วันนึงก็มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นในซอยสี่พระยา 5 ที่เราอยู่ คือมีโจรวิ่งราวสร้อย แล้วอ่อนด้อยประสบการณ์ ประเภทมือใหม่หัดกระตุกหรือไงไม่รู้ พี่แกเลยโดนชาวบ้านวิ่งไล่ต้อนไปจนมุมในซอยแยกเล็ก ๆ จากนั้นฉากรุมสกรัมประชาทัณฑ์ของคณะศาลเตี้ยก็เริ่มขึ้น ชายผู้สิ้นคิดรายนี้เลยได้กินขนมตุ้บตั้บกับขนมเปี๊ยะ ๆ ไปเต็ม ๆ โดยมีเท้าน้อย ๆ ของเราแหย่ลอดช่องเข้าไปร่วมด้วยช่วยกันตื้บอีกแรงนึงด้วย สุดท้าย ตำรวจก็มาหิ้วตัวมันไปเที่ยวห้องกรงต่อไป
อีกวัน ขาใหญ่ประจำซอยคนนึงก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไล่ตามโจรกระตุกกระเป๋าที่ซ้อนแมงกะ ไซค์ซิ่งหนีไป พอจวน ๆ จะทันกัน ไอ้คนที่นั่งหลังมันก็ชักดาบยาวเฟื้อยออกมาโชว์ให้ดู นัยว่า " แหลมเข้ามา กรูฟันแน่" ขาใหญ่ของเราเลยเบรครถหัวทิ่ม แล้วทำตาละห้อยปล่อยคนร้ายลอยนวลจากไป ไม่รู้มีใครไปลงโฆษณาเชิญชวนคนมาปล้นมาจี้ที่ซอยของเราหรือไงก็ไม่รู้ มันถึงได้แห่แหนกันมาเยี่ยมเยียนจังเลย แบบว่าหัวกะไดซอยไม่เคยแห้งอะ
บ้านเราเองก็โดนตัดเหล็กมุ้งลวดประตูหน้าบ้านเข้ามสอยเครื่องเล่นเทปวิทยุโซนี่ไปหนึ่งเครื่อง รู้สึกคับแค้นใจเหลือเกิน เพราะว่าเราใช้ฟังเพลงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันทีเดียวเชียว เรากับพี่ชายจะเป็นคอเพลงสากลตัวยงก็ว่าได้ พอกลับมาบ้าน กินข้าวอาบน้ำแล้ว ก็จะฟังเพลงไป ทำการบ้าน แล้วก็เมาท์กันไป จนกว่าจะนอนโน่นเลย
ตอนนั้นมีรายการซันเดย์ แก๊ปของวิทยา ศุภพรโอภาสที่จะเปิดเพลงฮิต ๆ สนุก ๆ อย่าง คลิฟ ริชาร์ด ชาลาลาลาลา อะไรเทือกนั้น ส่วนคุณณัฐของไนท์สป็อตจะออกแนวอีซี่ลิสเซินนิ่ง อย่าง I Just Don't Want To Be Lonely ฟังไปฮัมตามไป ปั๊บปาดาปั๊บปาดา ปับปาดาด่า ปับปาด๊าดา คุณณัฐเนี่ยจัดรายการได้ดีมาก ๆ เสียงก็นุ้มนุ่มชวนฟัง และจะคอยเป็นที่ปรึกษาคอยให้กำลังใจแฟน ๆรายการตลอดเลย เลิฟ ๆ คุณณัฐมาก ไม่รู้ตอนนี้ทำไรอยู่ ป่านนี้น่าจะกว่าหกสิบแล้วมั้ง
