สวัสดีครับผมเป็นเด็กวัยรุ่นคนนึง ที่ใช้ชีวิตธรรมดาทั่วไป ฐานะทางบ้านมีจุดที่ต้องเกือบอดข้าวบางมื้อ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นนั่น
หรือจะเป็นช่วงที่การเงินค่อนข้างไหลลื่น ไม่เสียดายรายจ่าย เวลากินแต่ละมื้อ ก็ล้วนผ่านมาแล้ว ซึ่งปัจจุบัน อยู่ในช่วงพอมีกิน
แต่ไม่ได้ไหลลื่นมากนัก เรื่องราวชีวิตมันดูเหมือนละครนิยายนํ้าเน่า ตามละครทีวีแต่มันแตกต่างที่ไม่มีตอนจบบริบูรณ์ เหมือนในทีวี
ที่ฝ่ายร้ายจะลงเอยด้วยการกลับตัว หรือฝ่ายดีจะสุขสันและปิดเรื่องราวลงไป เรื่องของผมมันเริ่มที่ว่า ผมเกิดในวันที่พ่อไม่ได้ตั้งใจ
ผมเกือบจะไม่มีชีวิตมานั่งพิมพ์อะไรแบบนี้เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว แต่ด้วยบุญหรือบาปทำให้ผมได้เกิดมาได้ เพียงเพราะหมอทำแท้ง
ได้เตือนสติแม่ของผม "เขาน่าสงสารนะ เขาไม่รู้เรื่อง แต่ต้องมาตาย รักษาเขาไว้ได้ไหม เราไม่เลี้ยง หมอจะเลี้ยงเอง" แม่ผมกำเงิน
3000 บาทในมือ ออกจากคลินิคทั้งนํ้าตา แกเล่าว่า 3000 ที่เกือบจะเป็นเหมือนอาวุธฆ่าชีวิตผม กลายเป็นอาหารอร่อยเต็มไปด้วย
สารอาหารมากมาย บำรุงตัวผมและแม่ขณะตั้งท้อง จนพ่อผมทราบว่าแม่เอาเงินที่เป็นอาวุธเปลี่ยนกลายเป็นชีวิตเด็กคนนึง เขาก็ได้
ให้สัญญาว่า จะให้ผมออกมาดูโลก ถึงแม้ผมจะขึ้นชื่อว่าลูกเมียน้อย แต่พ่อยินดีจะสละครอบครัวแรกมาอุ้มชูผม กับแม่ พ่อยอมให้
เพื่อนพี่น้องญาติ ดูถูกว่าเป็นคนไม่ดีที่ทิ้งภรรยาแรกและครอบครัวไป เพียงแค่ว่ารักษาความเป้นลูกผู้ชายทำแล้วรับผิดชอบสมเป็น ตำรวจ
ผมเกิดมาในบ้านที่ไม่ค่อยจะมีฐานะมากนักตั้งแต่จำความได้ ความทรงจำวัยเด็กสวยงามทุกวินาที รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
เพื่อนพ้องรอบตัวที่ยิ้มให้กันแบบไม่มีหน้ากาก ญาติพี่น้องทางพ่อ ต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ขนม นมเนย ทุกครั้งที่เจอ ส่วนญาติพี่น้องทางแม่
อยู่ใน กทม ไม่ค่อยได้สัมพัสมากนัก ชีวิตผมตั้งแต่จำความได้ เหมือนจะเกิดบนรอยยิ้มของพ่อแม่และทุกคน แต่บทความละครไม่ได้มีแค่
ฉากความสุขทั้งเรื่องไป เมื่อแท้จริงแล้ว ผมเกิดมาพร้อมกับคำด่าและสาปแช่ง ของญาติทางพ่อที่ เกลียดเมียน้อยอย่างแม่ผม ที่มาทำให้
ครอบครัวของเขาแตกแยก ทั้งๆที่พ่อผม เต็มใจแยกออกมาอยู่กับผมและแม่ ขอเล่าย้อนไปสักนิด แม่ผมเคยทำงานสายสุขภาพ และออกหน่วย
