พระอริยสงฆ์ในพระราชหฤทัย - หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
จากอดีตถึงยุคปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่ายังไม่มีพระคณาจารย์รูปใด
ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเท่าหลวงปู่แหวน
ในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
นอกเหนือจากการเสด็จพระราชดำเนินถึงวัดดอยแม่ปั๋ง
เพื่อนมัสการและสนทนาธรรมกับหลวงปู่หลายครั้งหลายครา
แล้วยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจัดสร้างสิ่งมงคล
โดยใช้รูปของหลวงปู่ นำมาแจกในพระราชพิธีสำคัญอีกด้วย
เมื่อครั้งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร
และประทับที่เชียงใหม่ หลังจากนั้นก็เสด็จไปดอยแม่ปั๋ง
หลวงปู่แหวนได้ทูลถวายต่อในหลวงตอนหนึ่งว่า
“พระองค์นั้นมัวแต่ห่วงคนอื่น ไม่ห่วงพระองค์เองเลย”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ล้นเกล้าทรงสรวลด้วยความพอพระทัย
มีอีกครั้งหนึ่ง สมัยที่ในหลวงทรงพระประชวรที่เชียงใหม่
ข้าราชบริพารได้นำเฮลิคอปเตอร์มานิมนต์หลวงปู่ให้ไปที่พระตำหนัก
เพื่อแผ่พลังจิตช่วยรักษาอาการประชวรของพระองค์
หลวงปู่ท่านปฏิเสธการนิมนต์ และได้บอกว่า
“อยู่ที่ไหนเฮาก็ส่งใจไปถึงพระองค์ได้ ก็ส่งไปทุกวันอยู่แล้ว”
หลวงปู่แหวนท่านตั้งสัจจะอธิษฐานว่า
แม้ท่านจะเจ็บป่วยก็จะไม่ไปรักษาที่โรงพยาบาล
แต่ในช่วงท้ายของชีวิต เมื่อในหลวงทรงอาราธนา
ท่านจึงยอมทำตาม และบอกว่าที่ไปเพราะในฐานะประชาชนคนหนึ่ง
หลวงปู่จึงไม่กล้าขัดพระราชประสงค์ได้
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ “ชินบุตรแห่งโลกธรรม”
เป็นวลีสักการะต่อยอดบุรุษ ผู้เกิดมา ยังมีชีวิตอยู่ และจากไป
อย่างดีงามหมดจดแล้ว ทั้งยังคงคุณค่าล้นเหลือ
ต่อผู้ยังตกทุกข์ได้ยากอย่างเราๆ ท่านๆ
คัดลอกมาจาก :: หนังสือตามรอยพระอริยเจ้า
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ พระอริยสงฆ์แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง
รวบรวมและเรียบเรียงโดย ดำรงธรรม
เรื่องราวพระอรหันต์ทั้งสอง กับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ และหลวงปู่หลุย จันทสาโร
ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์เอกหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตทั้งสิ้น
พระคุณเจ้าทั้งสององค์ได้เพียรอบรมธรรม
จากองค์หลวงปู่มั่นมาอย่างเข้มแข็ง
กระทั่งท่านทั้งสองสิ้นอาสวะกิเลส ถึงที่สุดแห่งธรรม
