[Tran] หลุยส์ เอ็นริเก้ กับการสร้างบาร์เซโลน่าขึ้นมาใหม่
เมื่อหลุยส์ เอ็นริเก้ รับงานในบาร์เซโลน่า เขาก็ต้องพบกับปัญหาในการเป็นผู้นำของกลุ่ม สิ่งแรกที่สำคัญคือ ผู้เล่นอาวุโสของทีม ในยุคที่บาร์เซโลน่าถือเป็นเจ้ายุโรปนั้นได้เริ่มออกไป. ทั้ง บิคตอร์ บัลเดส และ การ์เลส ปูโยล สองผู้เล่นที่คว้าถ้วยแชมป์เปี้ยนลีก สามถ้วยล่าสุด ได้เดินออกไป ซาบี้ เออร์นันเดซ ที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจที่จะทำตามพวกเขาหลังจากที่ได้รับความผิดหวังหลังจากจบซีซั่นและในบอลโลก และถ้าหากเขาออกไปจะเป็น 3ใน 4 ของกัปตันชุดบาร์เซโลน่ารุ่งเรือง ที่ได้ออกไป และเนื่องจาก 3 ใน 4 ของผู้อยู่ในประวัติศาสตร์ของสโมสรจะหายไป หลุยส์ เอ็นริเก้ จึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร็วที่สุด
และสิ่งที่เขาต้องทำ อย่างแรกคือการโน้มน้าว ซาบี้ ว่าเขาคือคนที่สโมสรต้องการ เรื่องนี้ได้ถูกพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงหลังจากมีการให้สัมภาษณ์ขึ้นมาในระหว่างฤดูกาลนี้ หลุยส์ เอ็นริเก้ได้ใช้ประโยชน์ จาก ชาบี้ และนี้เป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จได้ด้วยดีในปีแรกของการรับผิดชอบทีมของเขา แต่เนื่องจากตำนานจอมทัพเริ่มที่จะอ่อนล้าไปตามอายุ ในบางครั้ง ซาบี้ก็เป็นเสมือนมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดของ บาร์เซโลน่า แต่ หลุยส์ เอ็นริเก้ กลับไม่ให้เขาลงเป็นตัวจริง
การเก็บรักษา ซาบี้ นั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่กระนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องชั่วคราว ฤดูกาลสุดท้ายของกัปตันคนนี้ดูท่าว่ามีแนวโน้มว่าจะเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ ว่าเขาจะก้าวเท้าออกจากคัมป์นูว ในช่วงซัมเมอร์นี้ และเช่นนี้นี่เอง ที่ถือเป็นเรื่องที่ท้าท้ายสำหรับหลุยส์ เอ็นริเก้ ที่จะสร้างแกนหลักผู้นำด้วยสายตาของเขาเพื่ออนาคตที่จะถึง และในฤดูกาลนี้ ตรีศูลอันใหม่ ที่จะมาเป็นกระดูกสันหลังให้กับทีมของหลุยส์ เอ็นริเก้ ถึงจะไม่ได้เป็นตรีศูลที่มีชื่อเสียงมากนัก แต่ ลีโอเนล เมสซี่, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ และ เคราร์ด ปิเก้ จะมีความสำคัญเหมือน บัลเดส ปูโยล และ ซาบี้ ในตอนนี้พวกเขามีอายุประมาณ 26-28 ปี และพวกเขาได้รับสืบทอดมาคือความเป็นผู้นำมาแล้วอีกด้วย และสิ่งที่เป็นอุปสรรคของหลุยส์ เอ็นริเก้ คือการพาฟอร์มของพวกเขากลับมาให้ได้
“เคราร์ด ปิเก้”