ทั่วประเทศอยู่บ่อยๆ แกเคยเล่าให้ฟังว่า เคยมีหมอดูทักว่าจะได้ครอบครัว ที่ ภาคเหนือและอยู่กินที่นั่น โดยพื้นเพเป็นคน กทม. เลยคิดสนุก
ว่าตัวเองจะไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร และได้ทำนายเสริมว่า ตนจะสิ้นอายุในวัย 54 ปี และแล้ววันนึงก็ออกหน่วยมายัง จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือตอนล่าง
เหตุการณ์ที่ได้เจอพ่อผมแล้วจะเรียกว่าพบรักหรืออะไรก็ไม่ทราบแน่ชัด ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดที่กล่าวมา กลับมาที่ผมเล่าทิ้งไว้
ตระกูลนี้เหมือนจะอบอุ่นดีในวันพบญาติหรือสงกรานต์ไทย ผมมักจะเคยชินกับการให้เงินค่าขนมและการถามไถ่ต่างๆสนิทสนม
จนผมเชื้อใจว่า ผมมีครอบครัวที่อบอุ่น เต็มไปด้วยพ่อแม่ญาติและเพื่อนรอบตัว ผมพอใจแล้ว แต่บทละครเรื่องราวชีวิตในส่วนเลวร้ายพึ่งจะเริ่ม
เมื่อการจากไปของพี่น้องพ่อ 2คน ด้วยโรคและอุบัติเหตุ ทำให้เกิดการขุดเรื่องการแบ่งสรรปันมรดกของปู่ย่าเป็นพื้นที่พร้อมบ้านไม้เก่าๆใจกลางเมือง ซึ่งค่อนข้างมีราคาดีทีเดียว เกิดการเจรจากันหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผลสรุปดี เนื่องจาก พี่น้องของพ่อ เจตนาไม่ตรงกัน บางคนต้องการขายและแบ่งเงิน เท่าๆกัน บางคนต้องการสร้างตึกเพื่อหากินรายได้ และพ่อผม ต้องการเก็บไว้ให้เป็นที่เตือนใจของตระกูล และเป็นสถาณที่ไหว้วิญญานปู่ย่า ตรงช่วงนี้ ผมต้องขอทิ้งท้ายไว้ที่น้องคนเล็กของพ่อ ผู้ซึ่งไม่มีเจตนารมใดๆเลย เพราะแกเป็นโรคบ้า
เมื่อผมเติบโตจนอายุครบ 14 ปี ช่วงเวลา 14ปีนะหรอ ผมมีความสุขมาก ไม่ต้องรํ่ารวยแต่มีพ่อกับแม่ ด้วยความเป็นลูกคนเดียว ถูกเลี้ยงมาค่อนข้าง โอ๋ เลยทีเดียว ในช่วง14ปี ผมจะเห็นช่วงที่มีคนมาต่อว่าเรื่องหนี้สิน อยู่บ้างบางเวลา จนพ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยๆ ซึ้งทำให้ผมรู้ว่าบ้านผมก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดเท่าไหร่นะ แต่ทุกครั้งก็ยังอยู่ด้วยกันไม่หย่าร้าง ผมก็พอใจ แล้วชีวิตก็ถึงจุดเปลี่ยน เมื่อพ่อผมป่วยไม่ทราบสาเหตุ จึงเข้าตรวจ รพ ศิริราช แล้วพบว่า เป็น "มะเร็ง" ด้วยความที่รู้ว่าเป็นมะเร็ง โรคที่ใครๆก็บอกว่า ตายแน่นอน ทำเอาที่บ้านวิตกกันไปตามๆกัน โดยความจริงและระยะของโรค แม่เป็นผู้รู้จากหมอคนเดียวและไม่ยอมบอกผม กับพ่อให้รู้ พ่อได้รับการรักษาที่เรียกว่า คีโม แต่ด้วยใจที่สู้ และใจที่แน่วแน่ของตำรวจตระเวนชายแดนเก่า ทำให้แกรักษาสุขภาพต่อผลของยาต่างๆได้เรื่อยมา ด้วยการดูแลอย่างใกล้ชิดของแม่ แต่แล้วผมกับแม่ก็ไม่สามารถเอาชนะเจ้ามะเร็งได้
