Chapter 1 ปฐมบทแห่งการเดินทาง
ต้องเกริ่นเหมือนคนอื่นๆก่อนนะคะ นี่เป็นกระทู้แรกของเรา แล้ว account นี้ก็ยืมของน้องสาวที่ไปร่วมชะตากรรมด้วยกันมาใช้
ต้องขอโทษทุกๆคนด้วยที่อาจข้ามรายละเอียดบางอย่างไป เนื่องจาก 2 ปี ความจำป้าก็เริ่มเสื่อมไปบ้างแล้วตามกาลและเวลา
ถ้ามีอะไรสงสัยตรงไหนถามได้เลยนะคะ
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า เนื่องจากช่วงนี้ เด็กน้อยมหาลัยเริ่มปิดเทอมกันแล้ว เลยนึกย้อนกลับไปวัยละอ่อนสมัยตัวเองไป work ที่เมกา
ขอบอกก่อนว่าเราไปมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว (ปี 2013) แต่อยากแชร์ให้เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่กำลังเตรียมตัว และอยากรู้จักกับโครงการนี้มากขึ้น
คำเตือน: ประสบการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ไม่ได้สวยหรู ฮิปสเตอร์อย่างที่ใครๆคิด สารพัดปัญหาค่อยๆ ปรากฏออกมา say hello กับต่างด้าวเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ลืมกระเป๋าเป้ไว้บนรถบัส ได้ชั่วโมงงานไม่ครบ ไปเล่นสกีก็ถูกทิ้งเอาไว้ โดนนายจ้างเรียกไปว่าต่อหน้าแขก ร้องไห้กับฝรั่งครั้งแรก เก็บซากคนเมาครั้งแรก กินอาหารไทยร้านเวียดนาม และสารพัดเรื่องราวชวนปวดหัวที่จะเล่าให้ฟังต่อไป
Chapter 2 ติดตามต่อได้ที่
http://ppantip.com/topic/33737831
Chapter 7 ติดตามต่อได้ที่
http://ppantip.com/topic/33768465
Chapter 9 ติดตามต่อได้ที่
http://ppantip.com/topic/33875723
เริ่มกันเลยเนอะ
เนื่องจากเรากับน้องสาวตัดสินใจแบบฉุกละหุกวินาทีสุดท้าย เลยไม่ค่อยมีแผนการ ไปแบบโชคช่วย เริ่มจากหา agency หางาน ติดต่อกับนายจ้างที่อเมริกาเสร็จ ทำพาสปอร์ต ทำวีซ่า เตรียมกระเป๋า เสื้อผ้า หาข้อมูลเท่าที่จะหาได้ หาตั๋วเครื่องบิน ซึ่งเราตัดสินใจใช้บริการ Korean Air เนื่องจากอยากไปแวะส่องโอปป้า เอ๊ย ไม่ใช่ เนื่องจากแอร์สวย บริการดี มีน้ำใจ อิอิ ก็ถึงเวลาออกเดินทาง
หลังจากโบกมือลาครอบครัวและเพื่อนๆ ที่สุวรรณภูมิเสร็จ เครื่อง take off ประมาณตีหนึ่ง ก็มาถึง Korea ช่วงเช้า ได้แวะ stop ที่เกาะหลี มีเวลาหายใจร่วมกับโอปป้าจนถึงประมาณบ่ายสาม เราจึงออกมาลัลล้ากันที่แหล่งช็อปสุดฮิต (รึเปล่า) อย่างเมียงดง ต่อกันที่คลองชองเกชอน เซจงเซ็นเตอร์ และเดินไปมั่วๆ เราก็กลับมาที่สนามบิน เตรียมตัวเดินทางต่อสู่ JFK !
