ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า
“ครั้นพระยาจักรีได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาพระนครแล้วจึงดำเนินการสับเปลี่ยนหน้าที่ของฝ่ายต่าง ๆ จนกระทั่งการป้องกันพระนครอ่อนแอลง พระยาจักรีได้ใส่ ร้ายให้พระศรีสาวราชว่าเป็นกบฏจึงถูกสำเร็จโทษ เมื่อเห็นว่าได้เวลาอันควรพระยาจักรีจึงให้สัญญาณแก่พม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาทุกด้าน และทำให้กองทัพพม่าเข้าสู่พระนครสำเร็จโดยใช้เวลาเพียง 1 เดือน
ในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2112 (เดือน๙ไทย) พระยาจักรีจึงให้สัญญาณแก่พม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาและเปิดประตูเมือง ทำให้ทัพพม่าเข้ายึดพระนครสำเร็จ กรุงศรีอยุธยาจึงตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า”..คราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า
“...มีคนไทยชื่อ พระยาพลเทพ ข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาเอาใจออกห่าง ลอบส่งศาสตราวุธเสบียงอาหารให้แก่พม่า สัญญาว่าจะเปิดประตู [ด้านทิศตะวันออก] คอยรับเมื่อพม่าเข้าโจมตี เข้าใจว่าเป็นบริเวณหัวรอหรือใกล้เคียง ซึ่งพม่าก็ได้ระดมเข้าตีกรุงศรีอยุธยาทางด้านนี้ ตามที่พระยาพลเทพนัดหมายไว้...” คราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2
หากยึดประวัติศาสตร์ไทยตามนี้(ใช่หรือไม่..ไม่รู้) ก็เท่ากับว่าการเสียกรุงศรีฯทั้ง 2 ครั้งให้กับพม่า มีคนไทยเป็นไส้ศึกให้กับพม่าทั้งสิ้น คอยส่งข่าวความเคลื่อนไหว ส่งกองกำลังบำรุง เสบียงอาหาร คอยตัดกำลังฝ่ายไทยให้อ่อนแอ สุดท้ายเปิดประตูเมืองให้พม่าเข้าตีจนกรุงแตก..ตกเป็นทาสของพม่า
“ไส้ศึก”แห่งกรุงศรีอยุธยา มีส่วนสำคัญที่ทำให้บ้านเมืองพินาศย่อยยับ วัดวังถูกทุบทำลายจนสิ้น ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังอยู่ทุกวันนี้ ผู้คนถูกฆ่าถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานทาสในพม่า เพราะฝีมือคนไทย สุดท้ายคนไทยไส้ศึกอย่างพระยาจักรีและพระยาพลเทพ ก็ล้วนถูกพม่าเด็ดหัวขาด โทษฐานทรยศต่อชาติของตัวเอง เพราะพม่าคิดว่า “ก็ขนาดบ้านมัน มันยังไม่รัก แล้วไฉนมันจะรักบ้านเรา คนเยี่ยงนี้เลี้ยงไม่เชื่อง”..สมน้ำหน้ามัน !
มองการเมืองไทยทุกวันนี้ เทียบกับประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เหตุการณ์ช่างละม้ายคล้ายกันไม่ผิดเพี้ยน คนในระบอบประชาธิปไตย อยู่ในพรรคเก่าแก่ มีสโลแกนอันโก้หรูว่า “เราเคารพระบอบรัฐสภา” วันหนึ่ง เมื่อเห็นว่าตนเองไม่ได้ประโยชน์ ไม่มีอำนาจ(ไม่ได้เป็นรัฐบาล) ก็เรียงหน้ากันออกมาคว่ำระบอบประชาธิปไตยจนสิ้นซาก เปิดประตูให้มีการยึดอำนาจที่เป็นของตนเองอย่างไม่คิดไยดี ..ไม่มีซึ่งความละอาย
นั่นหมายความว่า ตลอดเวลากว่า 60 ปีที่ตนดำรงอยู่ในระบอบนี้ ก็มิได้มีความศรัทธา เลื่อมใสใดๆต่อระบอบนี้สักนิด เพียงแต่ว่ามันเป็นแค่เวทีที่ทำให้ตนเองและพรรคพวกได้เข้ามามีอำนาจ เสวยแสวงผลประโยชน์จากระบอบเท่านั้น แต่หลังจากที่ตนเฝ้าวนเวียนเพื่อกลับมามีอำนาจอีก ก็กลับมิได้รับการตอบสนองจากประชาชน จึงใส่ร้ายว่าประชาชนโง่เง่า ไร้การศึกษา ไม่คู่ควรกับระบอบประชาธิปไตย จึงพากันล้มระบอบนี้เสียจนสำเร็จ..ดังที่เห็น
แต่เมื่อพระยาจักรีและพระยาพลเทพ ได้เปิดประตูเมืองให้พม่า จนเสียกรุงศรีฯจนสมใจตนแล้ว ตัวพระยาทั้ง 2 ก็มีจุดจบที่คล้ายๆกัน คือพม่ามิได้แต่งตั้งให้เป็นใหญ่ตามที่สัญญาไว้ แต่กลับจับไปตัดหัวเสียบประจาน เพราะถือว่าเป็นคนคดทรยศต่อแผ่นดินเกิด จากนั้นก็อยู่ครองกรุงศรีฯต่อไป ไม่คืนอำนาจให้คนไทยปกครองกันเอง..ตามที่รู้
พระยาจักรี คือไส้ศึกของกรุงศรีอยุธยาในปี 2112 ส่วนพระยาพลเทพคือไส้ศึกของกรุงศรีอยุธยาในปี 2310 แต่นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพและสมุนของพวกประชาธิปัตย์ คือไส้ศึกของระบอบประชาธิปไตยทั้งในปี 2549 และ 2557 เป็นผู้ทำให้ระบอบนี้ต้องย่อยยับลงคามือ เพราะอำนาจและผลประโยชน์..เพียงอยากจะได้อำนาจนั้น !
