พอดีว่าผมมีโอกาสไปฟังงานเสวนาที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยจัดขึ้นในหัวข้อ “นักเขียนกับอีบุค ในยุคดิจิทัล” ซึ่งจัดขึ้นที่ โรงแรมสุโกศล กรุงเทพฯ เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา โดยประเด็นหลัก ๆ ในการเสวนาจะเป็นการพูดถึงเรื่องอีบุค (e-book) เรื่องลิขสิทธิ์และคำแนะนำให้การจัดทำอีบุคเป็นหลัก ซึ่งผมได้ร่วมฟังโดยตลอดแต่ผมไม่ได้จดเป็นประเด็นเอาไว้สมุดบันทึก ผมเลยเอาประเด็นที่ผมพอจะเข้าใจและจำได้มาเขียนเล่าให้ฟังกัน โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ที่ผมจะเขียนนี้มีความคิดเห็นส่วนตัวของผมผสมรวมอยู่ด้วย จึงทำให้เนื้อหาในเรื่องนี้อาจจะไม่ตรงตามรายละเอียดที่ผู้เสวนาพูดทั้งหมด เอาเป็นว่าท่านลองอ่านกันดูเล่น ๆ ก็ได้ครับ
ในงานเสวนาวันนั้นมีท่านวิทยากรร่วมเสวนาพูดคุยดังนั้น อ.ชาติ กอบจิตติ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ , คุณบูรพา อารัมภีร นายกสมาคมนักเขียนคนปัจจุบัน , คุณปฐม อินทโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ. เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้เชียวชาญเรื่องเทคโนโลยี , คุณเขมะศิริ นิชชากร ผู้ชำนาญการพิเศษกรมทรัพย์สินทางปัญญา ผู้ให้ความรู้หลักทางด้านลิขสิทธิ์ โดยมี อ.กนกวลี พจนปกรณ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ
โดยการเสวนาเปิดหัวข้อด้วยความคิดเห็นของ อ.ชาติ กอบจิตติ ในเรื่องของอีบุค (e-book) อ.ชาติ ระบุว่าในปัจจุบันได้นำผลงานทั้งหมดของสำนักพิมพ์หอน (สำนักพิมพ์ของอ.ชาติ) มาทำขายในรูปแบบของอีบุคแล้ว โดยมองว่าอีบุคก็เปรียบเสมือนกับภาชนะชนิดหนึ่ง โดยเปรียบเทียบว่างานเขียนนั้นก็คือน้ำ ที่ผ่านมางานเขียนถูกนำไปใส่ในภาชนะที่เรียกว่าหนังสือ ในสมัยโบราณเขียนใส่ภาชนะที่เรียกว่าหลักศิลาจารึก ฯลฯ จนในปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้นแล้ว จึงมีการผลิตภาชนะชนิดใหม่ขึ้นมาซึ่งก็คืออีบุคนั้นเอง โดยขอให้อย่าเพิ่งไปมีอคติต่อการเปลี่ยนแปลงเลย ในทางกลับกันเรา (นักเขียน) ควรที่จะปรับตัวให้ก้าวทันเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย นอกจากนั้นอ.ชาติ ยังมองในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการจัดพิมพ์ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมานักเขียนอาจมีความรู้สึกว่าโดนสำนักพิมพ์เอารัดเอาเปรียบเพราะได้ส่วนแบ่งรายได้ไม่มากนัก ถ้าเป็นนักเขียนหน้าใหม่ก็จะได้แค่ 10 % เอง ถือว่าเป็นผลตอบแทนจากการทำงานหนักที่ได้กลับมาเป็นตัวเงินจำนวนน้อยมาก
การจัดทำหนังสือขึ้นมา 1 เล่มนั้น ราคาขายอาจจะถูกกำหนดจากโครงสร้างที่ประกอบไปด้วย
1.) ค่าลิขสิทธิ์ในงานเขียน (ซึ่งก็คือ 10 % ของนักเขียน)
2.) ค่างานบรรณาธิการ (ตรวจคำผิดและแนะนำแนวทางของหนังสือ ฯลฯ)
3.) ค่าจัดทำรูปเล่มซึ่งมี ค่ารูปภาพประกอบ (ถ้ามี) + งานศิลป์ (งานอาร์ตเวิร์ค)
4.) ค่าจัดพิมพ์ ราคากระดาษ + ค่าจ้างโรงพิมพ์
5.) ค่าการตลาดในการโฆษณาประชาสัมพันธ์หนังสือ
6.) ค่าใช้จ่ายของสายส่ง
