เพลง แล้วเราจะรักกันได้ไหม
เพลงประกอบ ละคร รอยฝันตะวันเดือด ที่ณเดชน์ร้องคู่กับน้องญาญ่า และ มีเวอร์ชั่นที่ร้องเดี่ยว เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมคิดว่ามาตรฐานดีสุดของณเดชน์แบบเข้าที่แล้วคงได้ประมาณนี้ คือเสียงร้องลื่นไหล ฟังไม่ขัดหู มีลูกเอื้อน ยาว สั้น มีเสียงกำมะหยี่อันเป็นเอกลักษณ์เล็กๆพอเศษเสี้ยวๆตามแบบฉบับนักร้องที่เสียงไม่ทุ้มอย่าง พี่เบน พี่เบิร์ด ภาษานักร้องไม่รู้ว่าเรียกอะไร แต่ผมขอเรียกเสียงเนียนๆละเอียดของนักร้องนี้ว่ากำมะหยี่ละกัน ^-^ ตอนนั้นคิดว่ามาตรฐานดีสุดของนักแสดงที่ร้องเพลงทำได้ดีสุดแล้วคงประมาณนี้ และยังห่างไกลจากนักร้องมืออาชีพพอสมควรแต่ปรากฏว่าพรแสวงของณเดชน์ยังไม่หยุดนิ่งอยู่แค่นี้
ปี 58 เพลง คำตอบสุดท้าย
เพลงประกอบหนังสั้น Mr. Peter's Project หนังทะลึ่งทะเล้น หลุดโลกแต่ปราศจากคำหยาบ โปรเจคจบการศึกษาของณเดชน์ที่ทั้ง เล่น กำกับ และ ร้องเพลงประกอบเอง เช่นเดียวกับเพลงประกอบหนังสั้น หลงรักเลย อาจไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวางเพราะเป็นเพียงผลงานนักศึกษา แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีตรงมีอิสระในการคิดและทำของณเดชน์ ที่สามารถตั้งโจทย์เองได้ตามใจนึกว่าจะเล่นอะไร จะร้องอะไร ทำให้เป็นผลงานที่ดู "FREE" มากทั้งผลงานหนังสั้นและผลงานเพลง เพราะคนทำทำด้วยความสุขและความตั้งใจที่ได้ทำมันจริงๆ แม้เทียบกันแล้วต้องพูดตรงๆยังสู้ผลงานอื่นที่ผลิต และควบคุมการร้องโดยทีมงานมืออาชีพไม่ได้ แต่สุขแค่ไหนก็ดูจากสีหน้าคนร้องเพลงเอาเองละกันครับ
ปี 58 เพลง ที่จริงฉันก็เจ็บ
เพลงประกอบละคร ลมซ่อนรัก ที่ออกอากาสไปล่าสุด และส่วนตัวเป็นเพลงที่ออกมาแล้วทำให้ผมร้อง เฮ้ยอีกครั้ง กับพัฒนาของการ้องเพลงของณเดชน์เพราะที่ผ่านๆมาเสียงร้องเพลงจะขั้นจมูกชัดเจนและยังขาดพลังความทุ้มแน่นอยู่ แต่กับเพลงนี้บอกเลยว่าฟังแล้วเสียงณเดชน์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเจน ไม่ลอยๆแต่แน่นขึ้น หนักแน่นขึ้น แสดงอารมณ์ได้อย่างชัดเจนทุกถอยคำ ที่สำคัญ เสียงหล่อเป็นเอกลักษณ์มาก สงสัยเพราะวัยเปลี่ยนจากวัยรุ่นตอนปลายเป็นผู้ใหญ่ตอนต้นหรือเปล่าฟระ อันนี้ผมอวย แหะๆ แต่เชื่อเถอะ ณเดชน์ เป็นหนึ่งในคนที่เสียงเพลงออกทางวิทยุปุ๊บ คนฟังจะรู้เลยว่านี่เสียงณเดชน์ร้อง ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาและเป็นเพลงที่ส่งออกคลื่นวิทยุได้โดยไม่อายนักร้องอาชีพ เพลงนี้เริ่มมีเทคนิคการร้องแบบเน้นเสียงขยี้อารมณ์แบบนักร้องมืออาชีพ ผมขอเรียกว่า ณเดชน์เริ่มขยี้กำมะหยี่ได้แล้วละกันนะ และ เพลงนี้ทำให้ผมคิดว่าการพัฒนาของณเดชน์เข้าใกล้นักร้องอาชีพได้อีกขั้นหนึ่งแล้ว