บรรยากาศถนนบริเวณเซจงเซ็นเตอร์ยามบ่าย ขอบอกว่าหนาวสะท้านมาก ปากงี้สั่น
หลังจากนั่งๆนอนๆ บนเครื่องดูวิวข้างหน้าต่างมาเรื่อยๆ ในที่สุดต่างด้าวอิมพอร์ตก็แลนดิ้งโดยสวัสดิภาพสู่สนามบิน JFK แล้วจ้า เนื่องจากเราต้องมาปฐมนิเทศที่ New York กับเอเจนซี่ของเมกาก่อนแยกย้ายกันไปทำงาน ซึ่งเราได้งานจริงๆที่ New Hampshire เราเลยต้องแวะ New York กันก่อน 2 วัน เราถึง JFK กันประมาณ 3 ทุ่ม กว่าจะผ่านด่าน ตม รอกระเป๋าก็เกือบๆ 4 ทุ่มละ ออกมาหา shuttle bus เพื่อไปยังโรงแรมที่เอเจนซี่จองไว้ให้เรา ณ จุดๆนั้น หนาวจับจิตยิ่งกว่าตอนอยู่เกาหลี ผู้คนพลุกพล่าน หอบกระเป๋าล้านแปดเยอะกว่าพจมานย้ายไปอยู่บ้านทรายทอง อยู่ในดินแดนที่พูดภาษาแม่ไปก็ไร้คนเข้าใจ ในที่สุดก็ได้เวลาที่ต่างด้าวต้อง speak English อย่างเป็นทางการ !
เราตัดสินใจถามเจ้าหน้าที่ตรง information เล็กน้อยว่าจะไปขึ้น shuttle bus ได้ที่ไหนบ้าง แต่ๆๆๆ ฟังไม่ออกอ่ะ ก็เลยตัดสินใจเดินออกไปหน้าประตูสนามบิน เอาไงเอากัน หนาวก็หนาว ระหว่างนั้นก็มีพี่ African American คนนึงเดินเข้ามาหาเรา ขอเรียกว่าพี่ดำเบอร์ 1 พูดคุยกันแปลเป็นไทยได้ประมาณนี้
พี่ดำเบอร์ 1 : shuttle bus มั้ยน้อง?
ต่างด้าว : ผ่านโรงแรมนี้มั้ยเพ่ (ต่างด้าวยื่นชื่อกะแผนที่โรงแรมให้ดู)
พี่ดำเบอร์ 1 : ผ่านๆ น้องเตรียมขึ้นรถได้เลย
ต่างด้าว : ฮาวมัช?
หลังจากสอบถามราคากันเสร็จ ประมาณ 10 กว่าเหรียญ ภาษามือชี้โบ๊ชี้เบ๊ เราก็ตามพี่แกไปขึ้นรถ สักพักรถก็มา shuttle bus ที่นี่คล้ายๆ กับรถเมบ้านเรา แต่คันเล็กกว่า พี่ดำเบอร์ 1 ก็บอกกับคนขับให้ว่าเราจะไปลงไหน เราขึ้นไปถึงคนก็นั่งเต็มไปหมดแล้ว เนื่องจากรถผ่านมาหลาย terminal เรากะน้องก็เลยนั่งแยกกัน ทีนี้ต่างด้าวก็คาดเข็มขัดไม่เป็นค่ะ ซึ่ง ณ จุดนี้ เราขอเรียกคนขับว่า พี่ดำเบอร์ 2 ละกัน ก็มาช่วยคาดเข็มขัดให้เรา เห็นมั้ยคนดำไม่น่ากลัวอย่างที่คิด และน้ำใจดีอีกต่างหาก ได้สัมผัสแล้วจะหลงรัก 5555 เพื่อความแน่ใจ เราก็ยื่นชื่อพร้อมแผนที่โรงแรมให้พี่แกอีกรอบ พี่แกก็พยักหน้ารับรู้ จากนั้นรถก็เคลื่อนออกจาก terminal มุ่งสู่ใจกลางมหานครนิวยอร์คกัน !