7.) ค่าใช้จ่ายของร้านหนังสือ
จะเห็นได้ว่าราคาหนังสือที่ขาย 1 เล่มประกอบไปด้วยต้นทุนต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ดังนั้นถ้าทำให้ราคาขายหนังสือถูกลงได้โดยตัดค่าใช้จ่ายในข้อ 4 ออกไปได้ เนื่องจากค่าจัดพิมพ์ในปัจจุบันอาจจะสูงถึง 35 – 40 % (ผู้เสวนาไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน ผมระบุตามความเข้าใจของผม) ทำให้ราคาขายลดลงไปได้เกือบครึ่งหนึ่ง โอกาสที่จะขายหนังสือได้ก็จะมีมากขึ้นด้วย
ดังนั้นการจัดทำหนังสือออกมาในรูปของอีบุค (e-book) นั้นจะทำให้ต้นทุนถูกลงเพราะไม่ต้องจัดพิมพ์ ไม่ต้องไปกังวลกับความผันผวนของราคากระดาษ อีกทั้งยังสามารถขายออนไลน์ได้ทั่วโลก ไม่มีปัญหาเรื่องการจัดส่งเพราะผู้ซื้อสามารถดาวน์โหลดได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งจะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องที่หาซื้อหนังสือเล่มนั้น ๆ ไม่ได้ด้วย เพราะถ้าพิมพ์เป็นเล่มในอนาคตถ้าสำนักพิมพ์ไม่พิมพ์เพิ่มก็คงกลายเป็นหนังสือหายากไปทันที
คุณปฐม อินทโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ. เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้เชียวชาญเรื่องเทคโนโลยีได้พูดถึงประเด็นที่สร้างความมั่นใจได้ว่าในอนาคตอีบุคจะต้องมาแน่ ๆ ว่า คนยุคเรา (ผู้เสวนาหมายถึงนักเขียนและผู้ฟังในห้อง) อาจจะไม่ถนัดในเรื่องเทคโนโลยีสักเท่าไหร่ เนื่องจากเราไม่ได้เกิดและเติบโตมากับเทคโนโลยี แต่เด็กสมัยใหม่รุ่นลูกรุ่นหลานของเราเติบโตมาในยุตที่มีเทคโนโลยีอยู่รอบตัว เด็กประถมเริ่มใช้แท็บเล็ตในการเรียนแล้ว เด็กประถมในวันนี้จึงอาจจะรู้จักและใช้แอฟฯ ต่าง ๆ ได้มากกว่าเราอีก แนวโน้มในอนาคตทุกอย่างจะเข้าสู่เทคโนโลยีเกือบหมด พฤติกรรมของคนอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีก็เป็นได้
คุณปฐม อธิบายให้ฟังว่า อีบุค (e-book) นั้นไม่ใช่แค่นิยายออนไลน์ทั่วไปที่มีอยู่ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ (เช่น เว็บเด็กดี , เว็บพันทิป , เว็บนิยาย) และเรื่องแต่งที่ถูกสร้างเป็นไฟล์ .pdf นั้นก็ไม่ถือว่าเป็นอีบุค เพราะว่าการจัดทำเป็นอีบุคนั้นมีการจัดทำเป็นรูปเล่มเหมือนหนังสือทั่วไป เพียงแต่ไม่ได้พิมพ์ออกมาเป็นเล่มด้วยกระดาษ แต่ว่าจัดทำขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ชื่อโปรแกรมผมจำไม่ได้และไม่สามารถระบุได้จริง ๆ ครับ ท่านใดทราบช่วยระบุให้ด้วยครับ) เป็นแอฟพิเอชั่นหรือโปรแกรมที่จัดทำอีบุคโดยเฉพาะ ที่ผู้อ่านสามารถซื้อแล้วโหลดได้ด้วยโปรแกรมแอนดอยหรือโปรแกรมวินโดส์ ฯลฯ (จำไม่ได้อีกเหมือนกันครับ) ทำให้ป้องกันการก็อบปี้และป้องกันการแจกจ่ายเผยแพร่ที่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ดังนั้นถ้าในปัจจุบันใครมีงานเขียนอยู่ในมือแล้วก็สามารถนำไปจัดทำเป็นอีบุคได้ด้วย