เคราร์ด ปิเก้ คือคนที่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดสำหรับการเปลี่ยนแปลงในฤดูกาลนี้ หลังจากที่กองหลังคนนี้ลดการมุ่งเน้นในการฝึกซ้อม (น่าจะตอนที่ดรอปปิเก้ 3 แมตช์ติด) ในช่วงหลายปีมานี้เขาได้ลงแข่งขันบ่อยสาเหตุต่างๆ ก็เช่นเดียวกับ ซาบี้ เขาเริ่มปรับการลงเล่นของเขา ให้ลดลงจากการแข่งขันในแมตช์ สเปน vs ชิลี ในบอลโลก และ หลังจากจบทัวร์นาเมนต์ เขาได้ออกมายอมรับต่อหน้าสาธารณชนว่า เขาไม่ใช้กองหลังที่ดีที่สุดในโลกอีกแล้ว และหลังจากนั้นเขาก็ได้ปล่อยกลิ่นเหม็นออกมาบนเครื่องบินทำให้ผู้คนผิดหวังกับเขาไปอีก หลังจากที่ปิเก้ ทำเรื่องนั้นไปไม่กี่วัน บาร์เซโลน่าก็ได้มีการเลือกตั้งกัปตันทีมคนใหม่ และเซร์คิโอ บุสเก็ตส์ก็ถูกเลือให้เป็นรองกัปตันคนที่4ทั้งๆที่ มีความอาวุโสในทีมเท่าๆกัน แถมปิเก้นั้นยังไม่ถูกให้เป็นผู้นำในด้านเกมส์รับอีกด้วย และคนที่ได้รับเกียรตินี้ก็คือ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ และ มาสเคราโน่ก็ได้กลายเป็นผู้นำบทสนาม และการมาของ เฌเรมี่ มาติเยอ ที่แสดงผลงานได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้หลุยส์ เอ็นริเก้ ต้องดร็อปเขาไว้
และในที่สุดปิเก้ก็ถูกเอ็นริเก้ดร็อปทันทีหลังจากที่แพ้ศึกเอลกลาซิโก้ ในเลกแรก เป็นเวลาถึง 3 เกมส์ หลายๆสิ่งออกมาอย่างชัดเจน เมื่อมี มาสเคราโน่ และ มาติเยอ ปิเก้ก็ไม่จำเป็น รวมทั้งการเป็นผู้นำในสนามหรือได้ลงตัวจริง แต่เมื่อกลับมาจากช่วงเบรกทีมชาติ ยอดทีมแห่งกาตาลันก็ได้ส่งเขาลงเป็นตัวจริงอีกครั้งในแมตช์เจอ เซบีย่า และนี่คือจุดเริ่มต้นที่เขาจะได้ประกาศว่าเขานั้นกลับมาเป็นกองหลังที่ดีที่สุดในโลก อีกครั้ง
หลุยส์ เอ็นริเก้ได้เริ่มที่จะปรับปรุงเหล่ากองหลังหลังจากอาทิตย์แรก ป้อมปราการของทีมมักจะถูกหมุนเวียนบ่อยโดยเอ็นริเก้ แต่ปิเก้ก็ยังคงสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงได้เสมอ และ แบ็คโฟร์ก็กลับมาซิงค์กันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
"เซร์คิโอ บุสเก็ตส์"
ปัญหาของบุสเก็ตส์ คือ การไม่มีแรงจูงใจและฟอร์มของเขาที่เริ่มลดลงบ้างเล็กน้อย เขามักจะเป็นรายชื่อแรกๆที่อยู่ในตัวเลือกของทีมของกวาดิโอล่า หรือ ยิ่งสำคัญมากยิ่งขึ้นในสมัยตีโต้ และรวมกระทั่ง ของ ตาต้า อีกด้วย แต่ หลุยส์ เอ็นริเก้ กลับได้เพิ่มการเล่นแบบไดเร็คมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ต้องพิสูจน์ว่า ฝีเท้าของบุสเก็ตส์นั้น ดีพอสำหรับทีมจริงๆหรือเปล่า ก็เช่นเดียวกับปิเก้ การเริ่มต้นของเริ่มดูเหมือนจะมีฮาเวียร์ มาสเคราโน่ คอยเสียบอยู่ เพราะเนื่องจากมาสเคราโน่นั้น มีจังหวะในการทำลายคู่ต่อสู้ได้ดีกว่าบุสเก็ตส์ที่มีแค่บอลแบบวันทัช และ การพาส
