เป็นการใช้งานในระดับคนทั่วๆ ไปที่มีภาพเยอะๆ ที่ต้องเก็บภาพจากกล้องโทรศัพท์มือถือ หรือกล้องถ่ายภาพธรรมดา
เป็นภาพทั่วไปในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่งานในระดับของช่างภาพที่ควรมีระบบในการแบ็คอัพที่เป็นจริงเป็นจังกว่านี้
(แต่ว่าในการใช้งานบางอย่างมีการแบ็คอัพแบบนี้เสริมไว้บ้างก็ไม่เสียหายอะไร)
ผมใช้กรณีของผมเป็นตัวอย่างละกัน ผมแบ็คอัพภาพไว้ด้วยระบบอื่นแล้ว แต่มีภาพจำนวนหนึ่งประมาณ 3 หมื่นภาพ ที่อยากจะแบ็คอัพบนคลาวด์เผื่อไว้ ก็เลยลองดูบริการ cloud storage ฟรีต่างๆ เปรียบเทียบกันหลายๆ บริการ
แต่มีแบบไม่ฟรีอยู่อันนึง แต่น่าสนใจคือ
Amazon Cloud Drive (
https://www.amazon.com/clouddrive/home)
ข้อดีคือมันสามารถเก็บภาพ และ RAW (จากบางกล้อง) ได้แบบ Unlimited ในราคาแค่เดือนละ 1 เหรียญเท่านั้น ไปดูรายละเอียดได้ว่ามัน support raw ของกล้องอะไรบ้าง
เสียแต่ RAW ของกล้องที่ผมมีมันไม่สนับสนุน แปลว่าต้องใช้แพ็คเกจ Unlimited Everything ราคา 5 เหรียญ
ที่สำคัญตอนอัพโหลดดาวน์โหลดเนี่ย กว่าจะเสร็จคงหลายเดือน เงินที่จ่ายไปคงไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนักกับรูปที่ไม่ได้สำคัญระดับขาดไม่ได้
แต่ถ้าฟรีก็ว่าไปอย่าง
ซึ่งภาพของผมมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรนักหนา มีแบ็คอัพอยู่เกือบสิบแล้วอีกต่างหาก
แต่สำหรับช่างภาพ หรือนักถ่ายภาพที่มีภาพสำคัญมากๆ ราคา 5 เหรียญต่อเดือนนี่ไม่แพง สำหรับการแบ็คอัพทุกสิ่งอันเอาไว้เผื่อฉุกเฉิน และยิ่งใช้กล้อง รุ่นที่มี RAW แบบที่ Amazon รองรับ ใช้แพ็คเกจ Unlimited Photos 1 เหรียญได้สบายเลย
Dropbox
เป็น cloud ที่ผมใช้แบ็คอัพพวกเอกสารต่างๆ มานานแล้ว ถึงแม้จะมีระบบแบ็คอัพรูปภาพ แต่ความจุที่สะสมมานานหลายโปรโมชั่น ยังมีแค่ 21 GB แบ็คอัพรูปผมไม่พอแน่นอน เฉพาะครึ่งปี 2015 เอกสาร รวมกับรูปของผมก็กินพื้นที่เข้าไปครึ่งนึงของความจุแล้ว รูปที่เหลือไม่มีที่ลงแน่
ดังนั้นตัดทิ้งไป เอาไว้แบ็คอัพเอกสารเหมือนเดิม
Dtac Capture App
เพิ่งไปงานเปิดตัวมาเมื่อเดือนเมษายนนี่เอง (
https://www.facebook.com/BlueNileCreation/timeline/story?ut=43&wstart=0&wend=1435733999&hash=1252180897780219393&pagefilter=3)
ผมมีส่วนลดแลกแจกแถมโน่นนี่นั่นอยู่ ก็ทำให้ได้พื้นที่มามากพอที่จะแบ็คอัพรูปทั้งหมดที่ผมมีได้ก็เลยเอามาใช้
ถ้าแบ็คอัพรูปถ่ายจากโทรศัพท์ก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น Capture ทำให้เองหมด
ส่วนการแบ็คอัพรูปจากคลัง ผมก็แค่ก็อปรูปจากในคอมพ์มาใส่โทรศัพท์หรือแท็บเล็ต ที่เหลือ Capture จัดการอัพโหลดให้หมด โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันสักนิด เหมาะมากกับ end usee แบบผม (เรียก user ดูยังจะเก่งไปหน่อย) พอแบ็คอัพหมดก็ลบโฟลเดอร์นี้ เอาภาพชุดใหม่มาใส่ต่อไป
มีคนถามว่าแล้วถ้าหมดโปรผมจะทำอย่างไร จะซื้อเพิ่มมั้ย ?
