แฟนผมซื้อรถโตโยต้าอัลติส มาตั้งแต่ปี 2553 การใช้งานโดยภาพรวมเป็นปรกติ ใช้งานได้ดี ไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ อุปกรณ์ส่วนประกอบใดๆ ไม่เคยมีปัญหาเลย อาจจะเป็นเพราะใช้งานค่อนข้างน้อย ในแต่ละวัน ขับรถไปทำงานไปกลับในระยะไม่เกิน 10 กิโลเมตร อยู่ในรถวันละไม่เกิน 1 ชั่วโมง เลยไม่รู้สึกว่ามีปัญหาใดๆ

ต่อมาแฟนผมได้เปลี่ยนที่ทำงาน ทำให้ต้องขับรถในระยะที่ไกลขึ้น ใช้เวลาขับรถขาไปขากลับรวมแล้ว 2-3 ชั่วโมง อยู่ในรถนานขึ้นกว่าเดิมมาก
ความรู้สึกและอาการเริ่มเกิดขึ้น คือ มีอาการเวียนหัว มึนๆ หลังจากกลับมาถึงบ้าน ช่วงแรกคิดว่า อาจจะเครียดกับการทำงาน หรือไม่ก็อาจจะไม่สบาย
ผมเองก็ไม่ค่อยได้นั่งรถแฟนผมเท่าไร แต่ก็รู้สึกว่ากลิ่นในรถค่อนข้างจะเหม็นเหมือนกลิ่นยาง พวกยางปูพื้น หรืออุปกรณ์ที่ทำจากยาง เหมือนรถใหม่ แฟนผมก็บอกว่า มีกลิ่นแบบนี้มานาน ก็รู้สึกชินๆ แต่ผมไม่ชิน คิดว่ามันเหม็น และอาจจะเป็นสาเหตุของอาการมึนๆ เวียนหัว ถ้าเป็นกลิ่นรถใหม่ น่าจะจางหายไปแล้ว เพราะรถมีอายุการใช้เกือบ 5 ปี

ผมเลยเข้าไปหาข้อมูล แล้วก็เจอเว็บอันนี้
http://www.newaltisclub.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=37373

พอดีรถใกล้ถึงระยะที่จะต้องตรวจเช็คและเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เลยให้แฟนรีบนัดหมายเพื่อเข้าศูนย์โตโยต้า บนถนนลาดพร้าว โดยนัดเข้าไปวันเสาร์ 10 โมง แต่วันนั้นบนถนนที่เดินทางไป เกิดอุบัติเหตุหรือเกิดอะไรไม่รู้ ติดหนัก จนเลยเวลานัดไป 20 นาที (แต่แฟนผมก็โทรไปแจ้งก่อนเวลา 10 โมงว่า มีปัญหาคงไปถึงช้า ทางศูนย์ก็รับทราบ)

เมื่อไปถึง ก็ทำการแจ้งว่าได้นัดมาตรวจเช็คเปลี่ยนถ่ายน้ำม้นเครื่องตามระยะ และแจ้งรายการเพิ่มเติมคือ มีกลิ่นเหม็นภายในห้องโดยสาร ทางเจ้าหน้าที่รีบสรุปว่า เป็นกลิ่นเหม็นอับที่เกิดในตู้แอร์ (ประมาณว่าสกปรก เพราะอาจจะมีการกินอาหารในรถ เพราะถามวนไปวนมาถึงประเด็นนี้) จะทำการล้างตู้แอร์ให้ และถ้าไม่หาย จำเป็นต้องเปลี่ยนตู้แอร์
ผมแย้งเจ้าหน้าที่โตโยต้าว่า กลิ่นเหม็นไม่ได้เกิดจากเหม็นอับในตู้แอร์แน่ๆ เพราะมันเป็นกลิ่นยาง กลิ่นเหมือนรถใหม่ กลิ่นแบบนี้มีมาตั้งแต่ซื้อรถ ไม่จางหาย และกลิ่นแรงขึ้นอีก ผมเลยหยิบ iPhone เปิดเว็บ(ตามลิงค์ข้างต้น) ที่บรรยายถึงปัญหากลิ่นเหม็นในรถโตโยต้าอัลติส และวิธีการถอดแผ่นยางกันความร้อนคันเกียร์ที่เป็นปัญหากลิ่นเหม็น แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมเชื่อว่าเป็นอย่างที่ผมว่า ยังคงยืนยันจะล้างตู้แอร์ จนผมบอกว่า ลองไปดมดูที่รถเลยว่า มันเป็นกลิ่นอับเหมือนรถคันอื่นๆ หรือเปล่า

พอเจ้าหน้าที่โตโยต้าไปที่รถ ก็บอกว่า นี่เป็นกลิ่นรถใหม่นี่ ผมก็บอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่กลิ่นอับจากตู้แอร์ เขายังคงเถียงผมอยู่ ผมก็เลยบอกว่า คุณไม่อยากให้ผมใช้รถโตโยต้าต่อไปหรือไง เขาเลยบอกว่า งั้นก็ให้ช่างจากโรงงานโตโยต้ามาดู จะต้องนัดเข้ามาใหม่