ที่แน่ ๆ ยังจำได้เลยที่คุณณัฐเล่าเรื่องเพื่อนฝรั่งที่รู้สึกยวนใจมากเวลาต้องออก เสียงภาษาไทย อย่าง " ใครขายไข่ไก่" ที่จะออกมาเป็น " ครายคายคายค่าย"ทุกทีสิน่า แล้วก็มีรายการท็อป โฟร์ตี้ ที่จัดโดย วาสนา วีรชาติพลี ที่เปรี้ยวเข็ดฟันใช้ได้เชียว ประเภทจบนอก สำเนียงอังกฤษโชะเชะ ข้อมูลแน่นปั้ก เราจะคอยติดตามชาร์ตเพลงทั้งฝั่งอเมริกากับอังกฤษตลอด ว่าตอนนี้ชาวโลกเค้าชอบฟังเพลงแนวไหนกันบ้าง ( เพราะเรามาจากดาวตูดไง จำได้รึเปล่า เดี๋ยวมีออกสอบด้วยนะเออ )
เนื่องจาก ช่วงแรก ๆ บ้านเรายังไม่มีทีวี นอกจากจะฟังรายการเพลงแล้ว เราเลยฟังละครวิทยุคณะเกศทิพย์ แก้วฟ้าอีกด้วย ฟังไปก็จินตนาการหน้าตาพระเอกนางเอกที่โคตระเสียงหล่อและสวยเลย แต่ตอนหลังเห็นตัวจริงในนิตยสารแล้ว ได้แต่คิดออกมาดัง ๆ ว่า " เฮ้ออ ทำไมหาคนที่ทั้งเสียงหล่อและหน้าตาดีพร้อมแบบเราได้ยากเย็นจริงหนอ" ทว่าวิเชียร นีลิกานนท์ พระเอกคณะเกศทิพย์ที่ตอนนี้เป็นโฆษกเวทีมวยเนี่ย หน้าตาก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับเสียงเลย ดึก ๆ จะมีรายการเล่าเรื่องผีซะด้วย เรากับพี่ชายเนี่ยก็แปลก คือกลัวก็กลัว แต่ก็ชอบเปิดฟังกันเหลือเกิ๊นน ฟังไปสยองสยิวกิ้วไปอย่างนั้นแหละ สงสัยจะมีคนแนวจิต ๆ แบบเราอยู่เยอะเหมือนกันนะเราว่า
ส่วนเวลาที่เตี่ยหนีช่วงโลว์ซีซั่นขายของไม่ดีตอนหน้าฝนขึ้นมาอยู่ที่นี่ เตี่ยก็จะชอบฟังงิ้ว ว้ากเพ่ย ตะลุงตุ้ง ๆ โหวหลกซิเคี่ยงหวอ ฮึ่มแฮ่ ๆ ( อันหลังเนี่ยมาจากอาการเหลือทนของเราเอง ) ฝาที่บ้านจะเป็นไม้ขัดแตะ อากงข้างบ้านที่เป็นซี้เตี่ยเลยออกความคิดเชิงเอื้อเฟื้อเจือจานว่า อย่ากระนั้นเลย เรามาเลื่อยฝาด้านบนเป็นช่องสี่เหลี่ยมขนาดเท่าลำโพงดีกว่า ทีนี้พอเอาลำโพงขึ้นไปติด ก็เป็นอันว่าร่วมแชร์ประสบการณ์ว้าก ๆ เพ่ย ๆ กันได้แล้ว ทว่า ตอนหลังอาแป๊ะแก่ ๆ เกิดงอนแย่งอมยิ้มกันหรือไงไม่รู้ อากงเลยเอาลำโพงลง แล้วก็เอาแผ่นไม้ส่วนที่ตัดออกไปกลับมาปิดไว้เหมือนเดิม แต่ก็ทิ้งร่องรอยให้แขกไปใครมาได้ถามถึงที่มาที่ไปของมันอยู่แทบจะทุกราย