ผมบอกว่ากว่าจะถึงปีหน้าที่หมดโปรของผม ก็คงมีบริการฟรีไม่จำกัดพื้นที่แล้วแหละ
(ตอนนั้นผมก็ไม่คิดว่าอย่าว่าแต่ปีนึงเลย แค่เดือนต่อมา Google Photos มีแบบ unlimited แล้ว)
ระบบแสดงภาพเรียงตามลำดับเวลาได้ ก็ช่วยให้หาภาพได้ง่าย แต่ว่าจะหาแบบซับซ้อน หรือทำอะไรยากๆ มันก็เกินกำลังไปหน่อย
แอพนี้เน้นไปที่เก็บภาพได้ง่ายๆ ไม่ได้เน้นฟีเจอร์เยอะแยะ มีแอพครบถ้วนสำหรับ Android และ iOS เปิดดูจากคอมพ์ได้อีกต่างหาก
การแบ็คอัพ และเรียกภาพกลับทำได้ราบรื่นรวดเร็วดี
ไม่ใช่เครื่องมือที่เหมาะสำหรับการแบ็คอัพเป็นจริงเป็นจังเท่าไหร่ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้มากเท่าไหร่ แบบ batch ก็ไม่ได้ หรือได้แบบไม่สะดวก (มากๆ)
จะเหมาะกับคนทั่วไป ที่จะแบ็คอัพรูปที่ถ่ายประจำวันจากโทรศัพท์มือถือเสียมากกว่า เผื่อเอาไว้กรณีโทรศัพท์หายจะได้ยังมีรูปดูอยู่
แอพนี้ผูกกับเบอร์โทรศัพท์ และพื้นที่เก็บภาพก็มีตามแพ็คเกจโทรศัพท์ดีแทคที่ใช้อยู่ (เบอร์โทรศัพท์ค่ายอื่นได้ฟรี 2 GB)
Microsoft OneDrive
อันนี้ผมก็สะสม ทั้งเก็บโปรโมชั่นมาจากหลายที่ จนมีพื้นที่ 340 GB เหลือเฟือสำหรับเก็บภาพ
แต่โดยปกติผมไม่ได้ใช้ Microsoft Office เลยไม่ค่อยเอาอะไรไปเก็บไว้
ระบบแบ็คอัพรูปถ่ายก็มีไว้สำหรับแบ็คอัพรูปที่ถ่ายใหม่จากกล้องโทรศัพท์เท่านั้น ไม่สามารถแบ็คอัพโฟลเดอร์รูปอื่นๆ ได้
ถ้าจะอัพโหลดรูปอื่นๆ ก็ต้องใช้วิธีเลือกทีละรูปแล้วอัพโหลด (ไม่มี select all) ซึ่งรูปสามหมื่นกว่ารูปของผมคงทำไม่ได้ในทางปฏิบัติ
ไม่งั้นก็ผ่านคอมพิวเตอร์ก็ได้ มีแอพอำนวยความสะดวกในคอมพิวเตอร์เช่นเดียวกับ dropbox, google drive ซึ่งผมเคยทดลองไฟล์เล็กๆ ก็ยังไม่ค่อยเร็วเท่าไหร่เมื่อเทียบกับบริการอื่น
และมันยิ่งช้าไปอีกบนโทรศัพท์
ตอนแบ็คอัพไฟล์ที่เทส S6 ที่แก่งกระจาน Capture App กับ Google Photos แบ็คอัพรูป 2 ร้อยกว่ารูป เกือบ 3 ร้อย เสร็จไปก่อนเป็นวัน เกือบสองวันกว่า OneDrive จะอัพโหลดเสร็จตามมาทีหลัง
ส่วนการเลือกรูปแล้วอัพโหลดด้วยมือ ผมยังไม่สามารถอัพโหลดไฟล์ใหญ่ๆ สำเร็จเลยไม่ว่าบนคอมพ์ หรือผ่านมือถือ
ความสำเร็จสูงสุดของผมคือไฟล์วิดีโอขนาด 43 MB จำนวน 1 ไฟล์ และไฟล์รูปถ่าย 24 ล้านพิกเซล จำนวน 2 รูป จากความพยายามอัพโหลดสารพัดวิธี สารพัดไฟล์ประมาณ 2 วัน
อันนี้ก็ไม่รู้จะโทษ OneDrive หรือโทษ 3BB แถวบ้านผมดี
เอาไว้ให้เน็ตแถวบ้านสเถียรจะเทสอีกที แต่ตอนนี้มันได้รับผลกระทบจากเน็ตที่ไม่เสถียรแถวบ้านผม มากกว่า cloud เจ้าอื่นๆ ที่เทส