นอกจากนั้นคุณปฐมยังให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกว่า ในอดีตของสมัยที่เริ่มมีอินเตอร์เน็ตใช้ใหม่ ๆ (ผมคาดว่าน่าจะปี 2543 – 2550) คนใช้อินเตอร์เน็ตแสวงหาของฟรีกันมาก โดยมีสัดส่วนผู้ที่ยอมจ่ายเงินซื้ออะไรต่าง ๆ ก็ตามในอินเตอร์เน็ตแค่ 20 % เอง ในขณะที่คนโหลดของฟรีมากถึง 80 % แต่ในปัจจุบันนี้เริ่มมีคนยอมจ่ายเงินซื้อในอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็น 40 % แล้ว ในขณะที่มีคนยังชอบของฟรีอยู่ 60 % (ตัวเลขสัดส่วนในประเด็นนี้ผู้เสวนาไม่ได้ระบุว่าทั้งโลกหรือเฉพาะเมืองไทย) อาจจะเป็นเพราะว่ากฎหมายลิขสิทธิ์ได้ออกมาแพร่หลายมากขึ้น เป็นการออกกฎหมายออกมารองรับกับการเปลี่ยนแปลงที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันนี้ใครที่ชอบของฟรีชอบโหลดฟรีให้พึ่งระลึกไว้ก่อนว่าของที่ท่านโหลดมาฟรีนั้นอาจจะมีไวรัสติดมาด้วยก็ได้
คุณปฐมยังแสดงถึงความเป็นกูรูทางด้านเทคโนโลยีด้วยการบัญญัติศัพท์สำหรับอธิบายเด็กยุคใหม่ ซึ่งเป็นเด็กที่เกิดในยุคอินเตอร์เน็ตด้วยคำว่า "ฟัก(ภาษาอังกฤษ)" ซึ่งเป็นตัวย่อมาจาก
F ย่อมาจาก Friend & Follow เด็กในยุดปัจจุบันติดเฟสบุค ติดโซเซียลเน็ตเวิร์คต่าง ๆ ต้องการมีเพื่อนและต้องการให้มีคนติดตามหรือติดตามคนอื่นเยอะ ๆ มีการติดตามสนใจความเคลื่อนไหวของคนที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ในขณะเดียวกันก็พยายามแอดเฟรน (เพิ่มเพื่อน) ให้มีมากที่สุด บางคนมีหลายพันหลายหมื่นคนเลย
U ย่อมาจาก Unrelationship เด็กในสมัยนี้มักจะคบกับคนที่ไม่เคยเจอกันเลย หรือคนที่ไม่เคยรู้จักกันในชีวิตจริงเลย คนที่ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อนแต่เด็กกลับเชื่อคนเหล่านี้ เชื่อถือว่าเป็นไอดอลของตนเอง การที่คบแต่คนซึ่งอาจจะไม่มีตัวตนในชีวิตจริงนั้น อาจจะทำให้เด็กพวกนี้สูญเสียความสัมพันธ์กับคนในสังคมจริง ๆ ก็เป็นได้
C ย่อมาจาก Community คือเด็กพวกนี้จะมีกลุ่มของตนเอง เช่นใครสนใจอย่างไหนก็จะไปเข้าร่วมกลุ่มนั้น ๆ ที่มีอยู่มากมายในโซเซียลเน็ตเวิร์ค เช่น สนใจอ่านหนังสือ เขาก็อาจจะเป็นเข้าร่วมกลุ่มวรรณกรรมในเฟสบุค ชอบดูหนังก็เข้ากลุ่มดูหนังและวิจารณ์ภาพยนตร์ ฯลฯ เด็กพวกนี้จึงสนใจแต่สิ่งที่ตัวเองชอบโดยไม่ค่อยจะสนใจคนรอบข้างสักเท่าไหร่
K ย่อมาจาก Key Finder คือเด็กในยุคอินเตอร์เน็ตนี้มักจะค้นหาทางลัด หรือค้นหาทางเลือกที่เป็นตัวช่วยต่าง ๆ เสมอ โดยเฉพาะการใช้กูเกิ้ล (Google) ในการค้นหาสิ่งที่ตัวเองของการ หรือการที่ชอบอ่านหนังสือสูตรสำเร็จต่าง ๆ (หนังสือฮาวทู) เช่น พ่อสอนลูกรวย , ลูกรวยสอนพ่อเล่นหุ้น , เล่นหุ้นไม่มีวันเจ๊ง ฯลฯ เด็กพวกนี้เลยขาดทักษะขาดความตั้งใจและความพยายามต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งซึ่งจะช่วยให้เขาตัวรอดในสังคมได้
(อ่านคำอธิบายตัวย่อทั้ง 4 แล้วมีความรู้สึกเหมือนโดนด่าเลย อาจจะเป็นเพราะผมชอบทำตัวเป็นเด็กก็ได้)
