ฝรั่งง้อไทย (อ้าวไหนว่าคว่ำบาตร คสช. ไง) ห้าๆๆๆๆๆ

กระทู้สนทนา
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ – มีข่าวเล็กๆข่าวหนึ่งในเว็บไซต์ของทำเนียบรัฐบาล (www.thaigov.go.th) เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 ว่า นายตีแยรี วีโต (Thierry Viteau) เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี

ข่าวนี้เป็นข่าวธรรมดาข่าวหนึ่ง ทั้งในสายตาของคนข่าว และในสายตาของคนอ่าน เป็นข่าวที่ไม่มีใครสนใจ เพราะเป็นเพียงข่าวการเข้าพบเยี่ยมคารวะรองนายกฯท่านหนึ่งของทูตประเทศหนึ่ง ซึ่งโดยปกติก็จะมีทูตต่างประเทศแวะเวียนไปพบปะคารวะคนในรัฐบาลเป็นระยะอยู่แล้ว ข่าวแบบนี้หนังสือพิมพ์ไม่ลง ทีวีไม่ออกข่าว

แต่กับข่าวนี้ ไม่ธรรมดา มีนัยะสำคัญมาก

ประการหนึ่ง ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกกลุ่มอียู กลุ่มอียูซึ่งเดิน “ตามก้น” หรือมีนโยบายต่างประเทศเป็นเนื้อเดียวกับอเมริกา อเมริกาเอาอย่างไหง กลุ่มอียูเอาด้วย (ยังมีอีกสามสี่ประเทศนอกกลุ่มอียูที่มีนโยบายต่างประเทศ “ตามก้น” อเมริกา คือ อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา)

กลุ่มอียูและอีกสามสี่ประเทศนี้จะ “แท็คทีม” กับอเมริกาดำเนินนโยบายต่างประเทศพิมพ์เดียวกัน เช่น จะส่งทหารไปรบในประเทศไหน หรือจะมีมาตรการแซงชั่น กดดันประเทศใด ก็จะทำด้วยกัน

กรณีประเทศไทย จะเห็นได้ว่าภายหลังจากที่ คสช.ยึดอำนาจ อเมริกาและกลุ่มอียู รวมทั้งอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา รวมหัวกันกดดันประเทศไทยอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่ว่าจะเป็นการลดความสัมพันธ์หรือลดความร่วมมือ รวมทั้งการออกมาตรการกดดัน ล่าสุดกลุ่มอียูได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการที่ คสช.เรียกนักการเมืองของขั้วทักษิณไปรายงานตัวและปรับทัศนคติ โดยกล่าวหาว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ไทยคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว ซึ่งแถลงการณ์ของอียูครั้งนี้มีตามมาภายหลังจากที่อเมริกาเคลื่อนไหวกดดันไทยครั้งใหม่ เริ่มจากการส่งผู้ช่วย รมต.ต่างประเทศมาไทย บวกกับความเคลื่อนไหวของอุปทูตอเมริกาในไทย รวมทั้งการที่กระทรวงการต่างประเทศอเมริกาออกถ้อยแถลงกดดันประเทศไทยหลายครั้งในช่วงนี้

ทว่า ภายใต้ท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ต่อ คสช. และรัฐบาลไทยดังกล่าว กลับมีท่าทีอีกด้านหนึ่งซึ่งตรงข้ามออกมาอย่างเงียบๆ นั่นคือท่าทีที่แสดงออกถึงความต้องการที่จะร่วมมือในด้านต่างๆกับไทย (หรือที่จริงก็คือท่าทีต้องการร่วมมีผลประโยชน์ในไทย)

อเมริกาก็มีท่าทีแบบนี้ออกมาผ่านทางทูตอเมริกาคนที่แล้วรวมถึงอุปทูตคนปัจจุบัน แต่ท่าทีของอเมริกาแสดงออกไปในทางต้องการรักษาความร่วมมือทางด้านความมั่นคงหรือทางทหารกับไทยต่อไป แม้ว่าด้านหนึ่งขู่ว่าจะลดความร่วมมือทางทหารหรือความมั่นคงกับไทย แต่ที่สุดอเมริกาก็ทำไม่ได้อย่างที่พูด จำต้องคงความสัมพันธ์ในระดับเดิมต่อไป การฝึกร่วมทางทหาร “คอบร้าโกลด์” เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ขู่ถึงขนาดว่าจะยกเลิกการฝึกร่วมกับไทย ต่อมาขู่ว่าจะไม่ฝึกร่วมทางทหาร แต่จะร่วมด้านอื่น ผลสุดท้ายก็ส่งทหารและอาวุธเข้ามาฝึกร่วมเต็มตัวเหมือนเดิม