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่หลุยท่านได้มาพักที่วัดดอยแม่ปั๋ง
กะว่าจะอยู่กับหลวงปู่แหวนไปสักพักนึงก่อน
เพราะว่าเป็นคนจังหวัดเลยด้วยกัน
พออยู่ต่อมาหลวงปู่หลุยได้ยินข่าวว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จมากราบหลวงปู่แหวน
หลวงปู่หลุยได้ยินดังนั้นก็รีบไปอยู่ที่อื่น ไปอยู่ที่อำเภอแม่แตง
หลวงปู่หลุยท่านกลัวพูดกับพระราชามหากษัตริย์ไม่เป็น
หลวงปู่หลุยท่านพูดว่า
“พูดกับพระราชาไม่เป็น นี่คอขาดบาดตายนะเรา
เป็นพระป่าพระดงไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร”
ท่านพูดเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมากราบหลวงปู่แหวนแล้ว
หลวงปู่แหวนท่านก็พูดกับในหลวงว่า
“ท่านหลุยก็มาอยู่นี่แหละ แต่หนีไปอยู่ที่แม่แตงแล้ว
กลัวพูดกับพระราชามหากษัตริย์ไม่เป็น
กลัวคอขาดบาดตาย ว่าอย่างนั้น”
สมเด็จพระราชินีก็พูดออกมาว่า
“ไม่เป็นอย่างนั้นดอกพระเจ้าข้า
พวกดิฉันไม่ได้ถือยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรหรอกเจ้าข้า
พูดแบบนี้เป็นกันเองนี้แหละเจ้าข้า”
แล้วพระราชินีก็พูดกับหลวงปู่แหวนว่า
“เมื่อดิฉันกลับจากที่นี้ไปแล้ว
จะไปกราบหลวงปู่หลุยให้ได้ ไม่ต้องกลัวเจ้าข้า”
ในหลวงท่านเสด็จมากราบหลวงปู่แหวนแต่ละครั้ง
ตั้งแต่บ่ายสองโมง จนถึงหนึ่งทุ่มสองทุ่มเป็นประจำ
การเสด็จมาวัดดอยแม่ปั๋งแต่ละครั้ง ถือเป็นการส่วนตัวพระองค์เอง
ครั้นต่อมาสมเด็จพระราชินีได้ให้ราชเลขาไปตามหาหลวงปู่หลุย
ว่าท่านอยู่ที่ไหน ก็ทราบว่าหลวงปู่หลุยท่านไปพักอยู่ที่วัดหลวงปู่ตื้อ
หรือว่าวัดพระอาจารย์เปลี่ยน ผู้เขียนก็จำไม่ค่อยได้
สมเด็จพระราชินีก็ได้เสด็จไปกราบหลวงปู่หลุย
ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่หลุยก็ได้เข้าๆ ออกๆ อยู่กับพระราชวังตลอดมา
ตราบเท่าหลวงปู่หลุยมรณภาพ
อันนี้คือด้วยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม
ที่เป็นพระมหากษัตริย์ไทยของเรา
ได้เข้าไปถึงประชาชนทุกที่ทุกแห่งหนตำบลใดก็ตาม
มีพระเจ้าพระสงฆ์ที่ท่านได้ประพฤติปฏิบัติ
อยู่ในป่าในเขาที่ไหนๆ ก็ตาม ท่านก็ย่อมเข้าถึงที่ทุกๆ แห่ง
:b44: :b47: :b44:
เมื่อครั้งหลวงปู่แหวนอาพาธหนัก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้อาราธนาให้หลวงปู่
ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ตึกสุจิณฺโณ
ในหลวงได้รับเอาหลวงปู่ไว้เป็นคนไข้ของพระองค์เอง
ที่สุดเมื่อวันอังคารที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘
หลวงปู่แหวนก็ได้ละขันธ์อย่างสงบนิ่ง ในเวลา ๒๑.๕๓ น.