ป.ล. OneDrive ปีละ 70 เหรียญ (เดือนละ 6 เหรียญกว่าๆ) เก็บทุกสิ่งอย่างได้ไม่จำกัดเหมือน Amazon Cloud Drive แล้วก็ upload เป็นหลาย ๆ ไฟล์ หรือเป็นทีละ folder ก็ได้ แล้วยังมี MS office ไว้ใช้ฟรีด้วย
Google Photos
ไม้เด็ดของ Photos อยู่ตรงเก็บภาพและวิดีโอได้แบบไม่จำกัดจำนวน ถ้าเลือกแบ็คอัพแบบ Hi Quality ซึ่งจะเก็บภาพขนาด 16 ล้านพิกเซล และวิดีโอ Full HD
ข้อจำกัดคือ ภาพและวิดีโอจะถูกบีบอัดใหม่ด้วยระบบของ Google ภาพขนาดใหญ่กว่านี้ หรือวิดีโอ 2K, 4K จะถูกย่อลงมาเหลือเท่าที่กำหนดไว้
อยากจะแบ็คอัพแบบ original ก็ต้องกินพื้นที่ใน Google Drive ตามปกติ
สำหรับคนทั่วไป ภาพ 16 ล้านคุณภาพสูง กับ Full HD ก็เหลือเฟือแก่การใช้งานแล้ว
ซอฟท์แวร์ Photos ก็ทำงานได้รวดเร็วดีทั้งการแบ็คอัพ และดาวน์โหลด เลือกโฟลเดอร์ได้ เอาโฟลเดอร์จากคอมพ์มาโยนไว้ให้อัพโหลดได้ ก็ง่ายดี
ข้อดีอื่นคือ Collections ที่สร้างอัลบั้มให้อัตโนมัติ อาศัยตำแหน่งที่ถ่ายรูป กับลักษณะการถ่ายมันจะเดาเหตุการณ์และสร้างอัลบั้มภาพให้อัตโนมัติ สะดวกดี
บางทีก็จะสร้าง Creations หรือชื่อเดิม Auto-Awesome สร้างภาพเคลื่อนไหว แต่งภาพ หรือตัดแปะภาพให้อัตโนมัติ ผลงานมันบางทีก็เหลือเชื่อจริงๆ ตัดภาพรอยยิ้มจากภาพใกล้เคียง เอามาแปะในอีกภาพนึง อย่างเนียน
และมันยังเป็นอันหนึ่งอันเดียวแนบเนียนกับ Google Drive ทำให้ทำตัวเหมือนโฟลเดอร์หนึ่งในคอมพิวเตอร์เราไปด้วย
Flickr
เว็บรูปขวัญใจช่างภาพ คุณภาพมาเต็มๆ ระบบการจัดการไฟล์ภาพเป็นเลิศ น่าจะดีที่สุดแล้วในเว็บรูปประดามี
ให้พื้นที่ฟรี 1TB เหลือเฟือสำหรับการแบ็คอัพ เก็บรูปได้เป็นแสน
ความยุ่งยากประการเดียวคือต้องอัพโหลดด้วยคอมพิวเตอร์เท่านั้น แอพของฟลิกเกอร์ไม่รองรับอุปกรณ์ที่ผมมีในตอนนี้ ทั้ง Nexus 7, Galaxy S6, Zenfone4 แต่อย่าลืมว่ามันคือ social media ที่ฟีเจอร์ต่างๆ ถูกออกแบบมาเพื่อการนั้น ไม่ใช่ระบบแบ็คอัพ หรือ cloud storage โดยเฉพาะเหมือนบริการอื่น
ป.ล. ผมกลัวนโยบาย yahoo จริงๆ มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กลัวว่า flickr จะได้รับผลกระทบในทางไม่ดี
สรุปเรื่องการแบ็คอัพรูป
ถ้ายอมรับเรื่องความเร็ว (ช้า) ในการอัพโหลด ดาวน์โหลดได้ Amazon Cloud Drive น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ราคาปีละ 12 เหรียญ สำหรับรูป หรือ 60 เหรียญสำหรับทุกอย่างคงคุ้มค่าสำหรับนักถ่ายภาพไม่ว่ามืออาชีพ หรือมือสมัครเล่น ยังไงมันก็เพิ่มความอุ่นใจขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง และมันเป็นระบบที่ออกแบบมาสำหรับการแบ็คอัพ กับเรียกคืนอย่างเป็นจริงเป็นจัง ไม่ใช่อยู่ในลักษระ social media เหมือนที่อื่น
