คริสต้า ดิ๊ดสัน เป็นหนึ่งในนักกีฬายอดเยี่ยมสมัยวิทยาลัย เธอจบด้วยคะแนนเกียรตินิยม เป้าหมายของเธอคือเหรียญทองโอลิมปิก คิราลี่ กล่าวถึงเธอว่า “ผมไม่เคยเจอมาก่อน ที่นักกีฬาทุกคนสมัครใจเรียกเธอว่าคุณแม่” เธอกล่าวว่าน่าจะเป็นเพราะเธอเป็นลูกคนโตที่สุดของครอบครัว และตอนนี้เธอก็อายุมากที่สุดในทีม เธอจบเอกด้านการสอนเด็กประถม ซึ่งเธอก็ได้ทำงานเป็นครูสอนเด็กเกรดสามช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนถูกเรียกเข้าทีมชาติในเวลาต่อมา ปัจจุบันเธอเป็นกัปตันของทีมหญิง และนี่คือเรื่องราวโอลิมปิกของเธอ
สำหรับนักกีฬาทุกคน โอลิมปิกถือเป็นเข็มทิศ คุณต้องเคารพความศักดิ์สิทธิ์ของกีฬา : เล่นอย่างใสสะอาด ยุติธรรม เคารพกฎ ตัวเอง และคู่ต่อสู้ สิ่งที่สำคัญคือเมื่อชนะหรือแพ้ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ ห้ามใช้สารกระตุ้น อยากเก่งก็ต้องฝึก ทุกวันทุกเวลาคือความลำบาก มันคือความท้าทาย สุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยคือความมุ่งมั่น สำหรับฉันเป้าหมายหลักคือโอลิมปิก
ช่วงเมษาปี 2009 ฉันทำงานเป็นครูสอนเด็กนักเรียนทางภาคใต้ของอังกฤษ ฉันได้รับเชิญให้เข้าร่วมทีมชาติเพื่อไปแข่งรายการอุ่นเครื่องรายการหนึ่งที่ไคโร อียิปต์ ในตอนนั้นฉันไม่ได้เล่นวอลเลย์บอลมา 3 เดือนแล้ว ที่จริงฉันหวังมาตั้งแต่สมัยมัธยมที่จะได้เข้าร่วมทีมชาติ ฉันเลยมองว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้ทำตามฝัน เมื่อได้กลับลงสนามมันทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าฉันชอบกีฬานี้มากแค่ไหน พวกเราทำผลงานในรายการนั้นได้ค่อนข้างดีแม้ฉันจะห่างเหินกีฬานี้ไปนาน สุดท้ายฉันก็ได้รับเชิญเข้าแคมป์เก็บตัวที่ Anaheim กับทีมชาติ ก่อนจะออกจากอียิปต์ หัวหน้าโค้ชสอนเทคนิคในฐานะตำแหน่งบล็อคกลางให้ฉันสามเทคนิค หนึ่งคือการโจมตีจากการเซ็ตอันหลากหลาย สองคือการอ่านเกมของตัวเซ็ตทีมตรงกันข้าม และสามการเสิร์ฟให้มีประสิทธิภาพ
ช่วงพฤษภาคมปี 2009 มันเป็นจุดเริ่มต้นของสี่ปีที่จะเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล ฉันเรียนรู้หลายอย่างมากภายในเดือนเดียว สี่เดือนผ่านไป เทคนิคทุกอย่างก้าวหน้าไปมากทั้งวิธีบล็อค การอ่านบล็อค แต่การเสิร์ฟของฉันก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางซักที ฉันเริ่มมองคุณค่าของตัวเองต่อทีม จากผลงานการเสิร์ฟของฉัน ในฐานะนักกีฬา เรามักจะพยายามพัฒนาเทคนิคที่เรายังทำไม่เก่ง เพื่อที่เราจะได้เป็นนักกีฬาที่เก่งครบทุกด้าน อย่างไรก็ตาม ณ จุดหนึ่งฉันเริ่มหมกมุ่นอยู่กับประสิทธิภาพการเสิร์ฟ จนมันทำลายประสิทธิภาพเทคนิคอื่นๆไปด้วย วันไหนฉันเสิร์ฟดี ฉันก็มองว่าทำผลงานวันนั้นได้ดี ถ้าเสิร์ฟไม่ดี ก็มองว่าวันนั้นฉันเล่นได้แย่ การเสิร์ฟกลายเป็นปัญหาที่อยู่ในใจตลอดเวลา ฉันเริ่มเกิดความกลัวและกังวลที่จะทำผลงานได้ไม่ดี หลังจากนั้นเวลาฉันนั่งเครื่องบินกลับไปแคมป์ทีมชาติ ฉันรู้สึกว่ามันยากขึ้นเรื่อยๆ ฉันต้องเผชิญหน้าความกลัวทุกครั้งที่เดินทางไปซ้อม ความมุ่งมั่นของฉันเจอกับอุปสรรคชิ้นใหญ่ แล้วฉันทำยังไง ฉันมีความเชื่อในพระเจ้ามาโดยตลอด เชื่อในสิ่งที่ท่านสร้างและวางแผนให้กับชีวิตของฉัน
ข้อความแรกๆที่ฉันเขียนในบันทึกของฉันคือ Proverb 3:5-6 “เชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าด้วยหัวใจทั้งหมดของท่าน อย่าใช้เพียงแค่ความเข้าใจ แต่จงยอมรับพระองค์สู่หัวใจของท่าน พระองค์จะนำทางท่านไปสู่หนทางที่ถูกต้อง” (ผมไม่ใช่ชาวคริสต์ ถ้าแปลผิดขออภัย) สิ่งที่ฉันต้องการที่สุดในตอนนั้นคืออยากให้พระองค์ช่วยจัดการกับความกังวลและหวาดกลัว...อย่างด่วนๆเลย ฉันรู้ว่าพระองค์ทำได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์วางแผนเอาไว้ เพราะจักรวาลมีแผนอยู่สองแบบ แผนของมนุษย์และแผนของพระเจ้า ฉันบอกได้เลยว่า แบบของพระองค์ดีกว่ามาก
ตลอดปี 2009 ถึง 2011 ฉันจมอยู่กับความกังวลและหวาดกลัวในความล้มเหลว ฉันพลาดการแข่งขันครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะความหวาดกลัวเหล่านั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งฉันก็สามารถปลดปล่อยตัวเองออกจากความกลัว ฉันยึดความควบคุมทุกอย่างของพระเจ้าในตัวของฉันกลับคืนมา ฉันเริ่มคิดว่ามันงี่เง่าไปรึเปล่า ทำไมฉันต้องร้องขอพระเจ้าเพื่อให้ฉันเสิร์ฟบอลข้ามเน็ตด้วย? ทำไมฉันต้องอยากให้พระเจ้าเข้ามาช่วยฉันเล่นวอลเลย์บอลให้ชนะด้วย? แต่เชื่อไหม ฉันทำแบบนั้นมาตลอดชีวิต เพราะฉันเติบโตมากับการไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ และสวดภาวนาก่อนอาหารเย็นและก่อนนอน ฉันทำแบบนั้นมาตลอด มาหยุดเอาตอนที่ฉันพบความยากลำบากจากความกังวลและกลัวในการฝึกซ้อม ฉันจึงต้องกำหนดบทบาทของพระองค์ในชีวิตของฉันใหม่ ฉันเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยและอนุญาตให้พระองค์ก้าวก่ายเส้นทางของฉันเป็นบางเรื่อง รวมถึงกีฬาด้วย ที่จริงแล้วลองคิดดูดีๆ สมมุติว่าคุณแต่งงานกับใครซักคน มันจำเป็นหรือที่เราจะต้องพึ่งเขาเพื่อให้เราไปสู่เป้าหมายในทุกๆเรื่อง? มันจะดีกว่าไหมที่เราจะวิ่งไปสู่เป้าหมายด้วยตัวของคุณเอง โดยมีเขาร่วมต่อสู้ไปข้างๆเรา ถ้าเราทำแบบนั้นกับคู่ครองเราได้ ทำไมฉันกับพระเจ้าถึงทำแบบนั้นบ้างไม่ได้?