คุณบูรพา อารัมภีร นายกสมาคมนักเขียนคนปัจจุบัน ได้พูดถึงประเด็นเกี่ยวกับการผลักดันกฎเกณฑ์ หรือข้อกำหนดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอีบุค (e-book) ซึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับการดูแลผลประโยชน์ต่าง ๆ ของนักเขียน ซึ่งทางสมาคมนักเขียนจะต้องทำหน้าที่เป็นคนกลางในการกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อเป็นการปกป้องและป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเกี่ยวกับการจัดทำอีบุคนี้ ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ อีกมากมาย (ทางราชการ , ทางสมาพันธ์สำนักพิมพ์ , ทางผู้ให้บริการอินเตอรเน็ต (ISP) ฯลฯ) โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสัดส่วนรายได้ของนักเขียน และประเด็นการนำเรื่องไปจัดทำอีบุคกับเว็บไซต์อื่น เพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์โดยตรงของนักเขียน คุณบูรพา ยืนยันว่าจะทำให้สำเร็จภายใน 2 ปีที่ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักเขียนฯ นี้ (ปี 2558 – 2560) สำหรับในประเด็นที่คุณบูรพาพูดทั้งหมดนี้ตัวผมตีความได้ว่า ต่อจากนี้ไปทางสมาคมนักเขียนฯ จะต้องเน้นหนักในมีอีบุค (e-book) เกิดขึ้นและเป็นที่นิยมในเมืองไทยแน่ ๆ ดังคำกล่าวของ อ.ชาติ ที่พูดสมทบไว้ว่า “ถ้าพวกเรา (สมาคมนักเขียนฯ) ไม่เริ่มปักหมุดกันตั้งแต่ตอนนี้ ในวันหลังลูกหลานมันอาจจะด่าพวกเราได้”
คุณเขมะศิริ นิชชากร ผู้ชำนาญการพิเศษกรมทรัพย์สินทางปัญญา ผู้ให้ความรู้หลักทางด้านลิขสิทธิ์ พูดในประเด็นทางเรื่องกฎหมายเป็นหลัก (ซึ่งผมอาจจะเข้าใจได้ไม่ครบถ้วนทั้งหมดที่ท่านพูดมาก็เป็นได้) โดยท่านพูดถึงกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับใหม่ที่เพิ่งคลอดผ่านออกมา ปัจจุบันประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลบังคับใช้เดือนสิงหาคม 2558 นี้ โดยรายละเอียดของ พรบ. ลิขสิทธิ์ฉบับใหม่นี้ได้พยายามกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นมาควบคุมให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปมาก โดยมีประเด็นเกี่ยวกับ “มาตรการทางเทคโนโลยี” ที่คุ้มครองการเข้าถึงข้อมูล และการปกป้องการทำซ้ำ (Copy) ฯลฯ ซึ่งมีผลครอบคลุมรวมไปถึงผลงานเขียนที่ปรากฏอยู่ในรูปของอีบุคด้วย เช่น ผู้ที่จ่ายเงินซื้ออีบุคเล่มนั้น ๆ แล้วจะเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงหรือเห็นหรืออ่านเรื่องนั้นได้ จะมีโปรแกรมป้องกันไม่ให้คนที่ยังไม่ได้ซื้ออ่านได้ อีกทั้งเมื่อซื้ออีบุคเล่มนั้นไปแล้วจะไม่สามารถทำซ้ำคือก๊อปปี้หรือโอนให้คนอื่นอ่านได้ เป็นการป้องกันให้อีบุคนั้นสามารถขายต่อได้เรื่อย ๆ ด้วย
สำหรับในประเด็นนี้คาดว่าคงจะมีการจัดเสวนาพูดถึงอีกหลายครั้งแน่ ๆ เพื่อเป็นการให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องลิขสิทธิ์ ซึ่งในด้านเกี่ยวกับลิขสิทธิ์นี้ผมไม่ค่อยถนัดในประเด็นกฎหมายสักเท่าไหร่นัก ขออนุญาตข้ามไปก่อนครับ ท่านที่สนใจสามารถตามหาข่าวสารเพิ่มเติมได้จากทางกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ครับ