และ นี่คือความแปลกใจครั้งล่าสุดที่ผมพูดถึง ที่ต้องทำให้ร้อง ว้าว จนต้องมาตั้งกระทู้เลยกลับไม่ใช่ผมงานเพลงที่ออกเป็น Official ล่าสุด แต่กลับกลายเป็นต้อง ว๊าว กับเพลงประกอบการแสดงธรรมดาๆ ที่แค่ได้สพย์จาก คลิบวิดิโอ ที่โคตรจะไม่ชัดทั้งภาพและเสียง แต่พอเสียงเพลง กะทันหัน ที่ณเดชน์ และ มิว นิษฐา ดังขึ้นประกอบการแสดงในงานเปิดวิ๊กบิ๊ก 3 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา สิ่งแรกที่ทึ่งเลยไม่ใช่ภาพณเดชน์เดินออกมา แต่ทึ่งกับเสียงร้องที่อัดไว้ต่างหากเพราะณเดชน์ร้องเพลงนี้ได้แบบเต็มปากเต็มคำ มีไดนามิคธรรมชาติแบบนักร้องอาชีพมาเลย ขณะที่เสียงขยี้กำมะหยี่แบบฉบับธรรมชาติเสียงของณเดชน์ก็ยังคงเอกลักษณ์ของน้ำเสียงตัวเองไว้ได้ กลายเป็นเพลง กะทันหัน เวอร์ชั่นณเดชน์ไปอย่างสมบูรณ์ เป็นก้าวใหญ่ๆพัฒนาการของการร้องเพลงของณเดชน์เลยก็ว่าได้ ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ตัวหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆคือสร้างความแปลกใจให้กับคนที่คิดว่าสุดแล้ว แต่ไม่สุดซักที ยังได้อีก อีกแล้ว
(หาคลิปชัดสุดได้เท่านี้ )
นอกเหนือจากงานร้องเพลงแล้ว งาน Entertainment อื่นๆอย่างการขึ้น คอนเสิร์ต ณเดชน์ก็ทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็นงานหลวง งานราษฎร์งานอีเว้นต์ อย่างที่ทราบกันดี เช่น
คอนเสิร์ต 4+1
คอนเสิร์ต Give me 5
คอนเสิร์ต หล่อทะลุโลก
คอนเสิร์ตให้พี่ป้าน้าอาแถวบ้าน
ณ วันนี้ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่งานไหนๆ ชั่วโมงนี้ต้องบอกเลยว่า ณเดชน์ เอายู่ และอยู่ในช่วงพัฒนาตัวเองจากนักแสดง เป็น Entertainer เต็มตัวที่สามารถ เล่น ร้อง เต้น ได้อย่างครบเครื่อง ถ้าฝีมือการแสดงของณเดชน์คือพรสวรรค์ ผมให้ความสามารถในการร้องเพลงของณเดชน์ต้องนับเป็นพรแสวง เพราะใช้เวลาหลายปีกว่าจะเข้าที่เข้าทางแบบฟังได้ไพเราะอยู่ในระดับดีกว่าดาราร้องเพลง แม้จะยังไม่ถึงขั้นนักร้องอาชีพ และ ณเดชน์จะพัฒนาไปไกลถึงขั้นนั้นได้เลยหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องรอแปลกใจอีกทีก็แล้วกัน ไม่แน่ว่าวันหนึ่งข้างหน้าเหล่าแฟนๆอาจได้ชมคอนเสิร์ตของณเดชน์ที่รวบรวมเพลงทั้งหมดที่เขาเคยร้อง มาร้องให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพัฒนาการทางด้านนี้ของเขาไปถึงที่สุดแล้วก็เป็นได้