จะทำไงดีกับ สถานะคลุมเครือของคนสองศาสนา

สวัสดีทุกท่านครับ

ก่อนอื่นผมขอเล่าเรื่องของผมให้ฟังอย่างคร่าวๆ ก่อนจะเข้าเรื่องหลักที่ผมอยากจะปรึกษาทุกคน

ผมเป็นลูกชายคนโตครับ เรามีพี่น้องกันสามคน  พ่อของผมเป็นคาทอลิกครับ  ส่วนแม่ของผมเป็นพุทธ  ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าทำไม แม่ถึงไม่นับถือตามพ่อ อาจเป็นเพราะแม่เองจะเป็นผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเอง เป็นคนหัวสมัยใหม่ เขาไม่สนใจเรื่องกฎอะไรของคาทอลิก ส่วนพ่อเองก็ไม่มีอำนาจจะไปว่าอะไรแม่เท่าไหร่ครับ ออกแนวเกรงใจเมีย แต่ท่านทั้งสองรักกันมากครับ  คราวนี้ตอนเด็กๆ ผมกับน้องชายอีกสองคน เราจะถูกพ่อพาไปโบสถ์ครับ เราชอบนั่งฟังบาทหลวงสอนพระคัมภีร์ เพราะเรื่องราวในไบเบิ้ลมันสนุกครับ มันไม่น่าเบื่อ ชื่อก็จำง่าย เราเป็นเด็กเราก็สนใจในศาสนาคริสต์มาก  แต่พอมีพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ หรืองานบุญ งานศีลใหญ่ทั้งหลาย แม่กับคุณตาคุณยาย ท่านก็จะพาเราสามพี่น้องไปตลอดครับ พาไปกราบพระ พาไปทำบุญ และพิธีกรรมต่างๆ ของภาคเหนือครับ (บ้านผมเป็นคนเหนือแท้) ซึ่งผมจะอิดออดมาตั้งแต่เล็กๆ มันน่าเบื่อ มันจะหลับ มันวุ่นวาย

จนพอผมเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นประมาณ ม.ปลาย เรื่องร้ายๆก็เกิดขึ้นกับครอบครัวผม คุณตาท่านเสียครับ  แล้วตามหลักของศาสนาพุทธแล้ว หลานชายมักจะถูกพาไปบวชหน้าไฟใช่ไหมครับ  นั่นแหละครับ ผมกับน้องชายอีกสองคนถูก ป้า น้า อา ญาติฝั่งแม่ และคุณยาย บังคับให้โกนหัวบวชหน้าไฟครับ  ตอนนั้นผมอึดอัดมากๆ แต่พอหันไปมองน้องสองคน ทั้งสองกลับเฉยๆ และยอมบวชครับ  ผมเลยต้องยอมบวชทั้งที่ในใจสับสนครับ เพราะผมกำลังจะก้าวข้ามการเหยียบเรือสองแคมกับเรื่องของศาสนา  ผมไปคุยกับพ่อสองคนตอนที่ผมไปอยู่วัดแล้วครับ ตอนนั้นคุณยายอยากให้เราอยู่ 1 อาทิตย์ ผมนั่งคุยกับพ่อว่าถ้าผมจะตัดขาดจากการทำอะไรที่ชาวพุทธเขาทำกัน ผมจะเป็นเด็กที่แย่ไหม  เพราะตอนนี้ใจผมอยู่กับพระเจ้า และผมอยากทำในสิ่งที่คริสตชนเขาทำกัน ไม่ใช่ไปๆมาๆเหมือนเอาแน่นอนไม่ได้ในความศรัทธาของตัวเองแบบนี้  พ่อผมบอกว่า "งั้นลูกก็เลือกเลย ศาสนาทุกศาสนา สอนให้เราเป็นคนดี ทำให้เราสบายใจเมื่อเราเหนื่อยล้า ลูกอยากนับถือศาสนาไหนพ่อไม่ว่า"

เมื่อจบงานศพของคุณตา ผมเดินไปหาแม่ และพูดกับแม่ว่า "ผมจะนับถือคริสต์ตามพ่อแล้วนะครับแม่"  ท่านมองหน้าผม แล้วก็ยิ้มๆ

ผมเริ่มทำในสิ่งที่ผมทำได้ในวัยมัธยมปลาย  เข้าโบสถ์ เรียนพระคัมภีร์  ผมทำมันแบบนั้นจนผมจบ ม.ปลาย โดยที่ผมจะโดนญาติทางแม่ระแคะระคายตลอดว่าเหมือนนอกคอกนอกเหล่า  ไม่ฟังผู้ใหญ่ แต่ก็ยังมีพ่อที่เป็นกำลังใจให้เสมอครับ

ผมมาเรียน กทม.  น้องชายก็แยกย้ายไปเรียนที่อื่น พอสิ้นปี เรากลับบ้าน  ญาติทางฝั่งยายจะทำบุญบ้าง  เลี้ยงพระบ้าง ซึ่งผมจะไม่ไปเลยสักงาน ต่างจากน้องที่ทำทุกอย่างตามที่ญาติทางแม่บอก  ผมได้ยินแต่คำพูดของคนระแวกนั้นว่า ผมไม่รักดี  นับถือลัทธิบ้าบอ  คือบ้านยายผมอยู่ บ้านนอกมากครับ มากแบบถนนลูกรังดินแดงยังมีอยู่จนทุกวันนี้   ผมไม่เคยคุยกับแม่ครับ  และแม่ก็ไม่เคยดุด่าว่าผมเรื่องนี้เลย  ผมกลับบ้านทุกปี เจอเหน็บแนมทุกปี จากญาติๆทางแม่ แต่ที่ผมเสียใจที่สุดคือคุณยายครับ