ฉันเรียนรู้ที่จะปลดปล่อย เลิกยึดติดอยู่กับสิ่งที่ฉันไม่สามารถควบคุมได้ ฉันไม่สามารถควบคุมผลที่จะเกิดขึ้นพรุ่งนี้ หรือการตัดสินใจของคนอื่นได้ แต่ฉันจะควบคุมสิ่งที่จะเข้ามาหาฉันอย่างเต็มที่ ฉันพร้อมที่จะเรียนรู้ พูดและทำในสิ่งที่ทำให้ทีมของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น กว่าสามปีที่ฉันต้องการพระเจ้าให้ช่วยฉันเสิร์ฟบอล ปกป้องฉันจากความหวาดกลัว และปลดปล่อยจิตใจฉันให้มีเสรีภาพ ท่านเปลี่ยนแปลงและสร้างตัวตนของฉัน สอนให้ฉันเปิดใจยอมรับท่านในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หาความสุขและเชื่อมั่นในทุกๆอุปสรรค และบทเรียนเหล่านั้นมาถูกช่วงเวลาพอดิบพอดี
เดือนตุลาคมปี 2011 หนึ่งเดือนก่อนไปเล่นลีคอิตาลี สุดท้ายฉันก็เสิร์ฟได้ยอดเยี่ยม ช่วงเวลาพักดื่มน้ำ ฉันกำลังฝึกการกระโดดเสิร์ฟ (วิธีการคือกระโดดเล็กๆ แล้วตบบอลไปตรงกลางลูกเพื่อให้ลูกลอยตรงไป) หลังจากทำไปได้ซักพัก ฉันก็เริ่มรู้สึกถึงอิสรภาพ ฉันเปิดใจยอมรับพระองค์เข้ามาอยู่ในจิตใจของฉัน พระองค์จะอยู่ข้างๆฉันเพื่อนำทางให้ฉันเอาชนะอุปสรรค ห้าเดือนที่ฉันเล่นที่อิตาลี ทักษะของฉันพัฒนาขึ้นอย่างมาก มันเป็นการเล่นที่ดีที่สุดในชีวิต ช่วงเมษายน ปี 2012 ฉันกลับรู้สึกตื่นเต้นและพร้อมที่จะได้กลับไปเข้าแคมป์ทีมชาติ เสรีภาพที่ฉันได้รับ มันทำให้ฉันสามารถแข่งขันด้วยความสนุก และมีรอยยิ้มที่เกิดจากความสุขได้อย่างแท้จริง หนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของฉันคือแมตช์แรก เซ็ตแรกของทีมสหรัฐกับเกาหลีใต้ เมื่อฉันเดินไปยืนอยู่หลังเส้นของคอร์ท พร้อมเสิร์ฟด้วยรอยยิ้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา นี่แหละอิสรภาพ ความมั่นใจและความสุข นี่แหละโอลิมปิกของฉัน
เอาเรื่องนี้มาเพราะน่าสนใจ เรื่องของสิ่งศักดิ๋สิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องเป็นพระเจ้าก็ได้ ได้ทุกศาสนา บางทีเราก็ยกให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ควบคุมชีวิตเรามากเกินไป มองว่าโชคดีโชคร้าย ชีวิตดีหรือล้มเหลวมาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คริสต้าก็รู้สึกแบบนั้นมาก่อน จนเธอบอกว่าต่อไปนี้เธอจะไปถึงเป้าหมายด้วยตัวของเธอเอง จะโชคดีโชคร้าย เธอก็จะสู้โดยมีพระเจ้าในหัวใจ ผมว่าเป็นสิ่งที่มีพลังมากๆ ผมมองว่าอาจไม่ต้องเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาใดๆก็ได้ อาจจะเป็นพ่อแม่ ครู หรือคนที่เรานับถือก็ได้เช่นกัน