ข่าวการมรณภาพของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
ความก็ได้ทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาท
ในหลวงของเรา และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เหมือนกับว่าดินฟ้าถล่มไปทั่วเมืองไทย
ในหลวงก็ได้พระราชทานโกศหลวง และน้ำหลวงอาบศพ
ที่สถานพระราชทานปริญญาบัตรแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้น
ก็ได้มีบุคคลทั่วทิศานุทิศไปเคารพศพหลวงปู่แหวน เป็นครั้งสุดท้าย
แล้วก็ได้นำศพของหลวงปู่มาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดดอยแม่ปั๋งตามเดิม
สิริอายุหลวงปู่แหวนได้ ๙๙ ปี
ในหลวงท่านขออายุหลวงปู่แหวนให้ได้ ๑๒๐ ปี
แต่หลวงปู่ก็พูดกับในหลวงว่า เอาเพียง ๙๙ ปี ก็พอเถอะ
มันลำบากผู้อยู่ แล้วก็ได้ ๙๙ ปี ตามที่ว่าเอาไว้จริงๆ
อันนี้คือพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาแท้จริง
ขอให้พวกเราทุกๆ คน จงนำเอาเป็นตัวอย่างของหลวงปู่แหวนนี้
ไว้สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป
ศาสนาของเราจะได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปข้างหน้า
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
“วิสุทธิเทพแห่งดอยแม่ปั๋ง”
พระ เดชพระคุณหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นพระอริยสงฆ์ที่พระเจ้าแผ่นดินและประชาชนทั่วประเทศเคารพนับถือ ท่านได้ธุดงค์ไปตามป่าเขาต่างๆ ทั้งทางภาคอีสาน ภาคเหนือ ประเทศพม่า และประเทศอินดีย ด้วยเท้าเปล่า โดยมีหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นสหายธรรม
นับ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ครองราชย์มาจนถึงปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า ยังไม่มีพระอริยะคณาจารย์รูปใด ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเทียบเท่าหลวงปู่แหวน พระองค์เสด็จพระราชดำเนินพร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ยังวัดดอยแม่ปั๋ง เพื่อนมัสการและสนทนาธรรมกับหลวงปู่แหวน หลายครั้งหลายหนยังความปลาบปลื้มปีติให้แก่ประชาชนที่พบเห็นท่านทั้งสอง เมื่อสนทนากับประหนึ่งพ่อกับลูก เป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งนัก
ท่าน เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๐ ตรงกับขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน ณ บ้านนาโป่ง ตำบลโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดเลย เป็นบุตรของนายใส และนางแก้ว รามสิริ
ขณะที่ท่านอายุได้ ๕ ขวบ ก่อนที่มารดาจะถึงแก่กรรมได้เรียกท่านเข้ามาใกล้ ๆ ได้จับแขนไว้แน่นแล้วกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย แม่ยินดีต่อลูกสมบัติใด ๆ ในโลกนี้จะเป็นกี่ล้านกี่โกฏิ แม่ก็ไม่ยินดี แม่จะยินดีมากถ้าลูกจะบวชให้แม่ เมื่อลูกบวชแล้วให้ตายกับผ้าเหลือง ไม่ต้องสึกออกมามีลูกมีเมียนะลูกนะ ” เมื่อมารดาท่านสั่งเสียเสร็จไม่นานก็ถึงแก่กรรม
ท่านบรรพชาเมื่ออายุ ๙ ขวบ (พ.ศ. ๒๔๓๙) ยายได้นำตัวไปถวายอุปชฌาย์ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านนาโป่ง จังหวัดเลย เพื่อบรรพชาเป็นสามเณร
ปี พุทธศักราช ๒๔๕๒ ได้รับการอุปสมบทเป็นพระฝ่ายมหานิกาย ที่วัดสร้างถ่อ อำเภอเกษมสีมา (ปัจจุบันเป็นอำเภอม่วงสามสิบ) จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระอาจารย์แว่น เป็นพระอุปชฌาย์
ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๑ อายุ ๓๑ ปี พรรษา ๑๑ ท่านได้ออกเดินธุดงค์รอนแรมผ่านทางอำเภอม่วงสามสิบ อำเภอคำชะอี อำเภอหนองหาร อำเภอบ้านผือ เข้าไปกราบนมัสการและฝากตัวเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านพระอาจารย์มั่นได้กล่าวสอนสั้นๆ ว่า “ต่อไปนี้ให้ภาวนา ส่วนความรู้ที่เรียนมาให้เอาใส่ตู้ไว้ก่อน”
คำว่า “ภาวนา” เพียงคำเดียวเท่านั้น ทำให้จิตใจของท่านเอิบอิ่มปลื้มปีติอย่างบอกไม่ถูก ท่านไม่เคยได้ยินได้ฟังคำนี้จากผู้ใดมาก่อน ประหนึ่งว่าทางแห่งความปรารถนาของท่านได้ใกล้จะสำเร็จตามความมุ่งหวังตั้งใจ แล้ว
ท่านญัตติเป็นพระฝ่ายธรรมยุต เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ณ วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูนพีสี เป็นพระกรรมวาจาจารย์
กาลต่อมาท่านได้จาริกธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ไปทางภาคเหนือ พม่า อินเดีย นับแต่นั้นมาท่านไม่ได้กลับมาทางภาคอีสานอีกเลย
หลวง ปู่ขาว อนาลโย เพื่อนสหธรรมิกรูปหนึ่งของท่านซึ่งได้หลุดพ้นทุกข์ไปได้แล้ว ได้ชวนท่านเดินทางกลับมาภาคอีสานด้วยกัน หลวงปู่แหวนได้กล่าวตอบว่า “ถ้ายังไม่บรรลุพระอรหัตตผลตามความมุ่งหวังจะไม่ไปจากเมืองเชียงใหม่”
วัน หนึ่งในปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ หลวงปู่ขาว ซึ่งอยู่ที่ถ้ำกลองเพล จังหวัดอุดรธานี ได้ปรารภเป็นเชิงรำพึงอนุโมทนากับสานุศิษย์ของท่านขึ้นว่า “เมื่อคืนได้นิมิตเห็นท่านแหวนจิตใจใสเหมือนแก้ว สว่างไสวทั้งองค์ ท่านแหวนได้อรหัตผลแล้วหนอ” นี้คือคำอุทานของพระอรหันต์
ปีพุทธศักราช ๒๕๐๕ ท่านได้รับนิมนต์มาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋ง และได้อยู่จำพรรษาจวบจนสิ้นอายุขัยของท่าน
จากหนังสือ พระธุตังคเจดีย์ เจดีย์แห่งพระอรหันต์
วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
นิพพานัง ปัจจโยโหตุ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
ทานศีลเนกขัมมะปัญญาวิริยะขันติสัจจะอธิษฐานเมตตาอุเบกขา
พระอริยสงฆ์ในพระราชหฤทัย - หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
พระอริยสงฆ์ในพระราชหฤทัย - หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
จากอดีตถึงยุคปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่ายังไม่มีพระคณาจารย์รูปใด
ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเท่าหลวงปู่แหวน
ในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
นอกเหนือจากการเสด็จพระราชดำเนินถึงวัดดอยแม่ปั๋ง
เพื่อนมัสการและสนทนาธรรมกับหลวงปู่หลายครั้งหลายครา
แล้วยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจัดสร้างสิ่งมงคล
โดยใช้รูปของหลวงปู่ นำมาแจกในพระราชพิธีสำคัญอีกด้วย
เมื่อครั้งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร
และประทับที่เชียงใหม่ หลังจากนั้นก็เสด็จไปดอยแม่ปั๋ง
หลวงปู่แหวนได้ทูลถวายต่อในหลวงตอนหนึ่งว่า
“พระองค์นั้นมัวแต่ห่วงคนอื่น ไม่ห่วงพระองค์เองเลย”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ล้นเกล้าทรงสรวลด้วยความพอพระทัย
มีอีกครั้งหนึ่ง สมัยที่ในหลวงทรงพระประชวรที่เชียงใหม่
ข้าราชบริพารได้นำเฮลิคอปเตอร์มานิมนต์หลวงปู่ให้ไปที่พระตำหนัก
เพื่อแผ่พลังจิตช่วยรักษาอาการประชวรของพระองค์
หลวงปู่ท่านปฏิเสธการนิมนต์ และได้บอกว่า
“อยู่ที่ไหนเฮาก็ส่งใจไปถึงพระองค์ได้ ก็ส่งไปทุกวันอยู่แล้ว”
หลวงปู่แหวนท่านตั้งสัจจะอธิษฐานว่า
แม้ท่านจะเจ็บป่วยก็จะไม่ไปรักษาที่โรงพยาบาล
แต่ในช่วงท้ายของชีวิต เมื่อในหลวงทรงอาราธนา
ท่านจึงยอมทำตาม และบอกว่าที่ไปเพราะในฐานะประชาชนคนหนึ่ง