วันหนึ่งคุณยายมานั่งข้างๆผม ท่านถามผมว่า คริสต์ เขาสอนอะไรมาบ้าง  ผมก็ร่ายยาวเลยครับ เล่าเรื่องในพระคัมภีร์ให้ยายฟัง  คำสอนต่างๆโดยไม่พาดพิงศาสนาพุทธเลยแม้แต่น้อย  แต่พอยายฟังจบ ท่านลุกขึ้นแล้วไปในห้องนอน ท่านเดินออกมาพร้อมหนังสือธรรมะ ของพุทธจากหลวงพ่อนุ้นนี่นั่น ประมาณ 20 เล่ม แล้วโยนมาที่พื้น  ท่านพูดว่า "อ่านซะ  อ่านให้มันเข้าเลือดบ้าง เผื่อยายตายไปจะได้มาเผาผี" แล้วท่านก็เดินไปเหมือนจะโมโห ผมงงและอึ้งไปพักใหญ่ครับ ทำไมยายถึงคิดว่าผมจะไม่มาเผาผียาย  ผมเครียดมากๆ วันนั้นผมเลยกลับ กทม. ก่อนกำหนด

และล่าสุดครับ  ผมอายุครบ 25 ปี  ผมฉลองวันเกิดตัวเองด้วยการเข้าโบสถ์ ผมไปบริจาคเงินให้เด็กด้อยโอกาส   และสิ่งที่ทำให้ผมน้ำตาไหลคือแม่บอกกับผมว่า "ขอพระเจ้าอวยพรนะลูก"  จนกระทั่งน้าโทรมาครับ และอวยพรวันเกิดปกติ ก่อนจะวางสาย น้าบอกผมว่า ผมควรจะบวชให้บุพการีนะ กลับมาบ้าน น้าจะจัดการเรื่องพิธีให้ แม่เขาอยากเกาะชายผ้าเหลืองเอ็งขึ้นสวรรค์  แต่ท่านไม่กล้าพูดกับเอ็ง  ยายก็อยากเกาะผ้าเหลืองแกนะ ยายก็แก่มากแล้ว ท่านรอวันที่เอ็งจะโกนผมห่มเหลืองให้ชื่นใจ  

ผมได้แต่นิ่งไปครับ  และโทรไปหาพ่อ  พ่อพูดกับผมแค่ว่า "ทุกอย่างอยู่ที่ใจเราศรัทธานะลูก"  

ผมไปปรึกษาใครต่อใคร ทุกคนก็บอกว่า ผมจะสงบเมื่ออยู่ในผ้าเหลืองนะ มันทำให้คนคิดได้นะ มันดีนะ  แล้วศาสนาที่ผมเชื่อ และศรัทธาละครับ?  ศาสนาคริสต์ทำให้ผมสงบ ทำให้ผมสบายใจทุกครั้งที่ผมหันเข้าหาพระเจ้า

ผมเลยตัดสินใจ  ว่าผมคือลูกของพระเจ้า มาตั้งแต่เล็กๆ พระเจ้านำทางผมมาตลอด ผมเปิดใจรับพระองค์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  ผมเลยโทรไปบอกปัดน้าว่าผมไม่บวช  และย้ำว่า ไม่มีทางบวช ตลอดชีวิต   น้าโกรธมากครับ ท่านให้ยายมากล่อมผม  แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิม  และคำพูดที่แทงใจผมก็ออกมาจากปากยายครับ  "งั้นถ้ายายตาย ถ้าแกไม่นุ่งผ้าเหลือง ก็อย่ามางานศพยาย"

ตอนนี้ผมร้องไห้เลยครับ  กลับบ้านไป (บ้านผมกับบ้านยายและญาติๆทางแม่อยู่ในระแวกเดียวกัน) ทุกคนไม่ค่อยคุยกับผม  จนผมอึดอัด  ผมย้ายไปนอนบ้านย่าแทนครับ ย่าบอกกับผมว่า สิ่งที่ผมทำมันไม่ผิด แต่อคติของคนมันแรงเกินไปที่คนอย่างผมจะไปเปลี่ยนแปลงมันได้ ให้ผมทำใจให้สบาย  ถ้ากลับมาแล้วไม่สบายใจให้มานอนบ้านย่า  (ญาติทางพ่อผม เป็นคริสตชนทุกคนครับ)

ผมไม่กล้าคุยกับแม่ แม่ก็ไม่คุยกับผมเรื่องนี้ ท่านยังปกติ เราโทรคุยกันเรื่องอื่นเหมือนเดิมเฮฮาตามประสาแม่สมัยใหม่  น้องๆผมก็ไม่ปฎิเสธการบวชทั้งคู่ เพราะเขานับถือพุทธ  

ผมควรจะทำยังไงดีให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนตอนผมเด็กๆ  ให้ทุกคนคุยกับผมเหมือนเดิมเพราะผมรักคุณยายมากๆ

ผมก็ไม่รุ้ว่าพ่อผ่านมันมาได้ยังไง  แต่ผมเคยเห็นรูปแต่งงานเก่าๆของพ่อกับแม่ มันเป็นงานแบบคริสต์ แล้วทำไมยายถึงยอม

ผมไม่อยากให้ยายเป็นแบบนี้ เพราะท่านเริมป่วย เข้า รพ.แบบน่าใจหายหลายครั้งแล้ว  ผมกลัววันนั้นมาถึงแล้วท่านจากผมไปด้วยสถานะแบบนี้ ผมคงรู้สึกผิดไปจนตาย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่