เวลา คือ หนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดที่จะเข้าใจในทุกๆมุมมองจากทุกสาขาของความรู้เท่าที่มนุษย์มีมา
คำถามทางอภิปรัชญา หรือวิทยาศาสตร์ หาคำตอบยังไม่ได้ว่า เวลามีความยืดยาวมานานมากน้อยเพียงใด
หนังสือเป็นตั้งๆมีอยู่เกี่ยวกับเวลา ทั้งนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์พากเพียรที่สุดที่จะอธิบายสิ่งที่เรียกว่าเวลา
ในมุมมองของชีวิตของเรา เราว่าเวลาเป็นสิ่งที่สั้นนัก
ในมุมมองของสัมพันธภาพ ไอนสไตน์พยายามเริ่มต้นอธิบายด้วยว่ามันคือลำดับของเหตุการณ์ และสรุปท้ายว่ามันไม่ได้สัมบูรณ์ รวมถึงสัมพันธ์กับอวกาศ
ในเชิงชีวภาพ เวลาเมื่อเราเบื่อมันช่างผ่านไปนาน เวลาที่เราเพลินมันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน
บางคนฝันจะย้อนเวลา บางคนฝันว่าจะไปสู่อนาคต
บ้างบางคนบอกว่าสามารถเห็นอนาคตด้วยฝัน ด้วยลางสังหรณ์ หรือการทำนาย บ้างบางคนบอกว่าจำได้ว่าอดีตของตนเองก่อนหน้าที่ตนจะเกิดเป็นอะไรๆ
ข้อเท็จจริงสำคัญของเวลาบางประการที่น่าอัศจรรย์ และยังไม่มีใครใส่ใจหรือนำมาพูดมากคือ
1. เวลา เป็น สิ่ง สิ่งหนึ่ง เป็นธรรมอย่างหนึ่ง
2. มันคือนามธรรมประเภทหนึ่ง (นักปรัชญาบางคนก็บอกว่าไม่มีอยู่จริง บางคนก็บอกว่ามีอยู่จริง)
3. โลก (หมายถึงมิตินี้) มาพร้อมกับเวลา
4. ทางพุทธมีทางเข้าถึงที่ๆไม่เกี่ยวข้องกับเวลาได้ (คือทิ้งไปทั้งโลก อารมณ์ทั้งหมด รวมถึงผู้สังเกตการณ์ ได้แก่นิพพาน)
5. ในทางวิทยาศาสตร์ บางคนก็บอกว่าหาก big bang มีอยู่ เวลาก็จะมีจุดเริ่มต้น .. แต่หากว่าเอกภพยืดแล้วหด อันนี้ก็ตัวใครตัวมัน เพราะเวลาจะเป็นคุณสมบัติที่ยืดยาวไปไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด (แถมยังเห็นมีแนวคิดที่ว่ามีหลายๆจักรวาลที่ไม่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน อย่างนี้ก็มี เหมือนกับถ้าให้จักรวาลหนึ่งเป็นคอมเครื่องหนึ่ง ก็จะมีคอมฯหลายๆเครื่องไม่เชื่อมกัน มีเวลาและจักรวาลคนละอันกัน)
6. ในตำรา ด้วยการนั่งเข้าญาณ ย้อนกลับไปอดีต (ด้วยอะไรก็ตาม) ย้อนหลังกลับไปอดีตไกลแค่ไหนก็ไปไม่สุด (หมายถึงทางพุทธ จะไปในทิศทางที่ว่าโลกหาจุดตั้งต้นไม่เจอ ไม่ได้ฟันธงไปว่าไม่มี แต่บอกว่าหาไม่เจอ)
7. นามธรรมเช่น ความรัก ความเกลียด ตัวตน programming อวิชขา software ไม่เกี่ยวข้องกับเวลา หมายความว่า ความรักเป็นต้น ต่อให้จักรวาลเกิดกี่ครั้งก็ตาม ความรักก็จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนๆกับความรักในตอนนี้
8. การรับรู้ของ sense 5 อย่าง อิงกับเวลา ... และเราก็คุ้นเคยแต่กับ sense เหล่านี้
ในมุมมองของวิทยาศาสตร์ ไม่มีใครรู้ว่าทำไม "เรา" ถึงมาเกิดในช่วงเวลานี้ๆ เกิดมาก็เจอกับโลกอย่างนี้ อดีตกาลมีคนเกิดก่อนเรามากมาย และเราก็ทำอะไรๆต่อไปเพื่อคนในอนาคต เพราะเราก็จะตายกันในอายุไม่เกิน 100 ปี เกิดมา 0 - 100 ปี ทำไมต้องเป็นช่วงนี้ก็ไม่มีใครทราบ ก่อนหน้าเราเกิด โลกจะเป็นอย่างไรเราก็ไม่สามารถเห็นได้ แล้วหลังเราตาย มันก็มืดกันไปเช่นเดียวกับตอนก่อนจะมาเกิดจะไม่สามารถรับรู้อะไรได้เช่นกัน
ส่วนตัว ... มักจะเห็นเหตุการณ์ในอนาคตระดับหนึ่งถึงสองวันในฝัน เป็นต้นว่าสามคืนก่อนเห็นเครื่องบินในฝันบนท้องฟ้าสวยงาม แต่ต่อมาตก .. พอตื่นขึ้นมา เราเองก็รออยู่ว่ามันน่าจะเป็นเหตุการณ์อะไรในวันนั้น ปรากฏว่าก็ไม่มี จนกระทั่งลืมแล้ววันต่อมาก็เอา drone ที่เพิ่งซื้อมาเล่น แต่เพราะลมแรงมันจึงตก ... ก็เป็นประสบการณ์ส่วนตัวว่าอนาคตมันมาเชื่อมโยงกับปัจจุบันได้อย่างไร