บ้านที่เราอยู่นี่ก็แปลกอยู่อย่าง คือ ลานซักล้างทำครัวหลังบ้านจะเปิดโล่งถึงกันตลอดแนวตึกที่มีรวมกันราวสิบห้องได้ ประเภทใครออกมาทำอะไรหลังบ้าน เป็นได้รู้ได้เห็นกันหมด ข้างบ้านอีกด้านของเราจะมีคนสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาเช่าอยู่หลายราย รายหนึ่งเป็นชายวัยกำดัด วัน ๆ เห็นต้มแป้ง กวนแป้ง เติมสีอยู่ในหม้อ สุดท้ายเราก็เห็นขนแป้งสีชมพู ๆ พวกนั้นไปทิ้งเป็นถุง ๆ ในลานเด็กเล่นหรือลานไฟไหม้นั่นแหละ
แต่ใครเลยจะรู้ และแล้ววันหนึ่ง เค้าก็รวยเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมาด้วยแป้งที่เค้าลองผิดลองถูกทำมานั่นเอง ถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากรู้แล้วสิว่า แป้งอะไรถึงทำให้รวยได้ ก็ขอใบ้ให้นี้ดส์นึงแล้วกันว่า มีสองพยางค์ เป็นชื่อเจ้าแม่ที่คนบางส่วนนับถือบูชานั่นแหละ ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อตำนานที่ผมเล่ามาเนี่ย ก็สุดแล้วแต่วิจารณญาณแล้วกันนะครับ ที่แน่ ๆ ทุกวันนี้อาคารขนาดตึกแถวสิบห้องเห็นจะได้ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ถัดจากที่ กวนแป้งเดิมไม่ถึงสามร้อยเมตรเท่านั้นเอง
กลับมาเรื่องเพลงต่อดีกว่า เรื่องนี้มีฮาแบบขื่น ๆ ด้วยนะเออ คือสมัยที่ครอบครัวอากงฟังงิ้วยังอยู่ พวกลูก ๆ หลานอากงจะชอบเปิดเพลงสากล ซึ่งก็ดีอยู่หรอก ถ้าพี่แกไม่เปิดแต่เพลงซ้ำ ๆ นัยว่าคงจะมีแผ่นเสียงอยู่จำกัดแค่นั้น เราเลยถูก " Beutiful Sunday " กระหน่ำกรอกหูวันละหลายเที่ยว เออ เชื่อแล้ว ๆ ว่าวันอาทิตย์เนี่ยมันงามงดจริง ๆ ไม่ต้องมาตอกย้ำทุกวันทุกชั่วโมงก็ได้
พอครอบครัวใหม่ย้ายเข้ามา คราวนี้ หนีเสือปะจรเข้ยักษ์ระดับโคตรไอ้เคี่ยมเลย คุณเอ๋ย เพราะว่าพี่แกดันชอบแนว วงศ์จันทร์ ไพโรจน์ซะนี่ ทีนี้กุหลาบมาเป็นช่อ ๆ เลย " กุหลาบช่อนี้ ชื่อเพราะดี สดสวยแฉล้ม เขาเรียกมันว่าแก้มแหม่ม...." คิดดูก็แล้วกัน ขนาดผ่านไปร่วมสามสิบปี เรายังจำเนื้อได้ตั้งหลายท่อนเลย และต้องขออภัยคุณวงศ์จันทร์ไว้ตรงนี้ด้วยว่า ตรู เอ๊ยเราเอียนเลี่ยนเพลงนี้มาก ๆ อย่าได้แว่วได้เวียนมากระทบประสาทหูของตรู เอ๊ย เราอีกเล้ยยยยยยยยยย.................................