อเมริกาไม่กล้าถอนตัวออกไปเพราะมีจีนคอยจ้องเสียบเข้ามาเป็น “พี่ใหญ่” ทางทหารแทน เพราะจีนวันนี้จ้องที่จะแย่งชิงการเป็นมหาอำนาจทางการเมืองและการทหารกับอเมริกาในเอเซีย หลังจากที่จีนพุ่งขึ้นมาเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลกสำเร็จ

แต่ที่จริง ผลประโยชน์ของอเมริกาในไทยไม่ได้มีเฉพาะด้านความมั่นคงและการทหาร แต่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลในไทยอยู่ด้วย ซึ่งอเมริกา “รักษาฟอร์ม” ไม่ยอมพูดถึง ที่สำคัญได้แก่ ผลประโยชน์ด้านพลังงานของบริษัทอเมริกันที่ชื่อ “เชฟรอน” ซึ่งลงทุนขุดเจาะและพัฒนาแหล่งพลังงานในไทยมานาน

ไม่เฉพาะแต่อเมริกาเท่านั้นที่มีผลประโยชน์ในไทย และต้องการรักษาหรือเพิ่มผลประโยชน์ในไทย ทุกประเทศในอียูรวมทั้งอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา ก็ล้วนมีผลประโยชน์ในไทย โดยเฉพาะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ประเทศ โดยเฉพาะเยอรมันี อังกฤษ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในไทยค่อนข้างมาก

ดังนั้น ทุกประเทศที่มีผลประโยชน์ในไทยจึงต้องเล่นบท “สองหน้า” กับไทย หน้าหนึ่งเดินตามก้นอเมริกากดดันไทย อีกหน้าหนึ่งส่งทูตประจำไทยหรือส่ง รมต.มาเยือน เข้าพบปะหารือกับบุคคลสำคัญในรัฐบาลของ คสช. เพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์เดิมไม่ให้กระทบกระเทือน แต่ที่สำคัญที่สุดคือไม่ต้องการ “ตกขบวน” การร่วมวงศ์ไพบูลย์แสวงหาผลประโยชน์จากไทยในยุคที่ไทยต้องประเคนผลประโยชน์ให้ต่างชาติเพื่อแลกกับการยอมรับและความเป็นมิตรจากนานาประเทศ

ต่างชาติมองออกว่าไทยต้องทำตัวเป็น “ซานต้าครอส” เพื่อแจกของขวัญให้ทุกชาติ ดังนั้น จึงไม่มีใครอยากพลาดนาทีทอง นอกจากนี้ กลุ่มประเทศตะวันตกก็ไม่อยาก “ตีงูให้กากิน” โดยปล่อยให้จีนและญี่ปุ่นเข้ามาสวาปามของขวัญจาก “ซานต้าครอส” แต่เพียงผู้เดียว

การที่ทูตฝรั่งเศสเข้าพบ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ก็เพราะเหตุผลข้างต้น และฝรั่งเศสก็ได้แสดงท่าทีอย่างไม่อ้อมค้อมว่าต้องการอะไรจากไทย ทูตฝรั่งเศสประจำไทยกล่าวว่า ฝรั่งเศสยังมีความสนใจที่จะมีส่วนร่วมในโครงการก่อสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านคมนาคมขนส่งของไทย อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง นอกจากนี้ บริษัทฝรั่งเศสแสดงความสนใจในการสำรวจพลังงานปิโตรเลียมและโอกาสการลงทุนทางด้านพลังงานนิวเคลียร์ในไทย ซึ่งต่อมาภายหลังการเข้าพบ  ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ออกมาเปิดเผยว่า บริษัทน้ำมัน TOTAL ของฝรั่งเศสสนใจเข้าประมูลสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ด้วย