ตอนหน้ายังไม่แน่ใจ อาจจะเดล คอเร่ หรือโลแกน ทอม(อีกรอบ)
เครดิต
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.christadietzen.com/
[แปล] คริสต้า ฮาร์มอตโต้ ดิ๊ดสัน กัปตันทีมชาติวอลเลย์หญิงสหรัฐ และเรื่องเล่าโอลิมปิก
สำหรับนักกีฬาทุกคน โอลิมปิกถือเป็นเข็มทิศ คุณต้องเคารพความศักดิ์สิทธิ์ของกีฬา : เล่นอย่างใสสะอาด ยุติธรรม เคารพกฎ ตัวเอง และคู่ต่อสู้ สิ่งที่สำคัญคือเมื่อชนะหรือแพ้ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ ห้ามใช้สารกระตุ้น อยากเก่งก็ต้องฝึก ทุกวันทุกเวลาคือความลำบาก มันคือความท้าทาย สุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยคือความมุ่งมั่น สำหรับฉันเป้าหมายหลักคือโอลิมปิก
ช่วงเมษาปี 2009 ฉันทำงานเป็นครูสอนเด็กนักเรียนทางภาคใต้ของอังกฤษ ฉันได้รับเชิญให้เข้าร่วมทีมชาติเพื่อไปแข่งรายการอุ่นเครื่องรายการหนึ่งที่ไคโร อียิปต์ ในตอนนั้นฉันไม่ได้เล่นวอลเลย์บอลมา 3 เดือนแล้ว ที่จริงฉันหวังมาตั้งแต่สมัยมัธยมที่จะได้เข้าร่วมทีมชาติ ฉันเลยมองว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้ทำตามฝัน เมื่อได้กลับลงสนามมันทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าฉันชอบกีฬานี้มากแค่ไหน พวกเราทำผลงานในรายการนั้นได้ค่อนข้างดีแม้ฉันจะห่างเหินกีฬานี้ไปนาน สุดท้ายฉันก็ได้รับเชิญเข้าแคมป์เก็บตัวที่ Anaheim กับทีมชาติ ก่อนจะออกจากอียิปต์ หัวหน้าโค้ชสอนเทคนิคในฐานะตำแหน่งบล็อคกลางให้ฉันสามเทคนิค หนึ่งคือการโจมตีจากการเซ็ตอันหลากหลาย สองคือการอ่านเกมของตัวเซ็ตทีมตรงกันข้าม และสามการเสิร์ฟให้มีประสิทธิภาพ
ช่วงพฤษภาคมปี 2009 มันเป็นจุดเริ่มต้นของสี่ปีที่จะเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล ฉันเรียนรู้หลายอย่างมากภายในเดือนเดียว สี่เดือนผ่านไป เทคนิคทุกอย่างก้าวหน้าไปมากทั้งวิธีบล็อค การอ่านบล็อค แต่การเสิร์ฟของฉันก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางซักที ฉันเริ่มมองคุณค่าของตัวเองต่อทีม จากผลงานการเสิร์ฟของฉัน ในฐานะนักกีฬา เรามักจะพยายามพัฒนาเทคนิคที่เรายังทำไม่เก่ง เพื่อที่เราจะได้เป็นนักกีฬาที่เก่งครบทุกด้าน อย่างไรก็ตาม ณ จุดหนึ่งฉันเริ่มหมกมุ่นอยู่กับประสิทธิภาพการเสิร์ฟ จนมันทำลายประสิทธิภาพเทคนิคอื่นๆไปด้วย วันไหนฉันเสิร์ฟดี ฉันก็มองว่าทำผลงานวันนั้นได้ดี ถ้าเสิร์ฟไม่ดี ก็มองว่าวันนั้นฉันเล่นได้แย่ การเสิร์ฟกลายเป็นปัญหาที่อยู่ในใจตลอดเวลา ฉันเริ่มเกิดความกลัวและกังวลที่จะทำผลงานได้ไม่ดี หลังจากนั้นเวลาฉันนั่งเครื่องบินกลับไปแคมป์ทีมชาติ ฉันรู้สึกว่ามันยากขึ้นเรื่อยๆ ฉันต้องเผชิญหน้าความกลัวทุกครั้งที่เดินทางไปซ้อม ความมุ่งมั่นของฉันเจอกับอุปสรรคชิ้นใหญ่ แล้วฉันทำยังไง ฉันมีความเชื่อในพระเจ้ามาโดยตลอด เชื่อในสิ่งที่ท่านสร้างและวางแผนให้กับชีวิตของฉัน
ข้อความแรกๆที่ฉันเขียนในบันทึกของฉันคือ Proverb 3:5-6 “เชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าด้วยหัวใจทั้งหมดของท่าน อย่าใช้เพียงแค่ความเข้าใจ แต่จงยอมรับพระองค์สู่หัวใจของท่าน พระองค์จะนำทางท่านไปสู่หนทางที่ถูกต้อง” (ผมไม่ใช่ชาวคริสต์ ถ้าแปลผิดขออภัย) สิ่งที่ฉันต้องการที่สุดในตอนนั้นคืออยากให้พระองค์ช่วยจัดการกับความกังวลและหวาดกลัว...อย่างด่วนๆเลย ฉันรู้ว่าพระองค์ทำได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์วางแผนเอาไว้ เพราะจักรวาลมีแผนอยู่สองแบบ แผนของมนุษย์และแผนของพระเจ้า ฉันบอกได้เลยว่า แบบของพระองค์ดีกว่ามาก
ตลอดปี 2009 ถึง 2011 ฉันจมอยู่กับความกังวลและหวาดกลัวในความล้มเหลว ฉันพลาดการแข่งขันครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะความหวาดกลัวเหล่านั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งฉันก็สามารถปลดปล่อยตัวเองออกจากความกลัว ฉันยึดความควบคุมทุกอย่างของพระเจ้าในตัวของฉันกลับคืนมา ฉันเริ่มคิดว่ามันงี่เง่าไปรึเปล่า ทำไมฉันต้องร้องขอพระเจ้าเพื่อให้ฉันเสิร์ฟบอลข้ามเน็ตด้วย? ทำไมฉันต้องอยากให้พระเจ้าเข้ามาช่วยฉันเล่นวอลเลย์บอลให้ชนะด้วย? แต่เชื่อไหม ฉันทำแบบนั้นมาตลอดชีวิต เพราะฉันเติบโตมากับการไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ และสวดภาวนาก่อนอาหารเย็นและก่อนนอน ฉันทำแบบนั้นมาตลอด มาหยุดเอาตอนที่ฉันพบความยากลำบากจากความกังวลและกลัวในการฝึกซ้อม ฉันจึงต้องกำหนดบทบาทของพระองค์ในชีวิตของฉันใหม่ ฉันเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยและอนุญาตให้พระองค์ก้าวก่ายเส้นทางของฉันเป็นบางเรื่อง รวมถึงกีฬาด้วย ที่จริงแล้วลองคิดดูดีๆ สมมุติว่าคุณแต่งงานกับใครซักคน มันจำเป็นหรือที่เราจะต้องพึ่งเขาเพื่อให้เราไปสู่เป้าหมายในทุกๆเรื่อง? มันจะดีกว่าไหมที่เราจะวิ่งไปสู่เป้าหมายด้วยตัวของคุณเอง โดยมีเขาร่วมต่อสู้ไปข้างๆเรา ถ้าเราทำแบบนั้นกับคู่ครองเราได้ ทำไมฉันกับพระเจ้าถึงทำแบบนั้นบ้างไม่ได้?