มีครั้งนึง ติดรถพี่ชายคนโตกลับมากรุงเทพฯ หลังจากปิดเทอมเยี่ยมบ้าน นั่ง ๆ ไป ไม่รู้แมวที่ไหนดลใจ จู่ ๆ พี่สะใภ้ก็หันมาบอกเราว่า เนี่ยมีเพลง ๆ นึงที่เพราะและโปรดมาก ว่าแล้วก็เปิดเทปเพลงขึ้นมา ทายซิว่าเพลงอะไร ใช่แล้ว กุหลาบช่อนี้ ชื่อเพราะดี....................... นาทีนั้น ถ้าโดดลงจากรถได้ ก็คงทำไปแล้ว ถ้าไม่ห่วงว่าโลกจะขาดคนหน้าตาดีนิสัยหล่อไปอีกคน
กลับมาที่กรุงเทพฯ มิช้านาน กุหลาบช่อนี้ก็โรยราไปไม่ทันไร มันมาอีกแล้ว คราวนี้ เธอเป็นหมอฟันที่ผันตัวมาร้องเพลง นัยว่าคนไข้ที่ปวดฟันอยู่จะได้หายปวด แล้วเปลี่ยนมาปวดหูปวดเฮดแทน ชื่อของเธอคือ ท.ญ.พันทิวา สินรัชตานนท์ เธอมาพร้อมกับเสียงขยี้แมงกินฟัน ตะละแหล่น แตนแตนแต๊นแตน มวลเถาวัลย์ป่าใบเขียว ....อึมอิ๊อ๊ะลดเลี้ยว อารายใหญ่นี่แหละ เราว่าอันนี้ชวนคลื่นเหียนอาเจียรกว่ากุหลาบเยอะเลย คิดเป็นราว ๆ 67000000000000000000000000 โอ๊กอ๊ากเมตริกตรอน เห็นจะได้
รอบกลางวันทั้งวันตลอดวันทุกวันทุก ๆ สิบนาทียังไม่พอ พอเคลิ้ม ๆ ใกล้จะหลับ ฝัน ๆ ว่ากำลังเอาหมอฟันคนนึงมารัดคอด้วยเถาวัลย์แบบเจียนไปเจียนอยู่อยู่แล้วเชียว ต้องสะดุ้งตื่น ปล่อยหมอฟันให้หลุดมือไป ด้วยยินเสียงเด็กร้องไห้จ้าขึ้นมา แม่พยายามปลอบยังไงก็ไม่ได้ผล สุดท้าย คงจะเป็นแมวตัวเดิมมั้งที่ดลใจ อย่ากระนั้นเลย ร้องเพลงกล่อมลูกดีกว่า " มวลเถาวัลย์ป่าใบเขียว.....อืมอิ๊อ๊ะ ๆ ลดเลี้ยว อารายใหญ่" อยากจะพังฝาบ้านไปช่วยประสานเสียงกล่อมซะจริง ๆ เล้ยยยยยยยยย พับผ่าสิ เอ้า
บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง--14/49เพลงพาเซ็ง
อีกวัน ขาใหญ่ประจำซอยคนนึงก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไล่ตามโจรกระตุกกระเป๋าที่ซ้อนแมงกะ ไซค์ซิ่งหนีไป พอจวน ๆ จะทันกัน ไอ้คนที่นั่งหลังมันก็ชักดาบยาวเฟื้อยออกมาโชว์ให้ดู นัยว่า " แหลมเข้ามา กรูฟันแน่" ขาใหญ่ของเราเลยเบรครถหัวทิ่ม แล้วทำตาละห้อยปล่อยคนร้ายลอยนวลจากไป ไม่รู้มีใครไปลงโฆษณาเชิญชวนคนมาปล้นมาจี้ที่ซอยของเราหรือไงก็ไม่รู้ มันถึงได้แห่แหนกันมาเยี่ยมเยียนจังเลย แบบว่าหัวกะไดซอยไม่เคยแห้งอะ
บ้านเราเองก็โดนตัดเหล็กมุ้งลวดประตูหน้าบ้านเข้ามสอยเครื่องเล่นเทปวิทยุโซนี่ไปหนึ่งเครื่อง รู้สึกคับแค้นใจเหลือเกิน เพราะว่าเราใช้ฟังเพลงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันทีเดียวเชียว เรากับพี่ชายจะเป็นคอเพลงสากลตัวยงก็ว่าได้ พอกลับมาบ้าน กินข้าวอาบน้ำแล้ว ก็จะฟังเพลงไป ทำการบ้าน แล้วก็เมาท์กันไป จนกว่าจะนอนโน่นเลย
