สวัสดีครับ พอดีวันนี้ได้มีโอกาส หาข้อมูลเรื่องอาหารแมว ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดี มีกระทู้มากมายเต็มไปหมด อีกทั้งมีอาหารแมวให้เลือกหลายแบรนด์ หลายราคา ปวดหัวนิดๆ จนกระทั่งไปเจอ ข้อมูลดีๆ จึงเอามาแบ่งปัน คิดว่าจะเป็นประโยชน์จ้า ถ้าหากซ้ำต้องขออภัยด้วยนะครับ
ขอขอบพระคุณ ที่มาจาก
http://www.catandkittenstory.com/board.asp?id=45456
.............................................................................
อาจจะยืดยาวซักหน่อยนะครับ แต่ก็เป็นประโยชน์ดีสำหรับคนที่กำลังเลือกซื้ออาหารให้กับน้องแมวครับ
อย่างที่ทราบกันว่าอาหารแมวจะแบ่งออกเป็น 3 เกรด คือ
1.เกรด Commercial เป็นอาหารทั่วๆไป ใช้ของเหลือจากการผลิตอาหารคนมาทำเป็นอาหารสัตว์ ได้แก่พวกที่มีขายตาม supermarket ต่างๆ เช่นยี่ห้อ Tesco, CP เป็นต้น
2.เกรด Premium เกรดพรีเมียมจะราคาแพงกว่าเกรด commercial เพราะจะใช้วัตถุดิบดีขึ้นมาจากธรรมดา อาจจะใช้ By product บ้าง แต่หลักๆแล้ว แหล่งโปรตีน ควรจะมาจาก เนื้อสัตว์เป็นหลักแต่อาหารกลุ่มนี้จะต้องมี การ Guarantee ถึงปริมาณสารอาหารที่อยู่ในถุง และมีส่วนผสมครบถ้วนตามที่อ้างอิงไว้ทุกประการ มีการบอกอายุสินค้า (วันหมดอายุนั่นล่ะ) และรวมถึงมีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อฝ่ายลูกค้าได้
3.เกรด Holistic อาหารเกรดนี้คือการใช้เนื้อสัตว์เป็นหลัก และเนื้อสัตว์ที่ใช้จะไม่ใช่วัตถุดิบเหลือจากการผลิต (By product) เช่น เนื้อไก่ก็เนื้อชิ้นๆ มาทำให้แห้งแล้วปรุง ไม่มีส่วนผสมของ หงอนไก่ ตูดไก่ กระดูกไก่ เครื่องในไก่ โดยการการันตี จะลึกกว่า ไม่วิเคราะห์แล้วโปรตีน มันหยาบไป นี่เลย เราเน้นที่ “กรดอะมิโน” ที่ร่างกายสัตว์จะได้จากการย่อยโปรตีน ว่าอาหารของเราเน้นแน่นอนว่าย่อยแล้วได้กรดอะมิโนที่สำคัญครบถ้วน มีการเติมสารอาหารที่เหมาะสม เช่นกลุ่ม DHT หรือโอเมก้า กรุ๊ปทั้งหลายทั้งปวง เติม prebiotic, probiotic ตามแต่บริษัทท่านจะสรรหามาให้ลูกค้าเชยชม
ซึ่งปกติแล้วผู้บริโภคจะมีการซื้อสองแบบหลักๆ คือ
ถามเพื่อน(ชาวบ้าน) เอาว่าอาหารยี่ห้อไหนดี แล้วก็เดินไปซื้อตามที่เพื่อนแนะนำมา ซึ่งจริงๆก็เป็นการเลือกที่ถูกต้องวิธีนึง แต่ก็อาจจะไม่ได้ดีไปทั้งหมด และอาจจะไม่ดีกับกระเป๋าของตัวเอง แต่บางครั้ง หลายยี่ห้อที่เพื่อนว่ามา เพื่อนเราก็จ่ายแพงเพื่อซื้อของคุณภาพ ธรรมดาเช่นกัน (ง่ายๆ ก็คือตกเป็นเหยื่อเช่นเดียวกัน)
ดังนั้น เวลาจะซื้ออาหารน้องแมว กวาดตาดูยี่ห้อแล้ว ไล่ดูฉลาก สิ่งที่พิจารณา จะมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1.ส่วนที่เรียกว่า Guarantee analysis
2.ส่วนผสมที่อาหารสัตว์ใช้ (ingredient)
สองส่วนนี้ต้องดูประกอบกันเสมอ โดย guarantee analysis ก็คือปริมาณของ %protein, %fat, %fiber, %carbohydrate ของอาหารสัตว์ทั้งหมดนั่นเอง
โดยปกติแล้ว อาหารเม็ดควรจะมี ความชื้นหรือ % moisture ต่ำกว่า 10 % ไม่อย่างนั้นมันจะขึ้นราได้ง่ายมาก