วันนี้ สาแก่ใจนัก ได้เห็นน้ำหน้าพวกไส้ศึกประชาธิปไตยเหล่านี้ พากันออกมาเห่าหอนเสียงโหยหวนหวังให้ทหารคืนอำนาจให้ โหยไห้ร้องหาการเลือกตั้งจนตัวสั่นระริก ระห้อยหาระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ กู่ร้องโหวกเหวกโวยวายทวงถามสัญญา กราบกรานขอให้ยึดหลักนิติรัฐนิติธรรม นั่งร้องไห้กระซิกๆคิดถึงวันวานที่ผ่านมา..ช่างน่าสมเพช
วันที่ตนเองมีอำนาจที่เรียก “ประชาธิปไตย” นี้อยู่ในกำมือแท้ๆ แม้จะทุกข์บ้างสุขบ้างแต่ไม่ทะนุถนอมไว้ กลับโยนไปให้คนอื่นหน้าตาเฉยเพื่อหวังทำลายพวกเดียวกันแค่นั้น แล้ววันนี้มีหน้ามาแหกปากเรียกหา อยากได้คืน เมินเสียเถอะไอ้พวกปรสิตการเมือง คราญครางต่อไป เห่าหอนต่อไป ให้เสียงแหบเสียงแห้ง เผื่อบางทีเขาจะคืนให้นะ ถ้าทนเสียงรำคาญไม่ไหว ..พยายามหน่อยแล้วกัน !!!
...ไส้ศึกประชาธิปไตย !...
ในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2112 (เดือน๙ไทย) พระยาจักรีจึงให้สัญญาณแก่พม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาและเปิดประตูเมือง ทำให้ทัพพม่าเข้ายึดพระนครสำเร็จ กรุงศรีอยุธยาจึงตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า”..คราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า “...มีคนไทยชื่อ พระยาพลเทพ ข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาเอาใจออกห่าง ลอบส่งศาสตราวุธเสบียงอาหารให้แก่พม่า สัญญาว่าจะเปิดประตู [ด้านทิศตะวันออก] คอยรับเมื่อพม่าเข้าโจมตี เข้าใจว่าเป็นบริเวณหัวรอหรือใกล้เคียง ซึ่งพม่าก็ได้ระดมเข้าตีกรุงศรีอยุธยาทางด้านนี้ ตามที่พระยาพลเทพนัดหมายไว้...” คราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2
หากยึดประวัติศาสตร์ไทยตามนี้(ใช่หรือไม่..ไม่รู้) ก็เท่ากับว่าการเสียกรุงศรีฯทั้ง 2 ครั้งให้กับพม่า มีคนไทยเป็นไส้ศึกให้กับพม่าทั้งสิ้น คอยส่งข่าวความเคลื่อนไหว ส่งกองกำลังบำรุง เสบียงอาหาร คอยตัดกำลังฝ่ายไทยให้อ่อนแอ สุดท้ายเปิดประตูเมืองให้พม่าเข้าตีจนกรุงแตก..ตกเป็นทาสของพม่า
“ไส้ศึก”แห่งกรุงศรีอยุธยา มีส่วนสำคัญที่ทำให้บ้านเมืองพินาศย่อยยับ วัดวังถูกทุบทำลายจนสิ้น ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังอยู่ทุกวันนี้ ผู้คนถูกฆ่าถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานทาสในพม่า เพราะฝีมือคนไทย สุดท้ายคนไทยไส้ศึกอย่างพระยาจักรีและพระยาพลเทพ ก็ล้วนถูกพม่าเด็ดหัวขาด โทษฐานทรยศต่อชาติของตัวเอง เพราะพม่าคิดว่า “ก็ขนาดบ้านมัน มันยังไม่รัก แล้วไฉนมันจะรักบ้านเรา คนเยี่ยงนี้เลี้ยงไม่เชื่อง”..สมน้ำหน้ามัน !