ตอนนั้นมีรายการซันเดย์ แก๊ปของวิทยา ศุภพรโอภาสที่จะเปิดเพลงฮิต ๆ สนุก ๆ อย่าง คลิฟ ริชาร์ด ชาลาลาลาลา อะไรเทือกนั้น ส่วนคุณณัฐของไนท์สป็อตจะออกแนวอีซี่ลิสเซินนิ่ง อย่าง I Just Don't Want To Be Lonely ฟังไปฮัมตามไป ปั๊บปาดาปั๊บปาดา ปับปาดาด่า ปับปาด๊าดา คุณณัฐเนี่ยจัดรายการได้ดีมาก ๆ เสียงก็นุ้มนุ่มชวนฟัง และจะคอยเป็นที่ปรึกษาคอยให้กำลังใจแฟน ๆรายการตลอดเลย เลิฟ ๆ คุณณัฐมาก ไม่รู้ตอนนี้ทำไรอยู่ ป่านนี้น่าจะกว่าหกสิบแล้วมั้ง
ที่แน่ ๆ ยังจำได้เลยที่คุณณัฐเล่าเรื่องเพื่อนฝรั่งที่รู้สึกยวนใจมากเวลาต้องออก เสียงภาษาไทย อย่าง " ใครขายไข่ไก่" ที่จะออกมาเป็น " ครายคายคายค่าย"ทุกทีสิน่า แล้วก็มีรายการท็อป โฟร์ตี้ ที่จัดโดย วาสนา วีรชาติพลี ที่เปรี้ยวเข็ดฟันใช้ได้เชียว ประเภทจบนอก สำเนียงอังกฤษโชะเชะ ข้อมูลแน่นปั้ก เราจะคอยติดตามชาร์ตเพลงทั้งฝั่งอเมริกากับอังกฤษตลอด ว่าตอนนี้ชาวโลกเค้าชอบฟังเพลงแนวไหนกันบ้าง ( เพราะเรามาจากดาวตูดไง จำได้รึเปล่า เดี๋ยวมีออกสอบด้วยนะเออ )
เนื่องจาก ช่วงแรก ๆ บ้านเรายังไม่มีทีวี นอกจากจะฟังรายการเพลงแล้ว เราเลยฟังละครวิทยุคณะเกศทิพย์ แก้วฟ้าอีกด้วย ฟังไปก็จินตนาการหน้าตาพระเอกนางเอกที่โคตระเสียงหล่อและสวยเลย แต่ตอนหลังเห็นตัวจริงในนิตยสารแล้ว ได้แต่คิดออกมาดัง ๆ ว่า " เฮ้ออ ทำไมหาคนที่ทั้งเสียงหล่อและหน้าตาดีพร้อมแบบเราได้ยากเย็นจริงหนอ" ทว่าวิเชียร นีลิกานนท์ พระเอกคณะเกศทิพย์ที่ตอนนี้เป็นโฆษกเวทีมวยเนี่ย หน้าตาก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับเสียงเลย ดึก ๆ จะมีรายการเล่าเรื่องผีซะด้วย เรากับพี่ชายเนี่ยก็แปลก คือกลัวก็กลัว แต่ก็ชอบเปิดฟังกันเหลือเกิ๊นน ฟังไปสยองสยิวกิ้วไปอย่างนั้นแหละ สงสัยจะมีคนแนวจิต ๆ แบบเราอยู่เยอะเหมือนกันนะเราว่า
ส่วนเวลาที่เตี่ยหนีช่วงโลว์ซีซั่นขายของไม่ดีตอนหน้าฝนขึ้นมาอยู่ที่นี่ เตี่ยก็จะชอบฟังงิ้ว ว้ากเพ่ย ตะลุงตุ้ง ๆ โหวหลกซิเคี่ยงหวอ ฮึ่มแฮ่ ๆ ( อันหลังเนี่ยมาจากอาการเหลือทนของเราเอง ) ฝาที่บ้านจะเป็นไม้ขัดแตะ อากงข้างบ้านที่เป็นซี้เตี่ยเลยออกความคิดเชิงเอื้อเฟื้อเจือจานว่า อย่ากระนั้นเลย เรามาเลื่อยฝาด้านบนเป็นช่องสี่เหลี่ยมขนาดเท่าลำโพงดีกว่า ทีนี้พอเอาลำโพงขึ้นไปติด ก็เป็นอันว่าร่วมแชร์ประสบการณ์ว้าก ๆ เพ่ย ๆ กันได้แล้ว ทว่า ตอนหลังอาแป๊ะแก่ ๆ เกิดงอนแย่งอมยิ้มกันหรือไงไม่รู้ อากงเลยเอาลำโพงลง แล้วก็เอาแผ่นไม้ส่วนที่ตัดออกไปกลับมาปิดไว้เหมือนเดิม แต่ก็ทิ้งร่องรอยให้แขกไปใครมาได้ถามถึงที่มาที่ไปของมันอยู่แทบจะทุกราย