ฉันเรียนรู้ที่จะปลดปล่อย เลิกยึดติดอยู่กับสิ่งที่ฉันไม่สามารถควบคุมได้ ฉันไม่สามารถควบคุมผลที่จะเกิดขึ้นพรุ่งนี้ หรือการตัดสินใจของคนอื่นได้ แต่ฉันจะควบคุมสิ่งที่จะเข้ามาหาฉันอย่างเต็มที่ ฉันพร้อมที่จะเรียนรู้ พูดและทำในสิ่งที่ทำให้ทีมของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น กว่าสามปีที่ฉันต้องการพระเจ้าให้ช่วยฉันเสิร์ฟบอล ปกป้องฉันจากความหวาดกลัว และปลดปล่อยจิตใจฉันให้มีเสรีภาพ ท่านเปลี่ยนแปลงและสร้างตัวตนของฉัน สอนให้ฉันเปิดใจยอมรับท่านในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หาความสุขและเชื่อมั่นในทุกๆอุปสรรค และบทเรียนเหล่านั้นมาถูกช่วงเวลาพอดิบพอดี
เดือนตุลาคมปี 2011 หนึ่งเดือนก่อนไปเล่นลีคอิตาลี สุดท้ายฉันก็เสิร์ฟได้ยอดเยี่ยม ช่วงเวลาพักดื่มน้ำ ฉันกำลังฝึกการกระโดดเสิร์ฟ (วิธีการคือกระโดดเล็กๆ แล้วตบบอลไปตรงกลางลูกเพื่อให้ลูกลอยตรงไป) หลังจากทำไปได้ซักพัก ฉันก็เริ่มรู้สึกถึงอิสรภาพ ฉันเปิดใจยอมรับพระองค์เข้ามาอยู่ในจิตใจของฉัน พระองค์จะอยู่ข้างๆฉันเพื่อนำทางให้ฉันเอาชนะอุปสรรค ห้าเดือนที่ฉันเล่นที่อิตาลี ทักษะของฉันพัฒนาขึ้นอย่างมาก มันเป็นการเล่นที่ดีที่สุดในชีวิต ช่วงเมษายน ปี 2012 ฉันกลับรู้สึกตื่นเต้นและพร้อมที่จะได้กลับไปเข้าแคมป์ทีมชาติ เสรีภาพที่ฉันได้รับ มันทำให้ฉันสามารถแข่งขันด้วยความสนุก และมีรอยยิ้มที่เกิดจากความสุขได้อย่างแท้จริง หนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของฉันคือแมตช์แรก เซ็ตแรกของทีมสหรัฐกับเกาหลีใต้ เมื่อฉันเดินไปยืนอยู่หลังเส้นของคอร์ท พร้อมเสิร์ฟด้วยรอยยิ้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา นี่แหละอิสรภาพ ความมั่นใจและความสุข นี่แหละโอลิมปิกของฉัน
เอาเรื่องนี้มาเพราะน่าสนใจ เรื่องของสิ่งศักดิ๋สิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องเป็นพระเจ้าก็ได้ ได้ทุกศาสนา บางทีเราก็ยกให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ควบคุมชีวิตเรามากเกินไป มองว่าโชคดีโชคร้าย ชีวิตดีหรือล้มเหลวมาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คริสต้าก็รู้สึกแบบนั้นมาก่อน จนเธอบอกว่าต่อไปนี้เธอจะไปถึงเป้าหมายด้วยตัวของเธอเอง จะโชคดีโชคร้าย เธอก็จะสู้โดยมีพระเจ้าในหัวใจ ผมว่าเป็นสิ่งที่มีพลังมากๆ ผมมองว่าอาจไม่ต้องเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาใดๆก็ได้ อาจจะเป็นพ่อแม่ ครู หรือคนที่เรานับถือก็ได้เช่นกัน
ตอนหน้ายังไม่แน่ใจ อาจจะเดล คอเร่ หรือโลแกน ทอม(อีกรอบ)
เครดิต
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้