แต่ในช่วงดำเนินฤดูกาลนั้น หลุยส์ เอ็นริเก้ก็ได้ออกแบบแดนกลางเพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์จากบุสเก็ตส์ให้เพิ่มพูนมากขึ้น คือการใส่มิดฟิลด์ตัวรับอยู่ข้างหลังกับสองนักเตะที่มีความคิดสร้างสรรค์ลงไป และในตอนนี้ความรับผิดชอบในสนามได้ถูกแบ่งกันนอย่างเท่าเทียม อย่างเช่น อิวาน ราคิติช ผู้มีความขยันและศักยภาพที่ดีคือกุญแจสำคัญ เช่นเดียวกับอิเนียสต้า ที่จะเลี้ยงลูกให้มีความเสี่ยงลดลง นี้คือการเปิดโอกาสให้บุสเก็ตส์สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ดี และ มีผลดีต่อการเล่นเกมส์รุกของเขา นอกจากนี้เขายังได้เล่นแทนซาบี้ผู้เป็นหัวใจของทีมในการตั้งค่าจังหวะของบอล
ส่วนในการป้องกันบุสเก็ตส์จะเป็นอิสระมากขึ้นยามเมื่อมีการเล่นเพรสซิ่งในสนาม พร้อมกับที่จะเปลี่ยนขั้วที่จะโจมตีทีมตรงข้ามได้ดีกว่าใคร ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องธรรมมาดาในการคุมทีมภายใต้ เป๊ป กวาดิโอล่า แต่ในตอนนี้เป็นภาพที่หาได้ยากของบุสเก็ตส์ เนื่องจากเขาถูกบังคับให้เล่นกว้างขึ้นพร้อมกับส่งคืนกลับให้กองหลัง และ ในตอนนี้เมื่อการเล่นเพรสซิ่งได้กลับมาอีกครั้ง เมื่อซัวเรสได้กลายเป็นผู้นำในแดนหน้า เช่นเดียวกับบุสเก็ตส์ที่ได้เป็นผู้นำในของแดนกลางทั้งสามคน (หรือ4 เมื่อเนย์มาร์ดร๊อปการบุกแล้วลงมาช่วยเกมส์รับ)
แต่หลักสูตรนี้ก็มีความผิดพลาดอยู่บ้าง เมื่อบ้างครั้ง อิเนียสต้า และ ราคิติช ล้มเหลวในการครอบคลุมพื้นที่ และในบุสเก็ตส์ก็ถูกจับทางได้บ่อยครั้งในซีซั่นนี้มากกว่าปีนี้ที่แล้ว แต่ถ้าผู้ชายที่รู้จักกันในฉายา 'ปลาหมึก' (el Pulpo ฉายาบุสเก็ตส์)เล่นได้ไม่มีที่ติยิ่งขึ้นและเขาดูสมบูรณ์แบบมากกว่าเมื่อก่อน เขาได้แสดงให้เห็นว่าเขานั้นสำคัญกับบาร์เซโลน่ามากกว่าเดิม สิ่งที่ส่งผลกระทบได้อย่างชัดเจนสำหรับบาร์ซ่า ยามเมื่อไม่มีบุสเก็ตส์หรือเล่นเคียงข้างกับบุสเก็ตส์ (น่าจะกรณีกลางรับ2ตัว) สมดุลที่แสนละเอียดอ่อนได้มาจากการที่ทำงานหนักเพื่อที่จะสร้างบาร์เซโลน่าในฤดูกาลนี้ถูกแทนที่การไม่คอนโทรบอล การตัดเกมส์ ที่ห่างไกลจากเกมส์ที่ล้าสมัยโดยระบบใหม่ของหลุยส์ เอ็นริเก้ บุสเก็ตส์ได้เป็นตัวสำคัญในกาเชื่อมโยงระบบเก่าและระบบใหม่ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ การครองบอล การส่งบอลสั้น การส่งบอลเร็ว การโจมตีในแนวดิ่งถ้าหากในสถานการณ์นั้นจำเป็น