ถ้าเน้นของฟรี Google Photos น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับคนทั่วๆ ไป เพราะมันฟรี และเก็บได้ไม่จำกัดจำนวน ระดับคุณภาพไฟล์ก็อยู่ในระดับใช้งานได้สบายๆ มีแอพอำนวยความสะดวก
Dropbox กับ Onedrive เอาไว้เก็บเอกสารเป็นหลัก หรือมีเก็บรูปเล็กๆ น้อยๆ ดีกว่า
Capture ผมยังเป็นห่วงอยู่ เพราะถ้าเทียบข้อดีข้อเสียจริงๆ แล้ว ในระดับผู้ใช้ทั่วไปอาจจะไม่รู้สึกว่ามันแตกต่างจากที่อื่นอย่างไร มันดีตรงความเรียบง่าย ตรงไปตรงมา แต่มันเก็บตังค์นะ ราคาก็ไม่นับว่าถูก และฟีเจอร์อื่นที่แทบไม่มีอะไรเลย
Flickr ถ้ามันมีแอพที่ใช้งานได้สักหน่อย มันจะดีมาก ตอนนี้ขอผ่านไปก่อน
เลือกกันตามชอบละกัน
---------------------------------------------------
สรุปความเห็น จะแบ็คอัพภาพไว้ที่ไหนดี Amazon Clud Drive, MS-OneDrive, Google Photos, Flickr, Dropbox
เป็นภาพทั่วไปในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่งานในระดับของช่างภาพที่ควรมีระบบในการแบ็คอัพที่เป็นจริงเป็นจังกว่านี้
(แต่ว่าในการใช้งานบางอย่างมีการแบ็คอัพแบบนี้เสริมไว้บ้างก็ไม่เสียหายอะไร)
ผมใช้กรณีของผมเป็นตัวอย่างละกัน ผมแบ็คอัพภาพไว้ด้วยระบบอื่นแล้ว แต่มีภาพจำนวนหนึ่งประมาณ 3 หมื่นภาพ ที่อยากจะแบ็คอัพบนคลาวด์เผื่อไว้ ก็เลยลองดูบริการ cloud storage ฟรีต่างๆ เปรียบเทียบกันหลายๆ บริการ
แต่มีแบบไม่ฟรีอยู่อันนึง แต่น่าสนใจคือ Amazon Cloud Drive (https://www.amazon.com/clouddrive/home)
ข้อดีคือมันสามารถเก็บภาพ และ RAW (จากบางกล้อง) ได้แบบ Unlimited ในราคาแค่เดือนละ 1 เหรียญเท่านั้น ไปดูรายละเอียดได้ว่ามัน support raw ของกล้องอะไรบ้าง
เสียแต่ RAW ของกล้องที่ผมมีมันไม่สนับสนุน แปลว่าต้องใช้แพ็คเกจ Unlimited Everything ราคา 5 เหรียญ
ที่สำคัญตอนอัพโหลดดาวน์โหลดเนี่ย กว่าจะเสร็จคงหลายเดือน เงินที่จ่ายไปคงไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนักกับรูปที่ไม่ได้สำคัญระดับขาดไม่ได้
แต่ถ้าฟรีก็ว่าไปอย่าง
ซึ่งภาพของผมมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรนักหนา มีแบ็คอัพอยู่เกือบสิบแล้วอีกต่างหาก