ตั้งแต่พ่อป่วยแม่เริ่มขาดรายได้ เงินที่มีมาใช้จ่ายในการเดินทางค่ากิน โดนที่ค่ายา พ่อเบิกได้ จนวันนึง การเงินถึงจุดขาดตัว พ่อมีความเครียดที่เห็นบ้านขาดรายได้ แม่ที่ต้องหาเงินด้วยดูแลพ่อด้วย ผมเรียน ม 6 กำลังจะเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย แต่แล้วที่พ่อเคยบอกว่าจะอยู่จนผมรับปริญญาก็สลาย พ่อได้จากไปด้วยโรค "ไข้หวัด" ฟังดูเหมือนเรื่องตลก มะเร็ง อยู่กันมา เกือบ 4 ปี ต่อยคนละหมัดกันมาเรื่อย แต่มาแพ้ด้วยโรคไข้หวัด แล้วแทรกซ้อน จนแกจากไป ผมพยายามตั้งสติ และปลอบใจแม่ตลอด เพราะแกมักจะโทษตัวเองว่าเป็นเพราะแก ช่วงงานศพเหมือนทุกอย่างจะไปด้วยดี มีการขอไฟพระราชทานเพื่อเป็นเกียรติ เป็นจุดแตกหักของเรื่องนี้ เมื่อบทความกล่าวประวัติของผู้เสียชีวิต ตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต ในขณะดำเนินพิธีเผาศพ "ไม่มีชื่อผมและแม่อยู่ในประวัติ" ตัวผมที่บวชหน้าไฟอยู่คิดทันใดว่า แม่ผมเอาเรื่องแน่ ผมหันไปมองก็ผมว่าสีหน้าแม่ กำลังโมโหทั้งนํ้าตา เหมือนโดนตบหน้าแรงๆ เพราะประวัติที่เขียนขึ้นนั่น มาจากญาติทางพ่อ และไม่ได้ผ่านตาแม่ผมก่อนจะกล่าวในพิธี เพราะแม่ผมเชื่อใจไว้ใจ และอยากให้ผมรักใคร่หลังจากพ่อได้เสียไป เมื่อคำกล่าวประวัติจบ ต้องมีการจุดพลุจากต้นทาง แต่ พลุกลับไม่วิ่งไปตามเส้น กลับระเบิดตรงต้นทาง ผมคิดว่าพ่อคงจะไม่พ่อใจเป็นแน่ ที่ในประวัติพ่อ ไม่มีผมและแม่ผู้ที่อยู่กับเขาจนสิ้นลม อยู่แม้แต่ชื่อ เป็นที่มึนงงในงาน ว่าทำไมเป็นแบบนี้ แม่ผมด้วยอารมณ์โมโหโทสะ อารวาดและถามกับญาติทางพ่อผู้เป็นหน้างานว่า "ฉันผิดหรอที่เป็นเมียน้อย ที่ตัวเขาเลือกมาอยู่กับฉันเอง แล้วลูกฉันผิดอะไร ทำไมไม่มีชื่อ เด็กมันไม่รู้เรื่อง" ผมพยายามเข้าไปบอกกับแม่ว่า พอเถอะแม่ เรื่องนี้ให้พ้นเวลานี้ไปก่อน เราค่อยว่ากัน ตัวผมเองยอมรับว่ารู้สึกเจ็บ ที่เหมือนเราบวชหน้าไฟอยู่ในงาน แต่ไม่มีแม้แต่ชื่อ ว่าเป็นลูก แล้วเรื่องราวในวันนั่นก็ผ่านไป พร้อมทิ้งคำถามคาใจมากมาย
เดียวผมมาต่อนะครับ ที่ผมมาตั้งกระทู้ไม่มีเจตนาใดนอกจาก อยากระบายปมด้อยในชีวิต ผิดพลาดหรือไม่เข้าตาท่านใดขออภัยครับ