ประการที่สอง การที่ทูตฝรั่งเศสเข้าพบ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ดูๆไปก็เป็นเรื่องปกติ เพราะ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เป็นรองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ใครจะคุยเรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจก็ต้องไปคุยกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร หรือไม่ก็ไปคุยกับนายกฯ

แต่ที่จริงเป็นเรื่องที่มีนัยะสำคัญ เพราะตอนนี้ต้องถือว่าประเทศตะวันตกรวมทั้งอเมริกาแทบไม่มี “ช่องทาง” ที่จะคุยกับ คสช. และรัฐบาลได้เลย เพราะอเมริกาและตะวันตกได้ประกาศตัวยืนอยู่ตรงข้าม คสช. และรัฐบาลอย่างชัดเจน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆทูตของประเทศตะวันตกจะเข้าไปคุยกับนายกฯของไทยซึ่งสวมหมวกหัวหน้า คสช. ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ขณะนี้ คสช. และรัฐบาลเองก็เท็คไซด์ไปที่จีนและญี่ปุ่นอย่างชัดเจนเช่นกัน ตั้งแต่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ รวมทั้งบุคคลสำคัญในรัฐบาลอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ก็กลายเป็นผู้มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับจีนไปอีกคน ขณะที่คีย์แมนคนสำคัญในการทำให้ คสช. และรัฐบาลหันไปพิงจีนและญี่ปุ่นคือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คสช.ด้านเศรษฐกิจ ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นดีลเม็คเกอร์กับตะวันตกและอเมริกาได้ อเมริกาและตะวันตกจึงไม่มีใครที่จะคุยด้วยได้ ก่อนหน้านี้ มี นายดอน ปรมัติถ์วินัย รมช.ต่างประเทศ อดีตทูตไทยประจำสหรัฐฯ เคยถูกคาดหวังว่าจะเป็น “ตัวเชื่อม” ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐฯ ไทย-อียู แต่เมื่อนายดอนออกมาตอบโต้ผู้ช่วย รมต.ต่างประเทศอเมริกาอย่างรุนแรง ก็ทำให้นายดอนไม่อยู่ในฐานะที่จะคุยกับตะวันตกไปอีกคน

กลายเป็นว่าในตอนนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ดูจะเป็นตัวเชื่อมไปโดยปริยายระหว่าง คสช. และรัฐบาล กับตะวันตก และอาจถึงขั้นเป็นดีลเม็คเกอร์คนสำคัญกับตะวันตกเพื่อปรับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น

สถานะของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ในตอนนี้จึงถือว่ามีความสำคัญ จากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าอาจถูกปรับออกจากตำแหน่ง เพราะตอนนี้เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เท็คไซด์ข้างใดข้างหนึ่ง

ก่อนหน้านี้มีทูตหลายประเทศ (แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่จีนและญี่ปุ่น) เข้าพบปะหารือกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ทั้งจากประเทศตะวันตกและจากหลายประเทศที่ต้องการเสนอตัวร่วมมือกับไทย เช่น เกาหลีใต้

จากท่าที “สองหน้า” ของตะวันตกดังกล่าว ไทยจะต้องอ่านให้ขาด มองให้ออกบนพื้นฐานความจริง เพื่อจะได้ดำเนินนโยบายอย่างชาญฉลาด ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างหรือเป็น “หมู” ให้ชาติใดชาติหนึ่งเถือ และไม่ถูกผลักไปเป็นศัตรูกับใคร

การถ่วงดุลอำนาจกับมหาอำนาจจะต้องไม่ใช่การถ่วงดุลแบบเท็คไซด์ข้างใดข้างหนึ่งจนสูญเสียดุลยภาพ เพราะจะทำให้มหาอำนาจชาติอื่นไม่พอใจและ “เล่นแรง” กับไทยมากขึ้น เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ซึ่งจะมีผลกระทบกับประเทศชาติและประชาชนมากขึ้น ขณะที่มีคนได้ประโยชน์จากการเท็คไซด์ไม่กี่คน ซึ่งเป็นการได้ประโยชน์ที่เฉียดใกล้กับคำว่า “ขายชาติ” นิดเดียว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่