แต่สำหรับช่างภาพ หรือนักถ่ายภาพที่มีภาพสำคัญมากๆ ราคา 5 เหรียญต่อเดือนนี่ไม่แพง สำหรับการแบ็คอัพทุกสิ่งอันเอาไว้เผื่อฉุกเฉิน และยิ่งใช้กล้อง รุ่นที่มี RAW แบบที่ Amazon รองรับ ใช้แพ็คเกจ Unlimited Photos 1 เหรียญได้สบายเลย
Dropbox
เป็น cloud ที่ผมใช้แบ็คอัพพวกเอกสารต่างๆ มานานแล้ว ถึงแม้จะมีระบบแบ็คอัพรูปภาพ แต่ความจุที่สะสมมานานหลายโปรโมชั่น ยังมีแค่ 21 GB แบ็คอัพรูปผมไม่พอแน่นอน เฉพาะครึ่งปี 2015 เอกสาร รวมกับรูปของผมก็กินพื้นที่เข้าไปครึ่งนึงของความจุแล้ว รูปที่เหลือไม่มีที่ลงแน่
ดังนั้นตัดทิ้งไป เอาไว้แบ็คอัพเอกสารเหมือนเดิม
Dtac Capture App
เพิ่งไปงานเปิดตัวมาเมื่อเดือนเมษายนนี่เอง (https://www.facebook.com/BlueNileCreation/timeline/story?ut=43&wstart=0&wend=1435733999&hash=1252180897780219393&pagefilter=3)
ผมมีส่วนลดแลกแจกแถมโน่นนี่นั่นอยู่ ก็ทำให้ได้พื้นที่มามากพอที่จะแบ็คอัพรูปทั้งหมดที่ผมมีได้ก็เลยเอามาใช้
ถ้าแบ็คอัพรูปถ่ายจากโทรศัพท์ก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น Capture ทำให้เองหมด
ส่วนการแบ็คอัพรูปจากคลัง ผมก็แค่ก็อปรูปจากในคอมพ์มาใส่โทรศัพท์หรือแท็บเล็ต ที่เหลือ Capture จัดการอัพโหลดให้หมด โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันสักนิด เหมาะมากกับ end usee แบบผม (เรียก user ดูยังจะเก่งไปหน่อย) พอแบ็คอัพหมดก็ลบโฟลเดอร์นี้ เอาภาพชุดใหม่มาใส่ต่อไป
มีคนถามว่าแล้วถ้าหมดโปรผมจะทำอย่างไร จะซื้อเพิ่มมั้ย ?
ผมบอกว่ากว่าจะถึงปีหน้าที่หมดโปรของผม ก็คงมีบริการฟรีไม่จำกัดพื้นที่แล้วแหละ
(ตอนนั้นผมก็ไม่คิดว่าอย่าว่าแต่ปีนึงเลย แค่เดือนต่อมา Google Photos มีแบบ unlimited แล้ว)
ระบบแสดงภาพเรียงตามลำดับเวลาได้ ก็ช่วยให้หาภาพได้ง่าย แต่ว่าจะหาแบบซับซ้อน หรือทำอะไรยากๆ มันก็เกินกำลังไปหน่อย
แอพนี้เน้นไปที่เก็บภาพได้ง่ายๆ ไม่ได้เน้นฟีเจอร์เยอะแยะ มีแอพครบถ้วนสำหรับ Android และ iOS เปิดดูจากคอมพ์ได้อีกต่างหาก
การแบ็คอัพ และเรียกภาพกลับทำได้ราบรื่นรวดเร็วดี
ไม่ใช่เครื่องมือที่เหมาะสำหรับการแบ็คอัพเป็นจริงเป็นจังเท่าไหร่ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้มากเท่าไหร่ แบบ batch ก็ไม่ได้ หรือได้แบบไม่สะดวก (มากๆ)
จะเหมาะกับคนทั่วไป ที่จะแบ็คอัพรูปที่ถ่ายประจำวันจากโทรศัพท์มือถือเสียมากกว่า เผื่อเอาไว้กรณีโทรศัพท์หายจะได้ยังมีรูปดูอยู่
แอพนี้ผูกกับเบอร์โทรศัพท์ และพื้นที่เก็บภาพก็มีตามแพ็คเกจโทรศัพท์ดีแทคที่ใช้อยู่ (เบอร์โทรศัพท์ค่ายอื่นได้ฟรี 2 GB)