แต่มีประเด็นหนึ่งที่นักเขียนท่านหนึ่ง (คุณปะการัง) ยกตัวอย่างขึ้นมาเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ก็คือ นักเขียนแต่งกลอนไว้ในหนังสือ มีเด็กคนหนึ่งอ่านแล้วเกิดความประทับใจเลยลอกกลอนเขียนใส่กระดาษด้วยลายมือของเขาเอง แล้วใส่ชื่อว่าตัวเองเป็นคนเขียนก่อนที่จะแสกนภาพ (หรือถ่ายภาพ) เพื่อนำมาโพสลงสื่อสาธารณะให้เพื่อนเห็น ในประเด็นนี้ต้องขออธิบายในแง่กฎหมายลิขสิทธิ์ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์เช่นกัน ท่านใดที่พบเห็นควรจะอธิบายให้เด็กผู้ทำการละเมิดลิขสิทธิ์นั้นได้รับทราบด้วย
เขาว่า e-book กำลังจะมาแรงในอนาคต
ในงานเสวนาวันนั้นมีท่านวิทยากรร่วมเสวนาพูดคุยดังนั้น อ.ชาติ กอบจิตติ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ , คุณบูรพา อารัมภีร นายกสมาคมนักเขียนคนปัจจุบัน , คุณปฐม อินทโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ. เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้เชียวชาญเรื่องเทคโนโลยี , คุณเขมะศิริ นิชชากร ผู้ชำนาญการพิเศษกรมทรัพย์สินทางปัญญา ผู้ให้ความรู้หลักทางด้านลิขสิทธิ์ โดยมี อ.กนกวลี พจนปกรณ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ
โดยการเสวนาเปิดหัวข้อด้วยความคิดเห็นของ อ.ชาติ กอบจิตติ ในเรื่องของอีบุค (e-book) อ.ชาติ ระบุว่าในปัจจุบันได้นำผลงานทั้งหมดของสำนักพิมพ์หอน (สำนักพิมพ์ของอ.ชาติ) มาทำขายในรูปแบบของอีบุคแล้ว โดยมองว่าอีบุคก็เปรียบเสมือนกับภาชนะชนิดหนึ่ง โดยเปรียบเทียบว่างานเขียนนั้นก็คือน้ำ ที่ผ่านมางานเขียนถูกนำไปใส่ในภาชนะที่เรียกว่าหนังสือ ในสมัยโบราณเขียนใส่ภาชนะที่เรียกว่าหลักศิลาจารึก ฯลฯ จนในปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้นแล้ว จึงมีการผลิตภาชนะชนิดใหม่ขึ้นมาซึ่งก็คืออีบุคนั้นเอง โดยขอให้อย่าเพิ่งไปมีอคติต่อการเปลี่ยนแปลงเลย ในทางกลับกันเรา (นักเขียน) ควรที่จะปรับตัวให้ก้าวทันเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย นอกจากนั้นอ.ชาติ ยังมองในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการจัดพิมพ์ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมานักเขียนอาจมีความรู้สึกว่าโดนสำนักพิมพ์เอารัดเอาเปรียบเพราะได้ส่วนแบ่งรายได้ไม่มากนัก ถ้าเป็นนักเขียนหน้าใหม่ก็จะได้แค่ 10 % เอง ถือว่าเป็นผลตอบแทนจากการทำงานหนักที่ได้กลับมาเป็นตัวเงินจำนวนน้อยมาก
การจัดทำหนังสือขึ้นมา 1 เล่มนั้น ราคาขายอาจจะถูกกำหนดจากโครงสร้างที่ประกอบไปด้วย
1.) ค่าลิขสิทธิ์ในงานเขียน (ซึ่งก็คือ 10 % ของนักเขียน)
2.) ค่างานบรรณาธิการ (ตรวจคำผิดและแนะนำแนวทางของหนังสือ ฯลฯ)
3.) ค่าจัดทำรูปเล่มซึ่งมี ค่ารูปภาพประกอบ (ถ้ามี) + งานศิลป์ (งานอาร์ตเวิร์ค)
4.) ค่าจัดพิมพ์ ราคากระดาษ + ค่าจ้างโรงพิมพ์
5.) ค่าการตลาดในการโฆษณาประชาสัมพันธ์หนังสือ
6.) ค่าใช้จ่ายของสายส่ง
7.) ค่าใช้จ่ายของร้านหนังสือ
จะเห็นได้ว่าราคาหนังสือที่ขาย 1 เล่มประกอบไปด้วยต้นทุนต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ดังนั้นถ้าทำให้ราคาขายหนังสือถูกลงได้โดยตัดค่าใช้จ่ายในข้อ 4 ออกไปได้ เนื่องจากค่าจัดพิมพ์ในปัจจุบันอาจจะสูงถึง 35 – 40 % (ผู้เสวนาไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน ผมระบุตามความเข้าใจของผม) ทำให้ราคาขายลดลงไปได้เกือบครึ่งหนึ่ง โอกาสที่จะขายหนังสือได้ก็จะมีมากขึ้นด้วย