[Tran] หลุยส์ เอ็นริเก้ กับการสร้างบาร์เซโลน่าขึ้นมาใหม่
เมื่อหลุยส์ เอ็นริเก้ รับงานในบาร์เซโลน่า เขาก็ต้องพบกับปัญหาในการเป็นผู้นำของกลุ่ม สิ่งแรกที่สำคัญคือ ผู้เล่นอาวุโสของทีม ในยุคที่บาร์เซโลน่าถือเป็นเจ้ายุโรปนั้นได้เริ่มออกไป. ทั้ง บิคตอร์ บัลเดส และ การ์เลส ปูโยล สองผู้เล่นที่คว้าถ้วยแชมป์เปี้ยนลีก สามถ้วยล่าสุด ได้เดินออกไป ซาบี้ เออร์นันเดซ ที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจที่จะทำตามพวกเขาหลังจากที่ได้รับความผิดหวังหลังจากจบซีซั่นและในบอลโลก และถ้าหากเขาออกไปจะเป็น 3ใน 4 ของกัปตันชุดบาร์เซโลน่ารุ่งเรือง ที่ได้ออกไป และเนื่องจาก 3 ใน 4 ของผู้อยู่ในประวัติศาสตร์ของสโมสรจะหายไป หลุยส์ เอ็นริเก้ จึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร็วที่สุด
และสิ่งที่เขาต้องทำ อย่างแรกคือการโน้มน้าว ซาบี้ ว่าเขาคือคนที่สโมสรต้องการ เรื่องนี้ได้ถูกพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงหลังจากมีการให้สัมภาษณ์ขึ้นมาในระหว่างฤดูกาลนี้ หลุยส์ เอ็นริเก้ได้ใช้ประโยชน์ จาก ชาบี้ และนี้เป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จได้ด้วยดีในปีแรกของการรับผิดชอบทีมของเขา แต่เนื่องจากตำนานจอมทัพเริ่มที่จะอ่อนล้าไปตามอายุ ในบางครั้ง ซาบี้ก็เป็นเสมือนมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดของ บาร์เซโลน่า แต่ หลุยส์ เอ็นริเก้ กลับไม่ให้เขาลงเป็นตัวจริง
การเก็บรักษา ซาบี้ นั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่กระนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องชั่วคราว ฤดูกาลสุดท้ายของกัปตันคนนี้ดูท่าว่ามีแนวโน้มว่าจะเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ ว่าเขาจะก้าวเท้าออกจากคัมป์นูว ในช่วงซัมเมอร์นี้ และเช่นนี้นี่เอง ที่ถือเป็นเรื่องที่ท้าท้ายสำหรับหลุยส์ เอ็นริเก้ ที่จะสร้างแกนหลักผู้นำด้วยสายตาของเขาเพื่ออนาคตที่จะถึง และในฤดูกาลนี้ ตรีศูลอันใหม่ ที่จะมาเป็นกระดูกสันหลังให้กับทีมของหลุยส์ เอ็นริเก้ ถึงจะไม่ได้เป็นตรีศูลที่มีชื่อเสียงมากนัก แต่ ลีโอเนล เมสซี่, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ และ เคราร์ด ปิเก้ จะมีความสำคัญเหมือน บัลเดส ปูโยล และ ซาบี้ ในตอนนี้พวกเขามีอายุประมาณ 26-28 ปี และพวกเขาได้รับสืบทอดมาคือความเป็นผู้นำมาแล้วอีกด้วย และสิ่งที่เป็นอุปสรรคของหลุยส์ เอ็นริเก้ คือการพาฟอร์มของพวกเขากลับมาให้ได้
“เคราร์ด ปิเก้”
