"คุณจะรู้สึกแย่แค่ไหนถ้าคุณพบว่าชีวิตผิดแผนตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง?"
ผมเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกกับแฟนในปี 2003 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังจะเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองหลังจากการท่องเที่ยวทริปนี้
เครื่องบินถึงสนามบินนาริตะญี่ปุ่นในตอนค่ำ ผมก็ต่อรถไฟอีกสองต่อเพื่อเข้าที่พักย่านชินจูกุ คนในรถไฟแน่นมากเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่คนเดินทางกลับบ้าน ทำให้คนเบียดกันจนผมยืนไม่ถนัดเลยต้องถอดเป้สะพายหลังไว้ที่ชั้นเก็บของ พอได้ยินเสียงประกาศว่าถึงสถานีชินจูกุผมก็รีบร้อนลงรถไฟเพราะกลัวไม่ทันประตูปิด
+++ เมื่อปัญหาเริ่มก่อตัว +++
หลักจากเข้าถึงที่พักอาบน้ำอาบท่าด้วยความสบายใจ ผมก็เลยอยากจะเอาแผนท่องเที่ยวที่ผมเตรียมไว้อย่างละเอียดมาทบทวนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลุยญี่ปุ่นในวันรุ่งขึ้น แต่ผมกลับพบว่าตัวเองลืมเป้สะพายหลังไว้ในรถไฟ ซึ่งมีพาสปอร์ตและคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คซึ่งมีข้อมูลที่ผมใช้เวลาทุ่มเทเกือบสองปีออกแบบซอฟต์แวร์สำหรับบริษัทของตัวเอง
+++ ขาดสติและคิดฟุ้งซ่าน +++
ผมตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวอีกทีก็รีบวิ่งหน้าตั้งไปที่สถานีรถไฟฟ้า พอไปแจ้งเจ้าหน้าที่ที่สถานีก็สื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมวิ่งเข้าวิ่งออกรถไฟหลายขบวนก็หาไม่พบ ผมต้องกลับที่พักมือเปล่าพร้อมแบกความทุกข์ไว้เต็มหัว
นอนไม่หลับทั้งคืนได้แต่โทษตัวเองว่าทำไม่ต้องลืมกระเป๋า หรือทำไมไม่ยอม back up ข้อมูลเก็บไว้เลย
วันรุ่งขึ้นผมต้องไปแจ้งตำรวจเพราะพาสปอร์ตผมหายด้วย ทำให้ผมได้ประสบการณ์มากกว่านักท่องเที่ยวคนอื่นที่ได้ไปเที่ยวสถานีตำรวจที่ญี่ปุ่น ซึ่งผมพบว่าสะอาดสะอ้านและตบแต่งด้วยรูปการ์ตูนน่ารักๆเพื่อเสื่อสารข้อมูลต่างๆมากมาย ที่กรี๊ดที่สุดคือแบบฟอร์มแจ้งหายเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดไม่มีภาษาอังกฤษแม้แต่ตัวเดียว แถมสื่อสารกับตำรวจญี่ปุ่นก็เข้าใจกันยากมากพูดกันจนเมื่อยมือ กว่าจะกรอกแบบฟอร์มสำเร็จ 555
ผมเดินทางต่อไปที่สถานทูตไทยเพื่อจะทำพาสปอร์ตใหม่ แต่กลับพบว่าสถานทูตปิดเพราะตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันหยุดที่ตรงกับวันพ่อของเมืองไทย
+++ ท้อแท้และสิ้นหวัง +++
ผมได้แต่ทอดถอนใจว่า ชีวิตมันช่างโหดร้ายกับเราจริงๆ อะไรๆ ก็ดูไม่เป็นใจกับเราเลย 555