ดังนั้นการจัดทำหนังสือออกมาในรูปของอีบุค (e-book) นั้นจะทำให้ต้นทุนถูกลงเพราะไม่ต้องจัดพิมพ์ ไม่ต้องไปกังวลกับความผันผวนของราคากระดาษ อีกทั้งยังสามารถขายออนไลน์ได้ทั่วโลก ไม่มีปัญหาเรื่องการจัดส่งเพราะผู้ซื้อสามารถดาวน์โหลดได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งจะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องที่หาซื้อหนังสือเล่มนั้น ๆ ไม่ได้ด้วย เพราะถ้าพิมพ์เป็นเล่มในอนาคตถ้าสำนักพิมพ์ไม่พิมพ์เพิ่มก็คงกลายเป็นหนังสือหายากไปทันที
คุณปฐม อินทโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ. เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้เชียวชาญเรื่องเทคโนโลยีได้พูดถึงประเด็นที่สร้างความมั่นใจได้ว่าในอนาคตอีบุคจะต้องมาแน่ ๆ ว่า คนยุคเรา (ผู้เสวนาหมายถึงนักเขียนและผู้ฟังในห้อง) อาจจะไม่ถนัดในเรื่องเทคโนโลยีสักเท่าไหร่ เนื่องจากเราไม่ได้เกิดและเติบโตมากับเทคโนโลยี แต่เด็กสมัยใหม่รุ่นลูกรุ่นหลานของเราเติบโตมาในยุตที่มีเทคโนโลยีอยู่รอบตัว เด็กประถมเริ่มใช้แท็บเล็ตในการเรียนแล้ว เด็กประถมในวันนี้จึงอาจจะรู้จักและใช้แอฟฯ ต่าง ๆ ได้มากกว่าเราอีก แนวโน้มในอนาคตทุกอย่างจะเข้าสู่เทคโนโลยีเกือบหมด พฤติกรรมของคนอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีก็เป็นได้
คุณปฐม อธิบายให้ฟังว่า อีบุค (e-book) นั้นไม่ใช่แค่นิยายออนไลน์ทั่วไปที่มีอยู่ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ (เช่น เว็บเด็กดี , เว็บพันทิป , เว็บนิยาย) และเรื่องแต่งที่ถูกสร้างเป็นไฟล์ .pdf นั้นก็ไม่ถือว่าเป็นอีบุค เพราะว่าการจัดทำเป็นอีบุคนั้นมีการจัดทำเป็นรูปเล่มเหมือนหนังสือทั่วไป เพียงแต่ไม่ได้พิมพ์ออกมาเป็นเล่มด้วยกระดาษ แต่ว่าจัดทำขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ชื่อโปรแกรมผมจำไม่ได้และไม่สามารถระบุได้จริง ๆ ครับ ท่านใดทราบช่วยระบุให้ด้วยครับ) เป็นแอฟพิเอชั่นหรือโปรแกรมที่จัดทำอีบุคโดยเฉพาะ ที่ผู้อ่านสามารถซื้อแล้วโหลดได้ด้วยโปรแกรมแอนดอยหรือโปรแกรมวินโดส์ ฯลฯ (จำไม่ได้อีกเหมือนกันครับ) ทำให้ป้องกันการก็อบปี้และป้องกันการแจกจ่ายเผยแพร่ที่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ดังนั้นถ้าในปัจจุบันใครมีงานเขียนอยู่ในมือแล้วก็สามารถนำไปจัดทำเป็นอีบุคได้ด้วย
นอกจากนั้นคุณปฐมยังให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกว่า ในอดีตของสมัยที่เริ่มมีอินเตอร์เน็ตใช้ใหม่ ๆ (ผมคาดว่าน่าจะปี 2543 – 2550) คนใช้อินเตอร์เน็ตแสวงหาของฟรีกันมาก โดยมีสัดส่วนผู้ที่ยอมจ่ายเงินซื้ออะไรต่าง ๆ ก็ตามในอินเตอร์เน็ตแค่ 20 % เอง ในขณะที่คนโหลดของฟรีมากถึง 80 % แต่ในปัจจุบันนี้เริ่มมีคนยอมจ่ายเงินซื้อในอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็น 40 % แล้ว ในขณะที่มีคนยังชอบของฟรีอยู่ 60 % (ตัวเลขสัดส่วนในประเด็นนี้ผู้เสวนาไม่ได้ระบุว่าทั้งโลกหรือเฉพาะเมืองไทย) อาจจะเป็นเพราะว่ากฎหมายลิขสิทธิ์ได้ออกมาแพร่หลายมากขึ้น เป็นการออกกฎหมายออกมารองรับกับการเปลี่ยนแปลงที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันนี้ใครที่ชอบของฟรีชอบโหลดฟรีให้พึ่งระลึกไว้ก่อนว่าของที่ท่านโหลดมาฟรีนั้นอาจจะมีไวรัสติดมาด้วยก็ได้