Microsoft OneDrive
อันนี้ผมก็สะสม ทั้งเก็บโปรโมชั่นมาจากหลายที่ จนมีพื้นที่ 340 GB เหลือเฟือสำหรับเก็บภาพ
แต่โดยปกติผมไม่ได้ใช้ Microsoft Office เลยไม่ค่อยเอาอะไรไปเก็บไว้
ระบบแบ็คอัพรูปถ่ายก็มีไว้สำหรับแบ็คอัพรูปที่ถ่ายใหม่จากกล้องโทรศัพท์เท่านั้น ไม่สามารถแบ็คอัพโฟลเดอร์รูปอื่นๆ ได้
ถ้าจะอัพโหลดรูปอื่นๆ ก็ต้องใช้วิธีเลือกทีละรูปแล้วอัพโหลด (ไม่มี select all) ซึ่งรูปสามหมื่นกว่ารูปของผมคงทำไม่ได้ในทางปฏิบัติ
ไม่งั้นก็ผ่านคอมพิวเตอร์ก็ได้ มีแอพอำนวยความสะดวกในคอมพิวเตอร์เช่นเดียวกับ dropbox, google drive ซึ่งผมเคยทดลองไฟล์เล็กๆ ก็ยังไม่ค่อยเร็วเท่าไหร่เมื่อเทียบกับบริการอื่น
และมันยิ่งช้าไปอีกบนโทรศัพท์
ตอนแบ็คอัพไฟล์ที่เทส S6 ที่แก่งกระจาน Capture App กับ Google Photos แบ็คอัพรูป 2 ร้อยกว่ารูป เกือบ 3 ร้อย เสร็จไปก่อนเป็นวัน เกือบสองวันกว่า OneDrive จะอัพโหลดเสร็จตามมาทีหลัง
ส่วนการเลือกรูปแล้วอัพโหลดด้วยมือ ผมยังไม่สามารถอัพโหลดไฟล์ใหญ่ๆ สำเร็จเลยไม่ว่าบนคอมพ์ หรือผ่านมือถือ
ความสำเร็จสูงสุดของผมคือไฟล์วิดีโอขนาด 43 MB จำนวน 1 ไฟล์ และไฟล์รูปถ่าย 24 ล้านพิกเซล จำนวน 2 รูป จากความพยายามอัพโหลดสารพัดวิธี สารพัดไฟล์ประมาณ 2 วัน
อันนี้ก็ไม่รู้จะโทษ OneDrive หรือโทษ 3BB แถวบ้านผมดี
เอาไว้ให้เน็ตแถวบ้านสเถียรจะเทสอีกที แต่ตอนนี้มันได้รับผลกระทบจากเน็ตที่ไม่เสถียรแถวบ้านผม มากกว่า cloud เจ้าอื่นๆ ที่เทส
ป.ล. OneDrive ปีละ 70 เหรียญ (เดือนละ 6 เหรียญกว่าๆ) เก็บทุกสิ่งอย่างได้ไม่จำกัดเหมือน Amazon Cloud Drive แล้วก็ upload เป็นหลาย ๆ ไฟล์ หรือเป็นทีละ folder ก็ได้ แล้วยังมี MS office ไว้ใช้ฟรีด้วย
Google Photos
ไม้เด็ดของ Photos อยู่ตรงเก็บภาพและวิดีโอได้แบบไม่จำกัดจำนวน ถ้าเลือกแบ็คอัพแบบ Hi Quality ซึ่งจะเก็บภาพขนาด 16 ล้านพิกเซล และวิดีโอ Full HD
ข้อจำกัดคือ ภาพและวิดีโอจะถูกบีบอัดใหม่ด้วยระบบของ Google ภาพขนาดใหญ่กว่านี้ หรือวิดีโอ 2K, 4K จะถูกย่อลงมาเหลือเท่าที่กำหนดไว้
อยากจะแบ็คอัพแบบ original ก็ต้องกินพื้นที่ใน Google Drive ตามปกติ
สำหรับคนทั่วไป ภาพ 16 ล้านคุณภาพสูง กับ Full HD ก็เหลือเฟือแก่การใช้งานแล้ว
ซอฟท์แวร์ Photos ก็ทำงานได้รวดเร็วดีทั้งการแบ็คอัพ และดาวน์โหลด เลือกโฟลเดอร์ได้ เอาโฟลเดอร์จากคอมพ์มาโยนไว้ให้อัพโหลดได้ ก็ง่ายดี