เคราร์ด ปิเก้ คือคนที่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดสำหรับการเปลี่ยนแปลงในฤดูกาลนี้ หลังจากที่กองหลังคนนี้ลดการมุ่งเน้นในการฝึกซ้อม (น่าจะตอนที่ดรอปปิเก้ 3 แมตช์ติด) ในช่วงหลายปีมานี้เขาได้ลงแข่งขันบ่อยสาเหตุต่างๆ ก็เช่นเดียวกับ ซาบี้ เขาเริ่มปรับการลงเล่นของเขา ให้ลดลงจากการแข่งขันในแมตช์ สเปน vs ชิลี ในบอลโลก และ หลังจากจบทัวร์นาเมนต์ เขาได้ออกมายอมรับต่อหน้าสาธารณชนว่า เขาไม่ใช้กองหลังที่ดีที่สุดในโลกอีกแล้ว และหลังจากนั้นเขาก็ได้ปล่อยกลิ่นเหม็นออกมาบนเครื่องบินทำให้ผู้คนผิดหวังกับเขาไปอีก หลังจากที่ปิเก้ ทำเรื่องนั้นไปไม่กี่วัน บาร์เซโลน่าก็ได้มีการเลือกตั้งกัปตันทีมคนใหม่ และเซร์คิโอ บุสเก็ตส์ก็ถูกเลือให้เป็นรองกัปตันคนที่4ทั้งๆที่ มีความอาวุโสในทีมเท่าๆกัน แถมปิเก้นั้นยังไม่ถูกให้เป็นผู้นำในด้านเกมส์รับอีกด้วย และคนที่ได้รับเกียรตินี้ก็คือ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ และ มาสเคราโน่ก็ได้กลายเป็นผู้นำบทสนาม และการมาของ เฌเรมี่ มาติเยอ ที่แสดงผลงานได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้หลุยส์ เอ็นริเก้ ต้องดร็อปเขาไว้
และในที่สุดปิเก้ก็ถูกเอ็นริเก้ดร็อปทันทีหลังจากที่แพ้ศึกเอลกลาซิโก้ ในเลกแรก เป็นเวลาถึง 3 เกมส์ หลายๆสิ่งออกมาอย่างชัดเจน เมื่อมี มาสเคราโน่ และ มาติเยอ ปิเก้ก็ไม่จำเป็น รวมทั้งการเป็นผู้นำในสนามหรือได้ลงตัวจริง แต่เมื่อกลับมาจากช่วงเบรกทีมชาติ ยอดทีมแห่งกาตาลันก็ได้ส่งเขาลงเป็นตัวจริงอีกครั้งในแมตช์เจอ เซบีย่า และนี่คือจุดเริ่มต้นที่เขาจะได้ประกาศว่าเขานั้นกลับมาเป็นกองหลังที่ดีที่สุดในโลก อีกครั้ง
หลุยส์ เอ็นริเก้ได้เริ่มที่จะปรับปรุงเหล่ากองหลังหลังจากอาทิตย์แรก ป้อมปราการของทีมมักจะถูกหมุนเวียนบ่อยโดยเอ็นริเก้ แต่ปิเก้ก็ยังคงสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงได้เสมอ และ แบ็คโฟร์ก็กลับมาซิงค์กันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
"เซร์คิโอ บุสเก็ตส์"
ปัญหาของบุสเก็ตส์ คือ การไม่มีแรงจูงใจและฟอร์มของเขาที่เริ่มลดลงบ้างเล็กน้อย เขามักจะเป็นรายชื่อแรกๆที่อยู่ในตัวเลือกของทีมของกวาดิโอล่า หรือ ยิ่งสำคัญมากยิ่งขึ้นในสมัยตีโต้ และรวมกระทั่ง ของ ตาต้า อีกด้วย แต่ หลุยส์ เอ็นริเก้ กลับได้เพิ่มการเล่นแบบไดเร็คมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ต้องพิสูจน์ว่า ฝีเท้าของบุสเก็ตส์นั้น ดีพอสำหรับทีมจริงๆหรือเปล่า ก็เช่นเดียวกับปิเก้ การเริ่มต้นของเริ่มดูเหมือนจะมีฮาเวียร์ มาสเคราโน่ คอยเสียบอยู่ เพราะเนื่องจากมาสเคราโน่นั้น มีจังหวะในการทำลายคู่ต่อสู้ได้ดีกว่าบุสเก็ตส์ที่มีแค่บอลแบบวันทัช และ การพาส