บ้านที่เราอยู่นี่ก็แปลกอยู่อย่าง คือ ลานซักล้างทำครัวหลังบ้านจะเปิดโล่งถึงกันตลอดแนวตึกที่มีรวมกันราวสิบห้องได้ ประเภทใครออกมาทำอะไรหลังบ้าน เป็นได้รู้ได้เห็นกันหมด ข้างบ้านอีกด้านของเราจะมีคนสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาเช่าอยู่หลายราย รายหนึ่งเป็นชายวัยกำดัด วัน ๆ เห็นต้มแป้ง กวนแป้ง เติมสีอยู่ในหม้อ สุดท้ายเราก็เห็นขนแป้งสีชมพู ๆ พวกนั้นไปทิ้งเป็นถุง ๆ ในลานเด็กเล่นหรือลานไฟไหม้นั่นแหละ
แต่ใครเลยจะรู้ และแล้ววันหนึ่ง เค้าก็รวยเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมาด้วยแป้งที่เค้าลองผิดลองถูกทำมานั่นเอง ถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากรู้แล้วสิว่า แป้งอะไรถึงทำให้รวยได้ ก็ขอใบ้ให้นี้ดส์นึงแล้วกันว่า มีสองพยางค์ เป็นชื่อเจ้าแม่ที่คนบางส่วนนับถือบูชานั่นแหละ ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อตำนานที่ผมเล่ามาเนี่ย ก็สุดแล้วแต่วิจารณญาณแล้วกันนะครับ ที่แน่ ๆ ทุกวันนี้อาคารขนาดตึกแถวสิบห้องเห็นจะได้ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ถัดจากที่ กวนแป้งเดิมไม่ถึงสามร้อยเมตรเท่านั้นเอง
กลับมาเรื่องเพลงต่อดีกว่า เรื่องนี้มีฮาแบบขื่น ๆ ด้วยนะเออ คือสมัยที่ครอบครัวอากงฟังงิ้วยังอยู่ พวกลูก ๆ หลานอากงจะชอบเปิดเพลงสากล ซึ่งก็ดีอยู่หรอก ถ้าพี่แกไม่เปิดแต่เพลงซ้ำ ๆ นัยว่าคงจะมีแผ่นเสียงอยู่จำกัดแค่นั้น เราเลยถูก " Beutiful Sunday " กระหน่ำกรอกหูวันละหลายเที่ยว เออ เชื่อแล้ว ๆ ว่าวันอาทิตย์เนี่ยมันงามงดจริง ๆ ไม่ต้องมาตอกย้ำทุกวันทุกชั่วโมงก็ได้
พอครอบครัวใหม่ย้ายเข้ามา คราวนี้ หนีเสือปะจรเข้ยักษ์ระดับโคตรไอ้เคี่ยมเลย คุณเอ๋ย เพราะว่าพี่แกดันชอบแนว วงศ์จันทร์ ไพโรจน์ซะนี่ ทีนี้กุหลาบมาเป็นช่อ ๆ เลย " กุหลาบช่อนี้ ชื่อเพราะดี สดสวยแฉล้ม เขาเรียกมันว่าแก้มแหม่ม...." คิดดูก็แล้วกัน ขนาดผ่านไปร่วมสามสิบปี เรายังจำเนื้อได้ตั้งหลายท่อนเลย และต้องขออภัยคุณวงศ์จันทร์ไว้ตรงนี้ด้วยว่า ตรู เอ๊ยเราเอียนเลี่ยนเพลงนี้มาก ๆ อย่าได้แว่วได้เวียนมากระทบประสาทหูของตรู เอ๊ย เราอีกเล้ยยยยยยยยยย.................................