- ข้อมูลที่ใช้เวลาออกแบบมาสองปีก็หาย
- เสียเวลาไปอีกหนึ่งวันที่ญี่ปุ่นโดยยังไม่ได้ไปเที่ยวไหน
- แถมยังทำพาสปอร์ตไม่ได้เพราะสถานทูตไทยดันปิดเสียอีก
+++ เกิดใหม่อีกครั้ง +++
ตอนที่กำลังจะเดินทางกลับที่พัก แฟนผมนึกขึ้นได้ว่าถึงแม้ความหวังจะริบหรี่แต่เราน่าจะลองไปถามสถานีรถไฟดูไหม ที่สถานีรถไฟแจ้งว่าในโตเกียวมีศูนย์ให้ความช่วยเหลือเรื่องของหายหรือ Lost & Found อยู่สามแห่ง เราก็เลยลองออกไปตะเวนดู
พอไปแจ้งที่ศูนย์แรกว่าลืมเป้สีดำไว้บนรถไฟเมื่อคืนนี้ เจ้าหน้าที่หายไปพักใหญ่แล้วเดินกลับมาพร้อมชูเป้ขึ้นพร้อมกับถามว่าใบนี้ใช่ไหม
ทันที่ที่ผมเห็นเป้ น้ำตาผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว พร้อมกระโดดตัวลอยอย่างดีใจสุดขีด เมื่อเปิดเป้ดูก็พบว่าทุกอย่างอยู่ครบหมด ทั้งพาสปอร์ตทั้งโน๊ตบุ๊คผมรู้สึกเหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่จริงๆครับ
+++ 3 บทเรียนจากประสบการณ์ชีวิตผิดแผน +++
1. เรามักมีโอกาสได้ประสบการณ์ใหม่ๆมากมายโดยไม่คาดคิด
ผมได้ไปเที่ยวทั้งสถานีตำรวจ และ สถานทูตไทยในโตเกียว ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่เคยไป 555
ทั้งเรื่องส่วนตัวและการทำธุรกิจ ผมพบว่าตัวเองได้เรียนรู้ประสบการณ์มากมายจากการลองผิดลองถูกเพื่อแก้ไขสถานการณ์ต่างๆที่ไม่เป็นไปตามแผน
2. ไม่ว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหนในชีวิตอย่าพึ่งถอดใจหรือล้มเลิก
ถ้าผมถอดใจคิดว่า “ยังไงก็ไม่ได้ของคืนหรอก” ผมก็คงไม่ดั้นด้นไปตามหาจนเจอ
ผมกลายเป็นพวกดื้อด้าน ถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด
3. อย่าลืม Backup ข้อมูลสำคัญเก็บเอาไว้หลายๆที่ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง
การมีแผนที่ชีวิตเป็นเรื่องดีครับ แต่ชีวิตคงเป็นเรื่องน่าเบื่อถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน
+ บริษัท 3M คงไม่สามารถทำ post it จนโด่งดังทั่วโลก ถ้าการผลิตกาวที่แน่นที่สุดที่พวกเขาคิดค้นเป็นไปตามแผน
+ บริษัท eBay คงไม่กลายเป็นระบบชำระเงินออนไลน์ที่โด่งดังทั่วโลก ถ้าซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยที่พวกเขาได้คิดค้นและพัฒนาในตอนเริ่มต้นธุรกิจเป็นไปตามแผน
ดังนั้นอย่าไปมัวใช้เวลาเสียใจกับเรื่องที่ชีวิตไม่เป็นไปตามแผนครับ ลองสนุกกับมันดูบ้างแล้วคุณจะพบว่าคุณอาจได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ดีๆกว่าที่คิด
แล้วคุณได้อะไรบ้างจากเรื่องผิดแผนในชีวิต?