หลวงปู่จึงไม่กล้าขัดพระราชประสงค์ได้
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ “ชินบุตรแห่งโลกธรรม”
เป็นวลีสักการะต่อยอดบุรุษ ผู้เกิดมา ยังมีชีวิตอยู่ และจากไป
อย่างดีงามหมดจดแล้ว ทั้งยังคงคุณค่าล้นเหลือ
ต่อผู้ยังตกทุกข์ได้ยากอย่างเราๆ ท่านๆ
คัดลอกมาจาก :: หนังสือตามรอยพระอริยเจ้า
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ พระอริยสงฆ์แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง
รวบรวมและเรียบเรียงโดย ดำรงธรรม
เรื่องราวพระอรหันต์ทั้งสอง กับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ และหลวงปู่หลุย จันทสาโร
ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์เอกหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตทั้งสิ้น
พระคุณเจ้าทั้งสององค์ได้เพียรอบรมธรรม
จากองค์หลวงปู่มั่นมาอย่างเข้มแข็ง
กระทั่งท่านทั้งสองสิ้นอาสวะกิเลส ถึงที่สุดแห่งธรรม
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่หลุยท่านได้มาพักที่วัดดอยแม่ปั๋ง
กะว่าจะอยู่กับหลวงปู่แหวนไปสักพักนึงก่อน
เพราะว่าเป็นคนจังหวัดเลยด้วยกัน
พออยู่ต่อมาหลวงปู่หลุยได้ยินข่าวว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จมากราบหลวงปู่แหวน
หลวงปู่หลุยได้ยินดังนั้นก็รีบไปอยู่ที่อื่น ไปอยู่ที่อำเภอแม่แตง
หลวงปู่หลุยท่านกลัวพูดกับพระราชามหากษัตริย์ไม่เป็น
หลวงปู่หลุยท่านพูดว่า
“พูดกับพระราชาไม่เป็น นี่คอขาดบาดตายนะเรา
เป็นพระป่าพระดงไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร”
ท่านพูดเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมากราบหลวงปู่แหวนแล้ว
หลวงปู่แหวนท่านก็พูดกับในหลวงว่า
“ท่านหลุยก็มาอยู่นี่แหละ แต่หนีไปอยู่ที่แม่แตงแล้ว
กลัวพูดกับพระราชามหากษัตริย์ไม่เป็น
กลัวคอขาดบาดตาย ว่าอย่างนั้น”
สมเด็จพระราชินีก็พูดออกมาว่า
“ไม่เป็นอย่างนั้นดอกพระเจ้าข้า
พวกดิฉันไม่ได้ถือยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรหรอกเจ้าข้า
พูดแบบนี้เป็นกันเองนี้แหละเจ้าข้า”
แล้วพระราชินีก็พูดกับหลวงปู่แหวนว่า
“เมื่อดิฉันกลับจากที่นี้ไปแล้ว
จะไปกราบหลวงปู่หลุยให้ได้ ไม่ต้องกลัวเจ้าข้า”
ในหลวงท่านเสด็จมากราบหลวงปู่แหวนแต่ละครั้ง
ตั้งแต่บ่ายสองโมง จนถึงหนึ่งทุ่มสองทุ่มเป็นประจำ
การเสด็จมาวัดดอยแม่ปั๋งแต่ละครั้ง ถือเป็นการส่วนตัวพระองค์เอง
ครั้นต่อมาสมเด็จพระราชินีได้ให้ราชเลขาไปตามหาหลวงปู่หลุย
ว่าท่านอยู่ที่ไหน ก็ทราบว่าหลวงปู่หลุยท่านไปพักอยู่ที่วัดหลวงปู่ตื้อ
หรือว่าวัดพระอาจารย์เปลี่ยน ผู้เขียนก็จำไม่ค่อยได้
สมเด็จพระราชินีก็ได้เสด็จไปกราบหลวงปู่หลุย
ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่หลุยก็ได้เข้าๆ ออกๆ อยู่กับพระราชวังตลอดมา
ตราบเท่าหลวงปู่หลุยมรณภาพ
อันนี้คือด้วยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม
ที่เป็นพระมหากษัตริย์ไทยของเรา
ได้เข้าไปถึงประชาชนทุกที่ทุกแห่งหนตำบลใดก็ตาม
มีพระเจ้าพระสงฆ์ที่ท่านได้ประพฤติปฏิบัติ
อยู่ในป่าในเขาที่ไหนๆ ก็ตาม ท่านก็ย่อมเข้าถึงที่ทุกๆ แห่ง
:b44: :b47: :b44:
เมื่อครั้งหลวงปู่แหวนอาพาธหนัก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้อาราธนาให้หลวงปู่
ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ตึกสุจิณฺโณ
ในหลวงได้รับเอาหลวงปู่ไว้เป็นคนไข้ของพระองค์เอง
ที่สุดเมื่อวันอังคารที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘
หลวงปู่แหวนก็ได้ละขันธ์อย่างสงบนิ่ง ในเวลา ๒๑.๕๓ น.