บรรยากาศถนนยามค่ำคืน ระหว่างที่เราอยู่บน shuttle bus
ระหว่างทางบน shuttle bus ก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก พี่ดำเบอร์ 2 ของเราก็ใจดี แนะนำโรงแรงที่พักที่น่าสนใจให้ทุกคนฟังไปตลอดทาง พร้อมมุกตลก (บางทีก็ไม่รู้หรอกว่าตลก ฉันเห็นฝรั่งคนอื่นเขาหัวเราะกันอ่ะแกร๊) ก็มาถึงโรงแรมของเรา สุดท้ายเราก็เลยให้ทิปพี่ดำเบอร์ 2 ไปเล็กน้อย น้อยมากจริงๆ เป็นสินน้ำใจที่ช่วยเหลือต่างด้าวทั้ง 2 เรากับน้องรีบตบเท้าเข้าสู่โรงแรม เพราะตอนนั้นจะเที่ยงคืนละ บวกกับเหนื่อยจากการเดินทางเกือบ 2 วัน ตาใกล้จะปิดละ พี่ต้องมาต่อแถวรอเข้าคิวที่ reception โรงแรมอีกค่ะ ฮ่วย ไม่เข้าใจเลยจีๆ จะมา check in ไรตอนนี้พร้อมกัน ยืนรอนานมากกกกกกกก ในที่สุดก็ถึงเรา บอกชื่อเอเจนซี่กับพนักงานไป แสดงพาสปอร์ตนิดหน่อย ก็ได้กุญแจห้องมาในที่สุด ได้เวลาคืนความสุขให้แก่ต่างด้าวแล้วจ้า
เนื่องจากเราไม่ได้อาบน้ำกันมา 2 วันเต็มก็รีบอาบน้ำ สระผม ตื่นเต้นกับวิวนิวยอร์กกันเล็กน้อย ก่อนกระโดดลงนอน ซึ่งตอนเช้าพี่เอเจนซี่จากไทยที่มา stand by ที่นิวยอร์กก่อนแล้วนัดเราไว้ที่ lobby ตอน 8 โมงเช้า
Work and Travel เมื่อฉันทดลองเป็นต่างด้าว ณ เมกา
ต้องเกริ่นเหมือนคนอื่นๆก่อนนะคะ นี่เป็นกระทู้แรกของเรา แล้ว account นี้ก็ยืมของน้องสาวที่ไปร่วมชะตากรรมด้วยกันมาใช้
ต้องขอโทษทุกๆคนด้วยที่อาจข้ามรายละเอียดบางอย่างไป เนื่องจาก 2 ปี ความจำป้าก็เริ่มเสื่อมไปบ้างแล้วตามกาลและเวลา
ถ้ามีอะไรสงสัยตรงไหนถามได้เลยนะคะ
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า เนื่องจากช่วงนี้ เด็กน้อยมหาลัยเริ่มปิดเทอมกันแล้ว เลยนึกย้อนกลับไปวัยละอ่อนสมัยตัวเองไป work ที่เมกา
ขอบอกก่อนว่าเราไปมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว (ปี 2013) แต่อยากแชร์ให้เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่กำลังเตรียมตัว และอยากรู้จักกับโครงการนี้มากขึ้น
คำเตือน: ประสบการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ไม่ได้สวยหรู ฮิปสเตอร์อย่างที่ใครๆคิด สารพัดปัญหาค่อยๆ ปรากฏออกมา say hello กับต่างด้าวเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ลืมกระเป๋าเป้ไว้บนรถบัส ได้ชั่วโมงงานไม่ครบ ไปเล่นสกีก็ถูกทิ้งเอาไว้ โดนนายจ้างเรียกไปว่าต่อหน้าแขก ร้องไห้กับฝรั่งครั้งแรก เก็บซากคนเมาครั้งแรก กินอาหารไทยร้านเวียดนาม และสารพัดเรื่องราวชวนปวดหัวที่จะเล่าให้ฟังต่อไป