และอาหารสัตว์เกือบทุกยี่ห้อตอนนี้จะใช้วิธีการเขียนส่วนผสมเหมือนกันหมด โดย การเขียนเรียงตามลำดับส่วนผสมที่ “น้ำหนักมากที่สุด” ไปถึงส่วนผสมที่น้อยที่สุด (เพราะ AAFCO บังคับให้เขียนแบบนี้นั่นเอง ไม่อย่างนั้นบริษัทก็เขียนกันตามใจชอบ)
จะดูง่ายๆ คือ "ดูรายชื่อ 4 อันดับแรกของส่วนประกอบหลัก" ในการพิจารณาคุณภาพอาหารสัตว์ เพราะราคาของอาหารสัตว์เกรด premium , กับ holistic มีราคาที่สูง ทำให้สินค้าในระดับ commercial หลายยี่ห้อ พยายามผลักดัน ฉุดดัน ลากดัน อาหารสินค้าของตัวเองให้ผู้บริโภคเข้าใจว่ามันคืออาหารเกรด premium เพื่อราคาที่มากกว่าเดิม
ส่วนเกรด premium หลายยี่ห้อ ก็พยายามจะอัพเกรดตัวเองให้เทียบเท่ากับ Holistic grade เพื่อให้ได้ราคาที่มากกว่าเดิม ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ รวมถึงการพยายามอัพเกรดฉลากอาหารด้วย
ทีนี้จะมายกตัวอย่างอาหารเกรดพรีเมียมนะครับ เช่น
1st choice ส่วนผสม 4 อันดับแรกของเค้าจะเป็น Chicken, Chicken Meal, brown rice (ข้าวกล้อง), brewer's rice (ข้าวบรีวเวอร์)
ANF ส่วนผสม 4 อันดับแรก คือ Chicken Meal (44%), Ground Brown rice, Chicken Fat, Beet Pulp
แล้วยังไงต่อ ตรงนี้จะมาขยายความนะครับ คำว่า Meal หรือ ไม่มี meal แตกต่างกันตรงไหน
Meal คือ เนื้ออบแห้ง ปกติแล้ว แหล่งโปรตีนที่มาจากเนื้อสัตว์ เวลาเราอ่านส่วนประกอบจะมีทั้ง Chicken meal, และ chicken ธรรมดาใช่ไหมครับ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีคำว่า meal ตามหลัง คือเนื้อสัตว์สดๆ ที่ไม่ได้ผ่านการอบแห้ง ถามว่าพอมันไปอยู่ตรงฉลาก แล้วมันเป็นเรื่องแท็คติกของผู้ผลิตตรงไหน?? ก็ตรงที่ว่า มันเป็นอาหารแห้งแต่เล่นเอาเนื้อสดไปผสม มันก็ต้องผ่านการทำแห้งก่อน หากผู้ผลิตคำนวณน้ำหนักก่อนทำแห้งของเนื้อไก่มา มันก็ต้องมากที่สุดล้ำหน้าน้ำหนักส่วนผสมอื่นๆ
น้ำหนักโปรตีน+น้ำก็จะหายไป ถึง หนึ่งในสามส่วน เทียบง่ายๆ ก็คือ
4 Chicken = 1 chicken meal
เพราะฉะนั้น.. ถ้าเห็นฉลากอาหารอยางเช่น
Chicken, ground corn, rice, barley
ให้โยน Chicken ที่อยู่จากอันดับ 1 ไปลงอันดับ 4 ได้เลย แล้วพิจารณา ว่า อาหารยี่ห้อนั้นใช้ ground corn เป็นส่วนประกอบที่เยอะที่สุดแทน
ซึ่งอาหารเกรด Commercial (ผมใช้ตัวย่อเอานะครับ) เช่น วิสกุต, แมวส้ม, หรือ มีโม ส่วนผสมหลักเลยจะเป็นพวกกลูเตนข้าวโพด และข้าวทั้งหลาย ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตไม่ค่อยจำเป็นต่อน้องแมว เพราะเค้าต้องการโปรตีนมากกว่า ซึ่งโปรตีนที่ว่าก็ได้มาจาก Chicken, Chicken meal ทั้งหลายนี่แหละครับ และบางยี่ห้อก็เค็ม อาจทำให้น้องแมวเป็นไตได้นะฮะ
แต่ว่าก็คงจะต้องดูเจ้านายเราว่าเค้าชอบรึป่าวด้วยสินะ แต่ยังไงก็เลือกอาหารดีๆให้เค้ากินและเหมาะกับราคาที่เราต้องจ่าย เพื่อน้องแมวจะได้มีสุขภาพดีอยู่กับเรานานๆ นะครับ
Refer. คุณ RayOn
วิธีเลือกซื้ออาหารแมว & กลยุทธ์บนฉลากอาหาร (คัดลอกมาจ้า) เผื่อเป็นประโยชน์
ขอขอบพระคุณ ที่มาจาก http://www.catandkittenstory.com/board.asp?id=45456
.............................................................................