ขอให้คุณค้นพบตัวเอง รักในสิ่งที่ทำและได้ทำในสิ่งที่รักครับ
เจษ - เจษฎา เจือจันทึก
=====================================
เพจ ==>
https://www.facebook.com/SucceedLifestyle
blog ==>
www.SucceedLifestyle.com
3 บทเรียนจากประสบการณ์ชีวิตผิดแผน
ผมเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกกับแฟนในปี 2003 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังจะเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองหลังจากการท่องเที่ยวทริปนี้
เครื่องบินถึงสนามบินนาริตะญี่ปุ่นในตอนค่ำ ผมก็ต่อรถไฟอีกสองต่อเพื่อเข้าที่พักย่านชินจูกุ คนในรถไฟแน่นมากเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่คนเดินทางกลับบ้าน ทำให้คนเบียดกันจนผมยืนไม่ถนัดเลยต้องถอดเป้สะพายหลังไว้ที่ชั้นเก็บของ พอได้ยินเสียงประกาศว่าถึงสถานีชินจูกุผมก็รีบร้อนลงรถไฟเพราะกลัวไม่ทันประตูปิด
+++ เมื่อปัญหาเริ่มก่อตัว +++
หลักจากเข้าถึงที่พักอาบน้ำอาบท่าด้วยความสบายใจ ผมก็เลยอยากจะเอาแผนท่องเที่ยวที่ผมเตรียมไว้อย่างละเอียดมาทบทวนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลุยญี่ปุ่นในวันรุ่งขึ้น แต่ผมกลับพบว่าตัวเองลืมเป้สะพายหลังไว้ในรถไฟ ซึ่งมีพาสปอร์ตและคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คซึ่งมีข้อมูลที่ผมใช้เวลาทุ่มเทเกือบสองปีออกแบบซอฟต์แวร์สำหรับบริษัทของตัวเอง
+++ ขาดสติและคิดฟุ้งซ่าน +++
ผมตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวอีกทีก็รีบวิ่งหน้าตั้งไปที่สถานีรถไฟฟ้า พอไปแจ้งเจ้าหน้าที่ที่สถานีก็สื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมวิ่งเข้าวิ่งออกรถไฟหลายขบวนก็หาไม่พบ ผมต้องกลับที่พักมือเปล่าพร้อมแบกความทุกข์ไว้เต็มหัว
นอนไม่หลับทั้งคืนได้แต่โทษตัวเองว่าทำไม่ต้องลืมกระเป๋า หรือทำไมไม่ยอม back up ข้อมูลเก็บไว้เลย
วันรุ่งขึ้นผมต้องไปแจ้งตำรวจเพราะพาสปอร์ตผมหายด้วย ทำให้ผมได้ประสบการณ์มากกว่านักท่องเที่ยวคนอื่นที่ได้ไปเที่ยวสถานีตำรวจที่ญี่ปุ่น ซึ่งผมพบว่าสะอาดสะอ้านและตบแต่งด้วยรูปการ์ตูนน่ารักๆเพื่อเสื่อสารข้อมูลต่างๆมากมาย ที่กรี๊ดที่สุดคือแบบฟอร์มแจ้งหายเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดไม่มีภาษาอังกฤษแม้แต่ตัวเดียว แถมสื่อสารกับตำรวจญี่ปุ่นก็เข้าใจกันยากมากพูดกันจนเมื่อยมือ กว่าจะกรอกแบบฟอร์มสำเร็จ 555
ผมเดินทางต่อไปที่สถานทูตไทยเพื่อจะทำพาสปอร์ตใหม่ แต่กลับพบว่าสถานทูตปิดเพราะตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันหยุดที่ตรงกับวันพ่อของเมืองไทย
+++ ท้อแท้และสิ้นหวัง +++
ผมได้แต่ทอดถอนใจว่า ชีวิตมันช่างโหดร้ายกับเราจริงๆ อะไรๆ ก็ดูไม่เป็นใจกับเราเลย 555