Chapter 2 ติดตามต่อได้ที่ http://ppantip.com/topic/33737831
Chapter 7 ติดตามต่อได้ที่ http://ppantip.com/topic/33768465
Chapter 9 ติดตามต่อได้ที่ http://ppantip.com/topic/33875723
เริ่มกันเลยเนอะ
เนื่องจากเรากับน้องสาวตัดสินใจแบบฉุกละหุกวินาทีสุดท้าย เลยไม่ค่อยมีแผนการ ไปแบบโชคช่วย เริ่มจากหา agency หางาน ติดต่อกับนายจ้างที่อเมริกาเสร็จ ทำพาสปอร์ต ทำวีซ่า เตรียมกระเป๋า เสื้อผ้า หาข้อมูลเท่าที่จะหาได้ หาตั๋วเครื่องบิน ซึ่งเราตัดสินใจใช้บริการ Korean Air เนื่องจากอยากไปแวะส่องโอปป้า เอ๊ย ไม่ใช่ เนื่องจากแอร์สวย บริการดี มีน้ำใจ อิอิ ก็ถึงเวลาออกเดินทาง
หลังจากโบกมือลาครอบครัวและเพื่อนๆ ที่สุวรรณภูมิเสร็จ เครื่อง take off ประมาณตีหนึ่ง ก็มาถึง Korea ช่วงเช้า ได้แวะ stop ที่เกาะหลี มีเวลาหายใจร่วมกับโอปป้าจนถึงประมาณบ่ายสาม เราจึงออกมาลัลล้ากันที่แหล่งช็อปสุดฮิต (รึเปล่า) อย่างเมียงดง ต่อกันที่คลองชองเกชอน เซจงเซ็นเตอร์ และเดินไปมั่วๆ เราก็กลับมาที่สนามบิน เตรียมตัวเดินทางต่อสู่ JFK !
บรรยากาศถนนบริเวณเซจงเซ็นเตอร์ยามบ่าย ขอบอกว่าหนาวสะท้านมาก ปากงี้สั่น
หลังจากนั่งๆนอนๆ บนเครื่องดูวิวข้างหน้าต่างมาเรื่อยๆ ในที่สุดต่างด้าวอิมพอร์ตก็แลนดิ้งโดยสวัสดิภาพสู่สนามบิน JFK แล้วจ้า เนื่องจากเราต้องมาปฐมนิเทศที่ New York กับเอเจนซี่ของเมกาก่อนแยกย้ายกันไปทำงาน ซึ่งเราได้งานจริงๆที่ New Hampshire เราเลยต้องแวะ New York กันก่อน 2 วัน เราถึง JFK กันประมาณ 3 ทุ่ม กว่าจะผ่านด่าน ตม รอกระเป๋าก็เกือบๆ 4 ทุ่มละ ออกมาหา shuttle bus เพื่อไปยังโรงแรมที่เอเจนซี่จองไว้ให้เรา ณ จุดๆนั้น หนาวจับจิตยิ่งกว่าตอนอยู่เกาหลี ผู้คนพลุกพล่าน หอบกระเป๋าล้านแปดเยอะกว่าพจมานย้ายไปอยู่บ้านทรายทอง อยู่ในดินแดนที่พูดภาษาแม่ไปก็ไร้คนเข้าใจ ในที่สุดก็ได้เวลาที่ต่างด้าวต้อง speak English อย่างเป็นทางการ !
เราตัดสินใจถามเจ้าหน้าที่ตรง information เล็กน้อยว่าจะไปขึ้น shuttle bus ได้ที่ไหนบ้าง แต่ๆๆๆ ฟังไม่ออกอ่ะ ก็เลยตัดสินใจเดินออกไปหน้าประตูสนามบิน เอาไงเอากัน หนาวก็หนาว ระหว่างนั้นก็มีพี่ African American คนนึงเดินเข้ามาหาเรา ขอเรียกว่าพี่ดำเบอร์ 1 พูดคุยกันแปลเป็นไทยได้ประมาณนี้
พี่ดำเบอร์ 1 : shuttle bus มั้ยน้อง?