ข่าวการมรณภาพของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
ความก็ได้ทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาท
ในหลวงของเรา และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เหมือนกับว่าดินฟ้าถล่มไปทั่วเมืองไทย
ในหลวงก็ได้พระราชทานโกศหลวง และน้ำหลวงอาบศพ
ที่สถานพระราชทานปริญญาบัตรแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้น
ก็ได้มีบุคคลทั่วทิศานุทิศไปเคารพศพหลวงปู่แหวน เป็นครั้งสุดท้าย
แล้วก็ได้นำศพของหลวงปู่มาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดดอยแม่ปั๋งตามเดิม
สิริอายุหลวงปู่แหวนได้ ๙๙ ปี
ในหลวงท่านขออายุหลวงปู่แหวนให้ได้ ๑๒๐ ปี
แต่หลวงปู่ก็พูดกับในหลวงว่า เอาเพียง ๙๙ ปี ก็พอเถอะ
มันลำบากผู้อยู่ แล้วก็ได้ ๙๙ ปี ตามที่ว่าเอาไว้จริงๆ
อันนี้คือพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาแท้จริง
ขอให้พวกเราทุกๆ คน จงนำเอาเป็นตัวอย่างของหลวงปู่แหวนนี้
ไว้สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป
ศาสนาของเราจะได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปข้างหน้า
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
“วิสุทธิเทพแห่งดอยแม่ปั๋ง”
พระ เดชพระคุณหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นพระอริยสงฆ์ที่พระเจ้าแผ่นดินและประชาชนทั่วประเทศเคารพนับถือ ท่านได้ธุดงค์ไปตามป่าเขาต่างๆ ทั้งทางภาคอีสาน ภาคเหนือ ประเทศพม่า และประเทศอินดีย ด้วยเท้าเปล่า โดยมีหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นสหายธรรม
นับ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ครองราชย์มาจนถึงปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า ยังไม่มีพระอริยะคณาจารย์รูปใด ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเทียบเท่าหลวงปู่แหวน พระองค์เสด็จพระราชดำเนินพร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ยังวัดดอยแม่ปั๋ง เพื่อนมัสการและสนทนาธรรมกับหลวงปู่แหวน หลายครั้งหลายหนยังความปลาบปลื้มปีติให้แก่ประชาชนที่พบเห็นท่านทั้งสอง เมื่อสนทนากับประหนึ่งพ่อกับลูก เป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งนัก
ท่าน เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๐ ตรงกับขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน ณ บ้านนาโป่ง ตำบลโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดเลย เป็นบุตรของนายใส และนางแก้ว รามสิริ