ถ้าวันนึง ต้องอยู่คนเดียว ไร้ญาติ คู่ชีวิต และมิตรสหาย
หรือจะเป็นช่วงที่การเงินค่อนข้างไหลลื่น ไม่เสียดายรายจ่าย เวลากินแต่ละมื้อ ก็ล้วนผ่านมาแล้ว ซึ่งปัจจุบัน อยู่ในช่วงพอมีกิน
แต่ไม่ได้ไหลลื่นมากนัก เรื่องราวชีวิตมันดูเหมือนละครนิยายนํ้าเน่า ตามละครทีวีแต่มันแตกต่างที่ไม่มีตอนจบบริบูรณ์ เหมือนในทีวี
ที่ฝ่ายร้ายจะลงเอยด้วยการกลับตัว หรือฝ่ายดีจะสุขสันและปิดเรื่องราวลงไป เรื่องของผมมันเริ่มที่ว่า ผมเกิดในวันที่พ่อไม่ได้ตั้งใจ
ผมเกือบจะไม่มีชีวิตมานั่งพิมพ์อะไรแบบนี้เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว แต่ด้วยบุญหรือบาปทำให้ผมได้เกิดมาได้ เพียงเพราะหมอทำแท้ง
ได้เตือนสติแม่ของผม "เขาน่าสงสารนะ เขาไม่รู้เรื่อง แต่ต้องมาตาย รักษาเขาไว้ได้ไหม เราไม่เลี้ยง หมอจะเลี้ยงเอง" แม่ผมกำเงิน
3000 บาทในมือ ออกจากคลินิคทั้งนํ้าตา แกเล่าว่า 3000 ที่เกือบจะเป็นเหมือนอาวุธฆ่าชีวิตผม กลายเป็นอาหารอร่อยเต็มไปด้วย
สารอาหารมากมาย บำรุงตัวผมและแม่ขณะตั้งท้อง จนพ่อผมทราบว่าแม่เอาเงินที่เป็นอาวุธเปลี่ยนกลายเป็นชีวิตเด็กคนนึง เขาก็ได้
ให้สัญญาว่า จะให้ผมออกมาดูโลก ถึงแม้ผมจะขึ้นชื่อว่าลูกเมียน้อย แต่พ่อยินดีจะสละครอบครัวแรกมาอุ้มชูผม กับแม่ พ่อยอมให้
เพื่อนพี่น้องญาติ ดูถูกว่าเป็นคนไม่ดีที่ทิ้งภรรยาแรกและครอบครัวไป เพียงแค่ว่ารักษาความเป้นลูกผู้ชายทำแล้วรับผิดชอบสมเป็น ตำรวจ
ผมเกิดมาในบ้านที่ไม่ค่อยจะมีฐานะมากนักตั้งแต่จำความได้ ความทรงจำวัยเด็กสวยงามทุกวินาที รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
เพื่อนพ้องรอบตัวที่ยิ้มให้กันแบบไม่มีหน้ากาก ญาติพี่น้องทางพ่อ ต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ขนม นมเนย ทุกครั้งที่เจอ ส่วนญาติพี่น้องทางแม่
อยู่ใน กทม ไม่ค่อยได้สัมพัสมากนัก ชีวิตผมตั้งแต่จำความได้ เหมือนจะเกิดบนรอยยิ้มของพ่อแม่และทุกคน แต่บทความละครไม่ได้มีแค่
ฉากความสุขทั้งเรื่องไป เมื่อแท้จริงแล้ว ผมเกิดมาพร้อมกับคำด่าและสาปแช่ง ของญาติทางพ่อที่ เกลียดเมียน้อยอย่างแม่ผม ที่มาทำให้
ครอบครัวของเขาแตกแยก ทั้งๆที่พ่อผม เต็มใจแยกออกมาอยู่กับผมและแม่ ขอเล่าย้อนไปสักนิด แม่ผมเคยทำงานสายสุขภาพ และออกหน่วย