อาจจะยืดยาวซักหน่อยนะครับ แต่ก็เป็นประโยชน์ดีสำหรับคนที่กำลังเลือกซื้ออาหารให้กับน้องแมวครับ
อย่างที่ทราบกันว่าอาหารแมวจะแบ่งออกเป็น 3 เกรด คือ
1.เกรด Commercial เป็นอาหารทั่วๆไป ใช้ของเหลือจากการผลิตอาหารคนมาทำเป็นอาหารสัตว์ ได้แก่พวกที่มีขายตาม supermarket ต่างๆ เช่นยี่ห้อ Tesco, CP เป็นต้น
2.เกรด Premium เกรดพรีเมียมจะราคาแพงกว่าเกรด commercial เพราะจะใช้วัตถุดิบดีขึ้นมาจากธรรมดา อาจจะใช้ By product บ้าง แต่หลักๆแล้ว แหล่งโปรตีน ควรจะมาจาก เนื้อสัตว์เป็นหลักแต่อาหารกลุ่มนี้จะต้องมี การ Guarantee ถึงปริมาณสารอาหารที่อยู่ในถุง และมีส่วนผสมครบถ้วนตามที่อ้างอิงไว้ทุกประการ มีการบอกอายุสินค้า (วันหมดอายุนั่นล่ะ) และรวมถึงมีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อฝ่ายลูกค้าได้
3.เกรด Holistic อาหารเกรดนี้คือการใช้เนื้อสัตว์เป็นหลัก และเนื้อสัตว์ที่ใช้จะไม่ใช่วัตถุดิบเหลือจากการผลิต (By product) เช่น เนื้อไก่ก็เนื้อชิ้นๆ มาทำให้แห้งแล้วปรุง ไม่มีส่วนผสมของ หงอนไก่ ตูดไก่ กระดูกไก่ เครื่องในไก่ โดยการการันตี จะลึกกว่า ไม่วิเคราะห์แล้วโปรตีน มันหยาบไป นี่เลย เราเน้นที่ “กรดอะมิโน” ที่ร่างกายสัตว์จะได้จากการย่อยโปรตีน ว่าอาหารของเราเน้นแน่นอนว่าย่อยแล้วได้กรดอะมิโนที่สำคัญครบถ้วน มีการเติมสารอาหารที่เหมาะสม เช่นกลุ่ม DHT หรือโอเมก้า กรุ๊ปทั้งหลายทั้งปวง เติม prebiotic, probiotic ตามแต่บริษัทท่านจะสรรหามาให้ลูกค้าเชยชม
ซึ่งปกติแล้วผู้บริโภคจะมีการซื้อสองแบบหลักๆ คือ
ถามเพื่อน(ชาวบ้าน) เอาว่าอาหารยี่ห้อไหนดี แล้วก็เดินไปซื้อตามที่เพื่อนแนะนำมา ซึ่งจริงๆก็เป็นการเลือกที่ถูกต้องวิธีนึง แต่ก็อาจจะไม่ได้ดีไปทั้งหมด และอาจจะไม่ดีกับกระเป๋าของตัวเอง แต่บางครั้ง หลายยี่ห้อที่เพื่อนว่ามา เพื่อนเราก็จ่ายแพงเพื่อซื้อของคุณภาพ ธรรมดาเช่นกัน (ง่ายๆ ก็คือตกเป็นเหยื่อเช่นเดียวกัน)
ดังนั้น เวลาจะซื้ออาหารน้องแมว กวาดตาดูยี่ห้อแล้ว ไล่ดูฉลาก สิ่งที่พิจารณา จะมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1.ส่วนที่เรียกว่า Guarantee analysis
2.ส่วนผสมที่อาหารสัตว์ใช้ (ingredient)
สองส่วนนี้ต้องดูประกอบกันเสมอ โดย guarantee analysis ก็คือปริมาณของ %protein, %fat, %fiber, %carbohydrate ของอาหารสัตว์ทั้งหมดนั่นเอง
โดยปกติแล้ว อาหารเม็ดควรจะมี ความชื้นหรือ % moisture ต่ำกว่า 10 % ไม่อย่างนั้นมันจะขึ้นราได้ง่ายมาก
และอาหารสัตว์เกือบทุกยี่ห้อตอนนี้จะใช้วิธีการเขียนส่วนผสมเหมือนกันหมด โดย การเขียนเรียงตามลำดับส่วนผสมที่ “น้ำหนักมากที่สุด” ไปถึงส่วนผสมที่น้อยที่สุด (เพราะ AAFCO บังคับให้เขียนแบบนี้นั่นเอง ไม่อย่างนั้นบริษัทก็เขียนกันตามใจชอบ)