แต่ในช่วงดำเนินฤดูกาลนั้น หลุยส์ เอ็นริเก้ก็ได้ออกแบบแดนกลางเพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์จากบุสเก็ตส์ให้เพิ่มพูนมากขึ้น คือการใส่มิดฟิลด์ตัวรับอยู่ข้างหลังกับสองนักเตะที่มีความคิดสร้างสรรค์ลงไป และในตอนนี้ความรับผิดชอบในสนามได้ถูกแบ่งกันนอย่างเท่าเทียม อย่างเช่น อิวาน ราคิติช ผู้มีความขยันและศักยภาพที่ดีคือกุญแจสำคัญ เช่นเดียวกับอิเนียสต้า ที่จะเลี้ยงลูกให้มีความเสี่ยงลดลง นี้คือการเปิดโอกาสให้บุสเก็ตส์สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ดี และ มีผลดีต่อการเล่นเกมส์รุกของเขา นอกจากนี้เขายังได้เล่นแทนซาบี้ผู้เป็นหัวใจของทีมในการตั้งค่าจังหวะของบอล
ส่วนในการป้องกันบุสเก็ตส์จะเป็นอิสระมากขึ้นยามเมื่อมีการเล่นเพรสซิ่งในสนาม พร้อมกับที่จะเปลี่ยนขั้วที่จะโจมตีทีมตรงข้ามได้ดีกว่าใคร ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องธรรมมาดาในการคุมทีมภายใต้ เป๊ป กวาดิโอล่า แต่ในตอนนี้เป็นภาพที่หาได้ยากของบุสเก็ตส์ เนื่องจากเขาถูกบังคับให้เล่นกว้างขึ้นพร้อมกับส่งคืนกลับให้กองหลัง และ ในตอนนี้เมื่อการเล่นเพรสซิ่งได้กลับมาอีกครั้ง เมื่อซัวเรสได้กลายเป็นผู้นำในแดนหน้า เช่นเดียวกับบุสเก็ตส์ที่ได้เป็นผู้นำในของแดนกลางทั้งสามคน (หรือ4 เมื่อเนย์มาร์ดร๊อปการบุกแล้วลงมาช่วยเกมส์รับ)
แต่หลักสูตรนี้ก็มีความผิดพลาดอยู่บ้าง เมื่อบ้างครั้ง อิเนียสต้า และ ราคิติช ล้มเหลวในการครอบคลุมพื้นที่ และในบุสเก็ตส์ก็ถูกจับทางได้บ่อยครั้งในซีซั่นนี้มากกว่าปีนี้ที่แล้ว แต่ถ้าผู้ชายที่รู้จักกันในฉายา 'ปลาหมึก' (el Pulpo ฉายาบุสเก็ตส์)เล่นได้ไม่มีที่ติยิ่งขึ้นและเขาดูสมบูรณ์แบบมากกว่าเมื่อก่อน เขาได้แสดงให้เห็นว่าเขานั้นสำคัญกับบาร์เซโลน่ามากกว่าเดิม สิ่งที่ส่งผลกระทบได้อย่างชัดเจนสำหรับบาร์ซ่า ยามเมื่อไม่มีบุสเก็ตส์หรือเล่นเคียงข้างกับบุสเก็ตส์ (น่าจะกรณีกลางรับ2ตัว) สมดุลที่แสนละเอียดอ่อนได้มาจากการที่ทำงานหนักเพื่อที่จะสร้างบาร์เซโลน่าในฤดูกาลนี้ถูกแทนที่การไม่คอนโทรบอล การตัดเกมส์ ที่ห่างไกลจากเกมส์ที่ล้าสมัยโดยระบบใหม่ของหลุยส์ เอ็นริเก้ บุสเก็ตส์ได้เป็นตัวสำคัญในกาเชื่อมโยงระบบเก่าและระบบใหม่ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ การครองบอล การส่งบอลสั้น การส่งบอลเร็ว การโจมตีในแนวดิ่งถ้าหากในสถานการณ์นั้นจำเป็น