ทั่วประเทศอยู่บ่อยๆ แกเคยเล่าให้ฟังว่า เคยมีหมอดูทักว่าจะได้ครอบครัว ที่ ภาคเหนือและอยู่กินที่นั่น โดยพื้นเพเป็นคน กทม. เลยคิดสนุก
ว่าตัวเองจะไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร และได้ทำนายเสริมว่า ตนจะสิ้นอายุในวัย 54 ปี และแล้ววันนึงก็ออกหน่วยมายัง จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือตอนล่าง
เหตุการณ์ที่ได้เจอพ่อผมแล้วจะเรียกว่าพบรักหรืออะไรก็ไม่ทราบแน่ชัด ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดที่กล่าวมา กลับมาที่ผมเล่าทิ้งไว้
ตระกูลนี้เหมือนจะอบอุ่นดีในวันพบญาติหรือสงกรานต์ไทย ผมมักจะเคยชินกับการให้เงินค่าขนมและการถามไถ่ต่างๆสนิทสนม
จนผมเชื้อใจว่า ผมมีครอบครัวที่อบอุ่น เต็มไปด้วยพ่อแม่ญาติและเพื่อนรอบตัว ผมพอใจแล้ว แต่บทละครเรื่องราวชีวิตในส่วนเลวร้ายพึ่งจะเริ่ม
เมื่อการจากไปของพี่น้องพ่อ 2คน ด้วยโรคและอุบัติเหตุ ทำให้เกิดการขุดเรื่องการแบ่งสรรปันมรดกของปู่ย่าเป็นพื้นที่พร้อมบ้านไม้เก่าๆใจกลางเมือง ซึ่งค่อนข้างมีราคาดีทีเดียว เกิดการเจรจากันหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผลสรุปดี เนื่องจาก พี่น้องของพ่อ เจตนาไม่ตรงกัน บางคนต้องการขายและแบ่งเงิน เท่าๆกัน บางคนต้องการสร้างตึกเพื่อหากินรายได้ และพ่อผม ต้องการเก็บไว้ให้เป็นที่เตือนใจของตระกูล และเป็นสถาณที่ไหว้วิญญานปู่ย่า ตรงช่วงนี้ ผมต้องขอทิ้งท้ายไว้ที่น้องคนเล็กของพ่อ ผู้ซึ่งไม่มีเจตนารมใดๆเลย เพราะแกเป็นโรคบ้า
เมื่อผมเติบโตจนอายุครบ 14 ปี ช่วงเวลา 14ปีนะหรอ ผมมีความสุขมาก ไม่ต้องรํ่ารวยแต่มีพ่อกับแม่ ด้วยความเป็นลูกคนเดียว ถูกเลี้ยงมาค่อนข้าง โอ๋ เลยทีเดียว ในช่วง14ปี ผมจะเห็นช่วงที่มีคนมาต่อว่าเรื่องหนี้สิน อยู่บ้างบางเวลา จนพ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยๆ ซึ้งทำให้ผมรู้ว่าบ้านผมก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดเท่าไหร่นะ แต่ทุกครั้งก็ยังอยู่ด้วยกันไม่หย่าร้าง ผมก็พอใจ แล้วชีวิตก็ถึงจุดเปลี่ยน เมื่อพ่อผมป่วยไม่ทราบสาเหตุ จึงเข้าตรวจ รพ ศิริราช แล้วพบว่า เป็น "มะเร็ง" ด้วยความที่รู้ว่าเป็นมะเร็ง โรคที่ใครๆก็บอกว่า ตายแน่นอน ทำเอาที่บ้านวิตกกันไปตามๆกัน โดยความจริงและระยะของโรค แม่เป็นผู้รู้จากหมอคนเดียวและไม่ยอมบอกผม กับพ่อให้รู้ พ่อได้รับการรักษาที่เรียกว่า คีโม แต่ด้วยใจที่สู้ และใจที่แน่วแน่ของตำรวจตระเวนชายแดนเก่า ทำให้แกรักษาสุขภาพต่อผลของยาต่างๆได้เรื่อยมา ด้วยการดูแลอย่างใกล้ชิดของแม่ แต่แล้วผมกับแม่ก็ไม่สามารถเอาชนะเจ้ามะเร็งได้