มองการเมืองไทยทุกวันนี้ เทียบกับประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เหตุการณ์ช่างละม้ายคล้ายกันไม่ผิดเพี้ยน คนในระบอบประชาธิปไตย อยู่ในพรรคเก่าแก่ มีสโลแกนอันโก้หรูว่า “เราเคารพระบอบรัฐสภา” วันหนึ่ง เมื่อเห็นว่าตนเองไม่ได้ประโยชน์ ไม่มีอำนาจ(ไม่ได้เป็นรัฐบาล) ก็เรียงหน้ากันออกมาคว่ำระบอบประชาธิปไตยจนสิ้นซาก เปิดประตูให้มีการยึดอำนาจที่เป็นของตนเองอย่างไม่คิดไยดี ..ไม่มีซึ่งความละอาย
นั่นหมายความว่า ตลอดเวลากว่า 60 ปีที่ตนดำรงอยู่ในระบอบนี้ ก็มิได้มีความศรัทธา เลื่อมใสใดๆต่อระบอบนี้สักนิด เพียงแต่ว่ามันเป็นแค่เวทีที่ทำให้ตนเองและพรรคพวกได้เข้ามามีอำนาจ เสวยแสวงผลประโยชน์จากระบอบเท่านั้น แต่หลังจากที่ตนเฝ้าวนเวียนเพื่อกลับมามีอำนาจอีก ก็กลับมิได้รับการตอบสนองจากประชาชน จึงใส่ร้ายว่าประชาชนโง่เง่า ไร้การศึกษา ไม่คู่ควรกับระบอบประชาธิปไตย จึงพากันล้มระบอบนี้เสียจนสำเร็จ..ดังที่เห็น
แต่เมื่อพระยาจักรีและพระยาพลเทพ ได้เปิดประตูเมืองให้พม่า จนเสียกรุงศรีฯจนสมใจตนแล้ว ตัวพระยาทั้ง 2 ก็มีจุดจบที่คล้ายๆกัน คือพม่ามิได้แต่งตั้งให้เป็นใหญ่ตามที่สัญญาไว้ แต่กลับจับไปตัดหัวเสียบประจาน เพราะถือว่าเป็นคนคดทรยศต่อแผ่นดินเกิด จากนั้นก็อยู่ครองกรุงศรีฯต่อไป ไม่คืนอำนาจให้คนไทยปกครองกันเอง..ตามที่รู้
พระยาจักรี คือไส้ศึกของกรุงศรีอยุธยาในปี 2112 ส่วนพระยาพลเทพคือไส้ศึกของกรุงศรีอยุธยาในปี 2310 แต่นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพและสมุนของพวกประชาธิปัตย์ คือไส้ศึกของระบอบประชาธิปไตยทั้งในปี 2549 และ 2557 เป็นผู้ทำให้ระบอบนี้ต้องย่อยยับลงคามือ เพราะอำนาจและผลประโยชน์..เพียงอยากจะได้อำนาจนั้น !
วันนี้ สาแก่ใจนัก ได้เห็นน้ำหน้าพวกไส้ศึกประชาธิปไตยเหล่านี้ พากันออกมาเห่าหอนเสียงโหยหวนหวังให้ทหารคืนอำนาจให้ โหยไห้ร้องหาการเลือกตั้งจนตัวสั่นระริก ระห้อยหาระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ กู่ร้องโหวกเหวกโวยวายทวงถามสัญญา กราบกรานขอให้ยึดหลักนิติรัฐนิติธรรม นั่งร้องไห้กระซิกๆคิดถึงวันวานที่ผ่านมา..ช่างน่าสมเพช
วันที่ตนเองมีอำนาจที่เรียก “ประชาธิปไตย” นี้อยู่ในกำมือแท้ๆ แม้จะทุกข์บ้างสุขบ้างแต่ไม่ทะนุถนอมไว้ กลับโยนไปให้คนอื่นหน้าตาเฉยเพื่อหวังทำลายพวกเดียวกันแค่นั้น แล้ววันนี้มีหน้ามาแหกปากเรียกหา อยากได้คืน เมินเสียเถอะไอ้พวกปรสิตการเมือง คราญครางต่อไป เห่าหอนต่อไป ให้เสียงแหบเสียงแห้ง เผื่อบางทีเขาจะคืนให้นะ ถ้าทนเสียงรำคาญไม่ไหว ..พยายามหน่อยแล้วกัน !!!