ขณะที่ท่านอายุได้ ๕ ขวบ ก่อนที่มารดาจะถึงแก่กรรมได้เรียกท่านเข้ามาใกล้ ๆ ได้จับแขนไว้แน่นแล้วกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย แม่ยินดีต่อลูกสมบัติใด ๆ ในโลกนี้จะเป็นกี่ล้านกี่โกฏิ แม่ก็ไม่ยินดี แม่จะยินดีมากถ้าลูกจะบวชให้แม่ เมื่อลูกบวชแล้วให้ตายกับผ้าเหลือง ไม่ต้องสึกออกมามีลูกมีเมียนะลูกนะ ” เมื่อมารดาท่านสั่งเสียเสร็จไม่นานก็ถึงแก่กรรม
ท่านบรรพชาเมื่ออายุ ๙ ขวบ (พ.ศ. ๒๔๓๙) ยายได้นำตัวไปถวายอุปชฌาย์ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านนาโป่ง จังหวัดเลย เพื่อบรรพชาเป็นสามเณร
ปี พุทธศักราช ๒๔๕๒ ได้รับการอุปสมบทเป็นพระฝ่ายมหานิกาย ที่วัดสร้างถ่อ อำเภอเกษมสีมา (ปัจจุบันเป็นอำเภอม่วงสามสิบ) จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระอาจารย์แว่น เป็นพระอุปชฌาย์
ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๑ อายุ ๓๑ ปี พรรษา ๑๑ ท่านได้ออกเดินธุดงค์รอนแรมผ่านทางอำเภอม่วงสามสิบ อำเภอคำชะอี อำเภอหนองหาร อำเภอบ้านผือ เข้าไปกราบนมัสการและฝากตัวเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านพระอาจารย์มั่นได้กล่าวสอนสั้นๆ ว่า “ต่อไปนี้ให้ภาวนา ส่วนความรู้ที่เรียนมาให้เอาใส่ตู้ไว้ก่อน”
คำว่า “ภาวนา” เพียงคำเดียวเท่านั้น ทำให้จิตใจของท่านเอิบอิ่มปลื้มปีติอย่างบอกไม่ถูก ท่านไม่เคยได้ยินได้ฟังคำนี้จากผู้ใดมาก่อน ประหนึ่งว่าทางแห่งความปรารถนาของท่านได้ใกล้จะสำเร็จตามความมุ่งหวังตั้งใจ แล้ว
ท่านญัตติเป็นพระฝ่ายธรรมยุต เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ณ วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูนพีสี เป็นพระกรรมวาจาจารย์
กาลต่อมาท่านได้จาริกธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ไปทางภาคเหนือ พม่า อินเดีย นับแต่นั้นมาท่านไม่ได้กลับมาทางภาคอีสานอีกเลย
หลวง ปู่ขาว อนาลโย เพื่อนสหธรรมิกรูปหนึ่งของท่านซึ่งได้หลุดพ้นทุกข์ไปได้แล้ว ได้ชวนท่านเดินทางกลับมาภาคอีสานด้วยกัน หลวงปู่แหวนได้กล่าวตอบว่า “ถ้ายังไม่บรรลุพระอรหัตตผลตามความมุ่งหวังจะไม่ไปจากเมืองเชียงใหม่”
วัน หนึ่งในปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ หลวงปู่ขาว ซึ่งอยู่ที่ถ้ำกลองเพล จังหวัดอุดรธานี ได้ปรารภเป็นเชิงรำพึงอนุโมทนากับสานุศิษย์ของท่านขึ้นว่า “เมื่อคืนได้นิมิตเห็นท่านแหวนจิตใจใสเหมือนแก้ว สว่างไสวทั้งองค์ ท่านแหวนได้อรหัตผลแล้วหนอ” นี้คือคำอุทานของพระอรหันต์
ปีพุทธศักราช ๒๕๐๕ ท่านได้รับนิมนต์มาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋ง และได้อยู่จำพรรษาจวบจนสิ้นอายุขัยของท่าน
จากหนังสือ พระธุตังคเจดีย์ เจดีย์แห่งพระอรหันต์
วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
นิพพานัง ปัจจโยโหตุ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
ทานศีลเนกขัมมะปัญญาวิริยะขันติสัจจะอธิษฐานเมตตาอุเบกขา