ข้อดีอื่นคือ Collections ที่สร้างอัลบั้มให้อัตโนมัติ อาศัยตำแหน่งที่ถ่ายรูป กับลักษณะการถ่ายมันจะเดาเหตุการณ์และสร้างอัลบั้มภาพให้อัตโนมัติ สะดวกดี
บางทีก็จะสร้าง Creations หรือชื่อเดิม Auto-Awesome สร้างภาพเคลื่อนไหว แต่งภาพ หรือตัดแปะภาพให้อัตโนมัติ ผลงานมันบางทีก็เหลือเชื่อจริงๆ ตัดภาพรอยยิ้มจากภาพใกล้เคียง เอามาแปะในอีกภาพนึง อย่างเนียน
และมันยังเป็นอันหนึ่งอันเดียวแนบเนียนกับ Google Drive ทำให้ทำตัวเหมือนโฟลเดอร์หนึ่งในคอมพิวเตอร์เราไปด้วย
Flickr
เว็บรูปขวัญใจช่างภาพ คุณภาพมาเต็มๆ ระบบการจัดการไฟล์ภาพเป็นเลิศ น่าจะดีที่สุดแล้วในเว็บรูปประดามี
ให้พื้นที่ฟรี 1TB เหลือเฟือสำหรับการแบ็คอัพ เก็บรูปได้เป็นแสน
ความยุ่งยากประการเดียวคือต้องอัพโหลดด้วยคอมพิวเตอร์เท่านั้น แอพของฟลิกเกอร์ไม่รองรับอุปกรณ์ที่ผมมีในตอนนี้ ทั้ง Nexus 7, Galaxy S6, Zenfone4 แต่อย่าลืมว่ามันคือ social media ที่ฟีเจอร์ต่างๆ ถูกออกแบบมาเพื่อการนั้น ไม่ใช่ระบบแบ็คอัพ หรือ cloud storage โดยเฉพาะเหมือนบริการอื่น
ป.ล. ผมกลัวนโยบาย yahoo จริงๆ มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กลัวว่า flickr จะได้รับผลกระทบในทางไม่ดี
สรุปเรื่องการแบ็คอัพรูป
ถ้ายอมรับเรื่องความเร็ว (ช้า) ในการอัพโหลด ดาวน์โหลดได้ Amazon Cloud Drive น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ราคาปีละ 12 เหรียญ สำหรับรูป หรือ 60 เหรียญสำหรับทุกอย่างคงคุ้มค่าสำหรับนักถ่ายภาพไม่ว่ามืออาชีพ หรือมือสมัครเล่น ยังไงมันก็เพิ่มความอุ่นใจขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง และมันเป็นระบบที่ออกแบบมาสำหรับการแบ็คอัพ กับเรียกคืนอย่างเป็นจริงเป็นจัง ไม่ใช่อยู่ในลักษระ social media เหมือนที่อื่น
ถ้าเน้นของฟรี Google Photos น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับคนทั่วๆ ไป เพราะมันฟรี และเก็บได้ไม่จำกัดจำนวน ระดับคุณภาพไฟล์ก็อยู่ในระดับใช้งานได้สบายๆ มีแอพอำนวยความสะดวก
Dropbox กับ Onedrive เอาไว้เก็บเอกสารเป็นหลัก หรือมีเก็บรูปเล็กๆ น้อยๆ ดีกว่า
Capture ผมยังเป็นห่วงอยู่ เพราะถ้าเทียบข้อดีข้อเสียจริงๆ แล้ว ในระดับผู้ใช้ทั่วไปอาจจะไม่รู้สึกว่ามันแตกต่างจากที่อื่นอย่างไร มันดีตรงความเรียบง่าย ตรงไปตรงมา แต่มันเก็บตังค์นะ ราคาก็ไม่นับว่าถูก และฟีเจอร์อื่นที่แทบไม่มีอะไรเลย
Flickr ถ้ามันมีแอพที่ใช้งานได้สักหน่อย มันจะดีมาก ตอนนี้ขอผ่านไปก่อน
เลือกกันตามชอบละกัน
---------------------------------------------------