จะดูง่ายๆ คือ "ดูรายชื่อ 4 อันดับแรกของส่วนประกอบหลัก" ในการพิจารณาคุณภาพอาหารสัตว์ เพราะราคาของอาหารสัตว์เกรด premium , กับ holistic มีราคาที่สูง ทำให้สินค้าในระดับ commercial หลายยี่ห้อ พยายามผลักดัน ฉุดดัน ลากดัน อาหารสินค้าของตัวเองให้ผู้บริโภคเข้าใจว่ามันคืออาหารเกรด premium เพื่อราคาที่มากกว่าเดิม
ส่วนเกรด premium หลายยี่ห้อ ก็พยายามจะอัพเกรดตัวเองให้เทียบเท่ากับ Holistic grade เพื่อให้ได้ราคาที่มากกว่าเดิม ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ รวมถึงการพยายามอัพเกรดฉลากอาหารด้วย
ทีนี้จะมายกตัวอย่างอาหารเกรดพรีเมียมนะครับ เช่น
1st choice ส่วนผสม 4 อันดับแรกของเค้าจะเป็น Chicken, Chicken Meal, brown rice (ข้าวกล้อง), brewer's rice (ข้าวบรีวเวอร์)
ANF ส่วนผสม 4 อันดับแรก คือ Chicken Meal (44%), Ground Brown rice, Chicken Fat, Beet Pulp
แล้วยังไงต่อ ตรงนี้จะมาขยายความนะครับ คำว่า Meal หรือ ไม่มี meal แตกต่างกันตรงไหน
Meal คือ เนื้ออบแห้ง ปกติแล้ว แหล่งโปรตีนที่มาจากเนื้อสัตว์ เวลาเราอ่านส่วนประกอบจะมีทั้ง Chicken meal, และ chicken ธรรมดาใช่ไหมครับ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีคำว่า meal ตามหลัง คือเนื้อสัตว์สดๆ ที่ไม่ได้ผ่านการอบแห้ง ถามว่าพอมันไปอยู่ตรงฉลาก แล้วมันเป็นเรื่องแท็คติกของผู้ผลิตตรงไหน?? ก็ตรงที่ว่า มันเป็นอาหารแห้งแต่เล่นเอาเนื้อสดไปผสม มันก็ต้องผ่านการทำแห้งก่อน หากผู้ผลิตคำนวณน้ำหนักก่อนทำแห้งของเนื้อไก่มา มันก็ต้องมากที่สุดล้ำหน้าน้ำหนักส่วนผสมอื่นๆ
น้ำหนักโปรตีน+น้ำก็จะหายไป ถึง หนึ่งในสามส่วน เทียบง่ายๆ ก็คือ
4 Chicken = 1 chicken meal
เพราะฉะนั้น.. ถ้าเห็นฉลากอาหารอยางเช่น
Chicken, ground corn, rice, barley
ให้โยน Chicken ที่อยู่จากอันดับ 1 ไปลงอันดับ 4 ได้เลย แล้วพิจารณา ว่า อาหารยี่ห้อนั้นใช้ ground corn เป็นส่วนประกอบที่เยอะที่สุดแทน
ซึ่งอาหารเกรด Commercial (ผมใช้ตัวย่อเอานะครับ) เช่น วิสกุต, แมวส้ม, หรือ มีโม ส่วนผสมหลักเลยจะเป็นพวกกลูเตนข้าวโพด และข้าวทั้งหลาย ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตไม่ค่อยจำเป็นต่อน้องแมว เพราะเค้าต้องการโปรตีนมากกว่า ซึ่งโปรตีนที่ว่าก็ได้มาจาก Chicken, Chicken meal ทั้งหลายนี่แหละครับ และบางยี่ห้อก็เค็ม อาจทำให้น้องแมวเป็นไตได้นะฮะ
แต่ว่าก็คงจะต้องดูเจ้านายเราว่าเค้าชอบรึป่าวด้วยสินะ แต่ยังไงก็เลือกอาหารดีๆให้เค้ากินและเหมาะกับราคาที่เราต้องจ่าย เพื่อน้องแมวจะได้มีสุขภาพดีอยู่กับเรานานๆ นะครับ
Refer. คุณ RayOn