เวลา Time
คำถามทางอภิปรัชญา หรือวิทยาศาสตร์ หาคำตอบยังไม่ได้ว่า เวลามีความยืดยาวมานานมากน้อยเพียงใด
หนังสือเป็นตั้งๆมีอยู่เกี่ยวกับเวลา ทั้งนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์พากเพียรที่สุดที่จะอธิบายสิ่งที่เรียกว่าเวลา
ในมุมมองของชีวิตของเรา เราว่าเวลาเป็นสิ่งที่สั้นนัก
ในมุมมองของสัมพันธภาพ ไอนสไตน์พยายามเริ่มต้นอธิบายด้วยว่ามันคือลำดับของเหตุการณ์ และสรุปท้ายว่ามันไม่ได้สัมบูรณ์ รวมถึงสัมพันธ์กับอวกาศ
ในเชิงชีวภาพ เวลาเมื่อเราเบื่อมันช่างผ่านไปนาน เวลาที่เราเพลินมันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน
บางคนฝันจะย้อนเวลา บางคนฝันว่าจะไปสู่อนาคต
บ้างบางคนบอกว่าสามารถเห็นอนาคตด้วยฝัน ด้วยลางสังหรณ์ หรือการทำนาย บ้างบางคนบอกว่าจำได้ว่าอดีตของตนเองก่อนหน้าที่ตนจะเกิดเป็นอะไรๆ
ข้อเท็จจริงสำคัญของเวลาบางประการที่น่าอัศจรรย์ และยังไม่มีใครใส่ใจหรือนำมาพูดมากคือ
1. เวลา เป็น สิ่ง สิ่งหนึ่ง เป็นธรรมอย่างหนึ่ง
2. มันคือนามธรรมประเภทหนึ่ง (นักปรัชญาบางคนก็บอกว่าไม่มีอยู่จริง บางคนก็บอกว่ามีอยู่จริง)
3. โลก (หมายถึงมิตินี้) มาพร้อมกับเวลา
4. ทางพุทธมีทางเข้าถึงที่ๆไม่เกี่ยวข้องกับเวลาได้ (คือทิ้งไปทั้งโลก อารมณ์ทั้งหมด รวมถึงผู้สังเกตการณ์ ได้แก่นิพพาน)
5. ในทางวิทยาศาสตร์ บางคนก็บอกว่าหาก big bang มีอยู่ เวลาก็จะมีจุดเริ่มต้น .. แต่หากว่าเอกภพยืดแล้วหด อันนี้ก็ตัวใครตัวมัน เพราะเวลาจะเป็นคุณสมบัติที่ยืดยาวไปไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด (แถมยังเห็นมีแนวคิดที่ว่ามีหลายๆจักรวาลที่ไม่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน อย่างนี้ก็มี เหมือนกับถ้าให้จักรวาลหนึ่งเป็นคอมเครื่องหนึ่ง ก็จะมีคอมฯหลายๆเครื่องไม่เชื่อมกัน มีเวลาและจักรวาลคนละอันกัน)
6. ในตำรา ด้วยการนั่งเข้าญาณ ย้อนกลับไปอดีต (ด้วยอะไรก็ตาม) ย้อนหลังกลับไปอดีตไกลแค่ไหนก็ไปไม่สุด (หมายถึงทางพุทธ จะไปในทิศทางที่ว่าโลกหาจุดตั้งต้นไม่เจอ ไม่ได้ฟันธงไปว่าไม่มี แต่บอกว่าหาไม่เจอ)
7. นามธรรมเช่น ความรัก ความเกลียด ตัวตน programming อวิชขา software ไม่เกี่ยวข้องกับเวลา หมายความว่า ความรักเป็นต้น ต่อให้จักรวาลเกิดกี่ครั้งก็ตาม ความรักก็จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนๆกับความรักในตอนนี้
8. การรับรู้ของ sense 5 อย่าง อิงกับเวลา ... และเราก็คุ้นเคยแต่กับ sense เหล่านี้
ในมุมมองของวิทยาศาสตร์ ไม่มีใครรู้ว่าทำไม "เรา" ถึงมาเกิดในช่วงเวลานี้ๆ เกิดมาก็เจอกับโลกอย่างนี้ อดีตกาลมีคนเกิดก่อนเรามากมาย และเราก็ทำอะไรๆต่อไปเพื่อคนในอนาคต เพราะเราก็จะตายกันในอายุไม่เกิน 100 ปี เกิดมา 0 - 100 ปี ทำไมต้องเป็นช่วงนี้ก็ไม่มีใครทราบ ก่อนหน้าเราเกิด โลกจะเป็นอย่างไรเราก็ไม่สามารถเห็นได้ แล้วหลังเราตาย มันก็มืดกันไปเช่นเดียวกับตอนก่อนจะมาเกิดจะไม่สามารถรับรู้อะไรได้เช่นกัน
ส่วนตัว ... มักจะเห็นเหตุการณ์ในอนาคตระดับหนึ่งถึงสองวันในฝัน เป็นต้นว่าสามคืนก่อนเห็นเครื่องบินในฝันบนท้องฟ้าสวยงาม แต่ต่อมาตก .. พอตื่นขึ้นมา เราเองก็รออยู่ว่ามันน่าจะเป็นเหตุการณ์อะไรในวันนั้น ปรากฏว่าก็ไม่มี จนกระทั่งลืมแล้ววันต่อมาก็เอา drone ที่เพิ่งซื้อมาเล่น แต่เพราะลมแรงมันจึงตก ... ก็เป็นประสบการณ์ส่วนตัวว่าอนาคตมันมาเชื่อมโยงกับปัจจุบันได้อย่างไร