- ข้อมูลที่ใช้เวลาออกแบบมาสองปีก็หาย
- เสียเวลาไปอีกหนึ่งวันที่ญี่ปุ่นโดยยังไม่ได้ไปเที่ยวไหน
- แถมยังทำพาสปอร์ตไม่ได้เพราะสถานทูตไทยดันปิดเสียอีก
+++ เกิดใหม่อีกครั้ง +++
ตอนที่กำลังจะเดินทางกลับที่พัก แฟนผมนึกขึ้นได้ว่าถึงแม้ความหวังจะริบหรี่แต่เราน่าจะลองไปถามสถานีรถไฟดูไหม ที่สถานีรถไฟแจ้งว่าในโตเกียวมีศูนย์ให้ความช่วยเหลือเรื่องของหายหรือ Lost & Found อยู่สามแห่ง เราก็เลยลองออกไปตะเวนดู
พอไปแจ้งที่ศูนย์แรกว่าลืมเป้สีดำไว้บนรถไฟเมื่อคืนนี้ เจ้าหน้าที่หายไปพักใหญ่แล้วเดินกลับมาพร้อมชูเป้ขึ้นพร้อมกับถามว่าใบนี้ใช่ไหม
ทันที่ที่ผมเห็นเป้ น้ำตาผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว พร้อมกระโดดตัวลอยอย่างดีใจสุดขีด เมื่อเปิดเป้ดูก็พบว่าทุกอย่างอยู่ครบหมด ทั้งพาสปอร์ตทั้งโน๊ตบุ๊คผมรู้สึกเหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่จริงๆครับ
+++ 3 บทเรียนจากประสบการณ์ชีวิตผิดแผน +++
1. เรามักมีโอกาสได้ประสบการณ์ใหม่ๆมากมายโดยไม่คาดคิด
ผมได้ไปเที่ยวทั้งสถานีตำรวจ และ สถานทูตไทยในโตเกียว ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่เคยไป 555
ทั้งเรื่องส่วนตัวและการทำธุรกิจ ผมพบว่าตัวเองได้เรียนรู้ประสบการณ์มากมายจากการลองผิดลองถูกเพื่อแก้ไขสถานการณ์ต่างๆที่ไม่เป็นไปตามแผน
2. ไม่ว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหนในชีวิตอย่าพึ่งถอดใจหรือล้มเลิก
ถ้าผมถอดใจคิดว่า “ยังไงก็ไม่ได้ของคืนหรอก” ผมก็คงไม่ดั้นด้นไปตามหาจนเจอ
ผมกลายเป็นพวกดื้อด้าน ถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด
3. อย่าลืม Backup ข้อมูลสำคัญเก็บเอาไว้หลายๆที่ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง
การมีแผนที่ชีวิตเป็นเรื่องดีครับ แต่ชีวิตคงเป็นเรื่องน่าเบื่อถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน
+ บริษัท 3M คงไม่สามารถทำ post it จนโด่งดังทั่วโลก ถ้าการผลิตกาวที่แน่นที่สุดที่พวกเขาคิดค้นเป็นไปตามแผน
+ บริษัท eBay คงไม่กลายเป็นระบบชำระเงินออนไลน์ที่โด่งดังทั่วโลก ถ้าซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยที่พวกเขาได้คิดค้นและพัฒนาในตอนเริ่มต้นธุรกิจเป็นไปตามแผน
ดังนั้นอย่าไปมัวใช้เวลาเสียใจกับเรื่องที่ชีวิตไม่เป็นไปตามแผนครับ ลองสนุกกับมันดูบ้างแล้วคุณจะพบว่าคุณอาจได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ดีๆกว่าที่คิด
แล้วคุณได้อะไรบ้างจากเรื่องผิดแผนในชีวิต?
ขอให้คุณค้นพบตัวเอง รักในสิ่งที่ทำและได้ทำในสิ่งที่รักครับ
เจษ - เจษฎา เจือจันทึก
=====================================
เพจ ==> https://www.facebook.com/SucceedLifestyle
blog ==> www.SucceedLifestyle.com