มีครั้งนึง ติดรถพี่ชายคนโตกลับมากรุงเทพฯ หลังจากปิดเทอมเยี่ยมบ้าน นั่ง ๆ ไป ไม่รู้แมวที่ไหนดลใจ จู่ ๆ พี่สะใภ้ก็หันมาบอกเราว่า เนี่ยมีเพลง ๆ นึงที่เพราะและโปรดมาก ว่าแล้วก็เปิดเทปเพลงขึ้นมา ทายซิว่าเพลงอะไร ใช่แล้ว กุหลาบช่อนี้ ชื่อเพราะดี....................... นาทีนั้น ถ้าโดดลงจากรถได้ ก็คงทำไปแล้ว ถ้าไม่ห่วงว่าโลกจะขาดคนหน้าตาดีนิสัยหล่อไปอีกคน
กลับมาที่กรุงเทพฯ มิช้านาน กุหลาบช่อนี้ก็โรยราไปไม่ทันไร มันมาอีกแล้ว คราวนี้ เธอเป็นหมอฟันที่ผันตัวมาร้องเพลง นัยว่าคนไข้ที่ปวดฟันอยู่จะได้หายปวด แล้วเปลี่ยนมาปวดหูปวดเฮดแทน ชื่อของเธอคือ ท.ญ.พันทิวา สินรัชตานนท์ เธอมาพร้อมกับเสียงขยี้แมงกินฟัน ตะละแหล่น แตนแตนแต๊นแตน มวลเถาวัลย์ป่าใบเขียว ....อึมอิ๊อ๊ะลดเลี้ยว อารายใหญ่นี่แหละ เราว่าอันนี้ชวนคลื่นเหียนอาเจียรกว่ากุหลาบเยอะเลย คิดเป็นราว ๆ 67000000000000000000000000 โอ๊กอ๊ากเมตริกตรอน เห็นจะได้
รอบกลางวันทั้งวันตลอดวันทุกวันทุก ๆ สิบนาทียังไม่พอ พอเคลิ้ม ๆ ใกล้จะหลับ ฝัน ๆ ว่ากำลังเอาหมอฟันคนนึงมารัดคอด้วยเถาวัลย์แบบเจียนไปเจียนอยู่อยู่แล้วเชียว ต้องสะดุ้งตื่น ปล่อยหมอฟันให้หลุดมือไป ด้วยยินเสียงเด็กร้องไห้จ้าขึ้นมา แม่พยายามปลอบยังไงก็ไม่ได้ผล สุดท้าย คงจะเป็นแมวตัวเดิมมั้งที่ดลใจ อย่ากระนั้นเลย ร้องเพลงกล่อมลูกดีกว่า " มวลเถาวัลย์ป่าใบเขียว.....อืมอิ๊อ๊ะ ๆ ลดเลี้ยว อารายใหญ่" อยากจะพังฝาบ้านไปช่วยประสานเสียงกล่อมซะจริง ๆ เล้ยยยยยยยยย พับผ่าสิ เอ้า