ตั้งแต่พ่อป่วยแม่เริ่มขาดรายได้ เงินที่มีมาใช้จ่ายในการเดินทางค่ากิน โดนที่ค่ายา พ่อเบิกได้ จนวันนึง การเงินถึงจุดขาดตัว พ่อมีความเครียดที่เห็นบ้านขาดรายได้ แม่ที่ต้องหาเงินด้วยดูแลพ่อด้วย ผมเรียน ม 6 กำลังจะเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย แต่แล้วที่พ่อเคยบอกว่าจะอยู่จนผมรับปริญญาก็สลาย พ่อได้จากไปด้วยโรค "ไข้หวัด" ฟังดูเหมือนเรื่องตลก มะเร็ง อยู่กันมา เกือบ 4 ปี ต่อยคนละหมัดกันมาเรื่อย แต่มาแพ้ด้วยโรคไข้หวัด แล้วแทรกซ้อน จนแกจากไป ผมพยายามตั้งสติ และปลอบใจแม่ตลอด เพราะแกมักจะโทษตัวเองว่าเป็นเพราะแก ช่วงงานศพเหมือนทุกอย่างจะไปด้วยดี มีการขอไฟพระราชทานเพื่อเป็นเกียรติ เป็นจุดแตกหักของเรื่องนี้ เมื่อบทความกล่าวประวัติของผู้เสียชีวิต ตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต ในขณะดำเนินพิธีเผาศพ "ไม่มีชื่อผมและแม่อยู่ในประวัติ" ตัวผมที่บวชหน้าไฟอยู่คิดทันใดว่า แม่ผมเอาเรื่องแน่ ผมหันไปมองก็ผมว่าสีหน้าแม่ กำลังโมโหทั้งนํ้าตา เหมือนโดนตบหน้าแรงๆ เพราะประวัติที่เขียนขึ้นนั่น มาจากญาติทางพ่อ และไม่ได้ผ่านตาแม่ผมก่อนจะกล่าวในพิธี เพราะแม่ผมเชื่อใจไว้ใจ และอยากให้ผมรักใคร่หลังจากพ่อได้เสียไป เมื่อคำกล่าวประวัติจบ ต้องมีการจุดพลุจากต้นทาง แต่ พลุกลับไม่วิ่งไปตามเส้น กลับระเบิดตรงต้นทาง ผมคิดว่าพ่อคงจะไม่พ่อใจเป็นแน่ ที่ในประวัติพ่อ ไม่มีผมและแม่ผู้ที่อยู่กับเขาจนสิ้นลม อยู่แม้แต่ชื่อ เป็นที่มึนงงในงาน ว่าทำไมเป็นแบบนี้ แม่ผมด้วยอารมณ์โมโหโทสะ อารวาดและถามกับญาติทางพ่อผู้เป็นหน้างานว่า "ฉันผิดหรอที่เป็นเมียน้อย ที่ตัวเขาเลือกมาอยู่กับฉันเอง แล้วลูกฉันผิดอะไร ทำไมไม่มีชื่อ เด็กมันไม่รู้เรื่อง" ผมพยายามเข้าไปบอกกับแม่ว่า พอเถอะแม่ เรื่องนี้ให้พ้นเวลานี้ไปก่อน เราค่อยว่ากัน ตัวผมเองยอมรับว่ารู้สึกเจ็บ ที่เหมือนเราบวชหน้าไฟอยู่ในงาน แต่ไม่มีแม้แต่ชื่อ ว่าเป็นลูก แล้วเรื่องราวในวันนั่นก็ผ่านไป พร้อมทิ้งคำถามคาใจมากมาย
เดียวผมมาต่อนะครับ ที่ผมมาตั้งกระทู้ไม่มีเจตนาใดนอกจาก อยากระบายปมด้อยในชีวิต ผิดพลาดหรือไม่เข้าตาท่านใดขออภัยครับ