คุณปฐมยังแสดงถึงความเป็นกูรูทางด้านเทคโนโลยีด้วยการบัญญัติศัพท์สำหรับอธิบายเด็กยุคใหม่ ซึ่งเป็นเด็กที่เกิดในยุคอินเตอร์เน็ตด้วยคำว่า "ฟัก(ภาษาอังกฤษ)" ซึ่งเป็นตัวย่อมาจาก
F ย่อมาจาก Friend & Follow เด็กในยุดปัจจุบันติดเฟสบุค ติดโซเซียลเน็ตเวิร์คต่าง ๆ ต้องการมีเพื่อนและต้องการให้มีคนติดตามหรือติดตามคนอื่นเยอะ ๆ มีการติดตามสนใจความเคลื่อนไหวของคนที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ในขณะเดียวกันก็พยายามแอดเฟรน (เพิ่มเพื่อน) ให้มีมากที่สุด บางคนมีหลายพันหลายหมื่นคนเลย
U ย่อมาจาก Unrelationship เด็กในสมัยนี้มักจะคบกับคนที่ไม่เคยเจอกันเลย หรือคนที่ไม่เคยรู้จักกันในชีวิตจริงเลย คนที่ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อนแต่เด็กกลับเชื่อคนเหล่านี้ เชื่อถือว่าเป็นไอดอลของตนเอง การที่คบแต่คนซึ่งอาจจะไม่มีตัวตนในชีวิตจริงนั้น อาจจะทำให้เด็กพวกนี้สูญเสียความสัมพันธ์กับคนในสังคมจริง ๆ ก็เป็นได้
C ย่อมาจาก Community คือเด็กพวกนี้จะมีกลุ่มของตนเอง เช่นใครสนใจอย่างไหนก็จะไปเข้าร่วมกลุ่มนั้น ๆ ที่มีอยู่มากมายในโซเซียลเน็ตเวิร์ค เช่น สนใจอ่านหนังสือ เขาก็อาจจะเป็นเข้าร่วมกลุ่มวรรณกรรมในเฟสบุค ชอบดูหนังก็เข้ากลุ่มดูหนังและวิจารณ์ภาพยนตร์ ฯลฯ เด็กพวกนี้จึงสนใจแต่สิ่งที่ตัวเองชอบโดยไม่ค่อยจะสนใจคนรอบข้างสักเท่าไหร่
K ย่อมาจาก Key Finder คือเด็กในยุคอินเตอร์เน็ตนี้มักจะค้นหาทางลัด หรือค้นหาทางเลือกที่เป็นตัวช่วยต่าง ๆ เสมอ โดยเฉพาะการใช้กูเกิ้ล (Google) ในการค้นหาสิ่งที่ตัวเองของการ หรือการที่ชอบอ่านหนังสือสูตรสำเร็จต่าง ๆ (หนังสือฮาวทู) เช่น พ่อสอนลูกรวย , ลูกรวยสอนพ่อเล่นหุ้น , เล่นหุ้นไม่มีวันเจ๊ง ฯลฯ เด็กพวกนี้เลยขาดทักษะขาดความตั้งใจและความพยายามต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งซึ่งจะช่วยให้เขาตัวรอดในสังคมได้
(อ่านคำอธิบายตัวย่อทั้ง 4 แล้วมีความรู้สึกเหมือนโดนด่าเลย อาจจะเป็นเพราะผมชอบทำตัวเป็นเด็กก็ได้)
คุณบูรพา อารัมภีร นายกสมาคมนักเขียนคนปัจจุบัน ได้พูดถึงประเด็นเกี่ยวกับการผลักดันกฎเกณฑ์ หรือข้อกำหนดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอีบุค (e-book) ซึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับการดูแลผลประโยชน์ต่าง ๆ ของนักเขียน ซึ่งทางสมาคมนักเขียนจะต้องทำหน้าที่เป็นคนกลางในการกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อเป็นการปกป้องและป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเกี่ยวกับการจัดทำอีบุคนี้ ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ อีกมากมาย (ทางราชการ , ทางสมาพันธ์สำนักพิมพ์ , ทางผู้ให้บริการอินเตอรเน็ต (ISP) ฯลฯ) โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสัดส่วนรายได้ของนักเขียน และประเด็นการนำเรื่องไปจัดทำอีบุคกับเว็บไซต์อื่น เพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์โดยตรงของนักเขียน คุณบูรพา ยืนยันว่าจะทำให้สำเร็จภายใน 2 ปีที่ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักเขียนฯ นี้ (ปี 2558 – 2560) สำหรับในประเด็นที่คุณบูรพาพูดทั้งหมดนี้ตัวผมตีความได้ว่า ต่อจากนี้ไปทางสมาคมนักเขียนฯ จะต้องเน้นหนักในมีอีบุค (e-book) เกิดขึ้นและเป็นที่นิยมในเมืองไทยแน่ ๆ ดังคำกล่าวของ อ.ชาติ ที่พูดสมทบไว้ว่า “ถ้าพวกเรา (สมาคมนักเขียนฯ) ไม่เริ่มปักหมุดกันตั้งแต่ตอนนี้ ในวันหลังลูกหลานมันอาจจะด่าพวกเราได้”
คุณเขมะศิริ นิชชากร ผู้ชำนาญการพิเศษกรมทรัพย์สินทางปัญญา ผู้ให้ความรู้หลักทางด้านลิขสิทธิ์ พูดในประเด็นทางเรื่องกฎหมายเป็นหลัก (ซึ่งผมอาจจะเข้าใจได้ไม่ครบถ้วนทั้งหมดที่ท่านพูดมาก็เป็นได้) โดยท่านพูดถึงกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับใหม่ที่เพิ่งคลอดผ่านออกมา ปัจจุบันประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลบังคับใช้เดือนสิงหาคม 2558 นี้ โดยรายละเอียดของ พรบ. ลิขสิทธิ์ฉบับใหม่นี้ได้พยายามกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นมาควบคุมให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปมาก โดยมีประเด็นเกี่ยวกับ “มาตรการทางเทคโนโลยี” ที่คุ้มครองการเข้าถึงข้อมูล และการปกป้องการทำซ้ำ (Copy) ฯลฯ ซึ่งมีผลครอบคลุมรวมไปถึงผลงานเขียนที่ปรากฏอยู่ในรูปของอีบุคด้วย เช่น ผู้ที่จ่ายเงินซื้ออีบุคเล่มนั้น ๆ แล้วจะเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงหรือเห็นหรืออ่านเรื่องนั้นได้ จะมีโปรแกรมป้องกันไม่ให้คนที่ยังไม่ได้ซื้ออ่านได้ อีกทั้งเมื่อซื้ออีบุคเล่มนั้นไปแล้วจะไม่สามารถทำซ้ำคือก๊อปปี้หรือโอนให้คนอื่นอ่านได้ เป็นการป้องกันให้อีบุคนั้นสามารถขายต่อได้เรื่อย ๆ ด้วย
สำหรับในประเด็นนี้คาดว่าคงจะมีการจัดเสวนาพูดถึงอีกหลายครั้งแน่ ๆ เพื่อเป็นการให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องลิขสิทธิ์ ซึ่งในด้านเกี่ยวกับลิขสิทธิ์นี้ผมไม่ค่อยถนัดในประเด็นกฎหมายสักเท่าไหร่นัก ขออนุญาตข้ามไปก่อนครับ ท่านที่สนใจสามารถตามหาข่าวสารเพิ่มเติมได้จากทางกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ครับ
แต่มีประเด็นหนึ่งที่นักเขียนท่านหนึ่ง (คุณปะการัง) ยกตัวอย่างขึ้นมาเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ก็คือ นักเขียนแต่งกลอนไว้ในหนังสือ มีเด็กคนหนึ่งอ่านแล้วเกิดความประทับใจเลยลอกกลอนเขียนใส่กระดาษด้วยลายมือของเขาเอง แล้วใส่ชื่อว่าตัวเองเป็นคนเขียนก่อนที่จะแสกนภาพ (หรือถ่ายภาพ) เพื่อนำมาโพสลงสื่อสาธารณะให้เพื่อนเห็น ในประเด็นนี้ต้องขออธิบายในแง่กฎหมายลิขสิทธิ์ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์เช่นกัน ท่านใดที่พบเห็นควรจะอธิบายให้เด็กผู้ทำการละเมิดลิขสิทธิ์นั้นได้รับทราบด้วย