ต่างด้าว : ผ่านโรงแรมนี้มั้ยเพ่ (ต่างด้าวยื่นชื่อกะแผนที่โรงแรมให้ดู)
พี่ดำเบอร์ 1 : ผ่านๆ น้องเตรียมขึ้นรถได้เลย
ต่างด้าว : ฮาวมัช?
หลังจากสอบถามราคากันเสร็จ ประมาณ 10 กว่าเหรียญ ภาษามือชี้โบ๊ชี้เบ๊ เราก็ตามพี่แกไปขึ้นรถ สักพักรถก็มา shuttle bus ที่นี่คล้ายๆ กับรถเมบ้านเรา แต่คันเล็กกว่า พี่ดำเบอร์ 1 ก็บอกกับคนขับให้ว่าเราจะไปลงไหน เราขึ้นไปถึงคนก็นั่งเต็มไปหมดแล้ว เนื่องจากรถผ่านมาหลาย terminal เรากะน้องก็เลยนั่งแยกกัน ทีนี้ต่างด้าวก็คาดเข็มขัดไม่เป็นค่ะ ซึ่ง ณ จุดนี้ เราขอเรียกคนขับว่า พี่ดำเบอร์ 2 ละกัน ก็มาช่วยคาดเข็มขัดให้เรา เห็นมั้ยคนดำไม่น่ากลัวอย่างที่คิด และน้ำใจดีอีกต่างหาก ได้สัมผัสแล้วจะหลงรัก 5555 เพื่อความแน่ใจ เราก็ยื่นชื่อพร้อมแผนที่โรงแรมให้พี่แกอีกรอบ พี่แกก็พยักหน้ารับรู้ จากนั้นรถก็เคลื่อนออกจาก terminal มุ่งสู่ใจกลางมหานครนิวยอร์คกัน !
บรรยากาศถนนยามค่ำคืน ระหว่างที่เราอยู่บน shuttle bus
ระหว่างทางบน shuttle bus ก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก พี่ดำเบอร์ 2 ของเราก็ใจดี แนะนำโรงแรงที่พักที่น่าสนใจให้ทุกคนฟังไปตลอดทาง พร้อมมุกตลก (บางทีก็ไม่รู้หรอกว่าตลก ฉันเห็นฝรั่งคนอื่นเขาหัวเราะกันอ่ะแกร๊) ก็มาถึงโรงแรมของเรา สุดท้ายเราก็เลยให้ทิปพี่ดำเบอร์ 2 ไปเล็กน้อย น้อยมากจริงๆ เป็นสินน้ำใจที่ช่วยเหลือต่างด้าวทั้ง 2 เรากับน้องรีบตบเท้าเข้าสู่โรงแรม เพราะตอนนั้นจะเที่ยงคืนละ บวกกับเหนื่อยจากการเดินทางเกือบ 2 วัน ตาใกล้จะปิดละ พี่ต้องมาต่อแถวรอเข้าคิวที่ reception โรงแรมอีกค่ะ ฮ่วย ไม่เข้าใจเลยจีๆ จะมา check in ไรตอนนี้พร้อมกัน ยืนรอนานมากกกกกกกก ในที่สุดก็ถึงเรา บอกชื่อเอเจนซี่กับพนักงานไป แสดงพาสปอร์ตนิดหน่อย ก็ได้กุญแจห้องมาในที่สุด ได้เวลาคืนความสุขให้แก่ต่างด้าวแล้วจ้า
เนื่องจากเราไม่ได้อาบน้ำกันมา 2 วันเต็มก็รีบอาบน้ำ สระผม ตื่นเต้นกับวิวนิวยอร์กกันเล็กน้อย ก่อนกระโดดลงนอน ซึ่งตอนเช้าพี่เอเจนซี่จากไทยที่มา stand by ที่นิวยอร์กก่อนแล้วนัดเราไว้ที่ lobby ตอน 8 โมงเช้า