พอผมกลับมานั่งที่เค้าเตอร์รับรถในออฟฟิส ผมก็บอกกับเจ้าหน้าที่ตรงนั้น ทำไมมันถึงต้องวุ่นวายอะไรขนาดนี้ ผมแค่อยากให้เอาแผ่นยางตัวปัญหากลิ่นเหม็นออก และยินดีจะจ่ายเงินทั้งค่าแรงและค่าเปลี่ยนแผ่นยางใหม่ ไม่ได้มาขอฟรีๆ ไม่เข้าใจว่าต้องให้ใครต่อใครมาดู จะคิดเงินเท่าไหร่ก็ว่ามา ยังไม่พูดว่าจะให้โตโยต้ารับผิดชอบ เจ้าหน้าที่โตโยต้าจึงเปลี่ยนท่าที และก็ขอ iPhone ผม เดินเข้าไปหลังออฟฟิศ สักพักก็กลับมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่อีกคน (คงเป็นช่าง) ก็มาบอกว่า ถ้าจะเอายางอันนี้ออก จะต้องใช้เวลา วันนี้คงไม่ทัน และถ้าจะทำเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องอย่างที่นัดเข้ามา ก็จะได้รถประมาณบ่ายสอง ก็เลยเกิดวิวาทะเล็กน้อยว่า นัดไว้ 10 โมง ป้ายก็ติดเต็มออฟฟิสว่า นัดหมายล่วงหน้า จะให้บริการได้ภายใน 60 นาที ผมก็ยอมรับว่า นำรถเข้ามาช้าประมาณ 20 นาที แต่ได้โทรแจ้งถึงปัญหาให้ทราบล่วงหน้าก่อนแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้านัดไว้ 10 โมง ลูกค้าต้องนำรถเข้ามาถึงศูนย์ก่อน 9:30น. ผมเลยถามย้ำว่า ตั้งแต่ผมนำรถเข้ามาใช้บริการเกือบ 5 ปี เพิ่งจะมาทราบเงื่อนไขแบบนี้ แต่ก็ช่างเถอะ ผมช้าไป 20 นาที เลยทำให้เงื่อนไข 60 นาทีในการให้บริการกลายเป็น 4 ชั่วโมง

ผมเลยแจ้งว่า งั้นผมจะนัดเข้ามาใหม่ ให้ตรวจเช็คเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง พร้อมกับเอาแผ่นยางกันความร้อนตรงคันเกียร์ออก ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า สามารถมาได้วันจันทร์ ผมเลยนัดเวลา 8:30น.

พอถึงวันจันทร์ ผมเลยเอารถไปส่งที่ศูนย์ตอน 7 โมงเช้ากว่าๆ เพื่อตัดปัญหาว่าไปส่งรถช้า จนเป็นข้ออ้างในการให้บริการช้า ซึ่งก็ไม่มีปัญหาในการรับรถแต่อย่างใด จนเวลาราวบ่ายๆ มีเจ้าหน้าที่โตโยต้า โทรมาแจ้งว่า ที่ปัดน้ำฝนปัดไม่เรียบ แนะนำให้เปลี่ยน ราคารวม 800 บาท ผมเลยบอกว่า เอาไว้ก่อน ส่วนยางเจ้าปัญหา ผมอยากจะเปลี่ยนใหม่ไหม ผมก็ถามว่า ตกลงปัญหากลิ่นเหม็นมาจากยางอันนั้นใช่หรือไหม เขาตอบว่า "ใช่แน่นอน" ผมก็เลยบอกว่า งั้นเปลี่ยนไปเลย แต่ก็ได้รับการตอบกลับว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไหล่ ต้องสั่งแล้วรอ 40 วัน นัดเข้ามาเปลี่ยนใหม่ แต่ต้องมัดจำไว้ 1,000 บาท ตอนนี้ก็เอาออกไปก่อน เพื่อแก้ไขปัญหากลิ่นเหม็น เขาบอกว่า เอาออกก็ไม่เป็นอะไร เพราะตรงบริเวณนั้นก็ไม่ได้ร้อนมาก เอาออกได้

พอตอนเย็ผมไปรับรถ ผมก็สอบถามว่า ถ้าไม่ติดแผ่นยางอันนี้แล้ว จะมีปัญหาในการใช้งานไหม เจ้าหน้าที่โตโยต้าก็บอกว่า คงไม่เป็นไร อาจจะรู้สึกร้อนนิดหน่อย หรือทำให้ห้องโดยสารร้อนขึ้น แต่ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด พรมที่ปูในรถก็ไม่ติดไฟ สบายใจได้  ผมเลยบอกว่า งั้นไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ ถอดทิ้งแล้วก็ปล่อยมันไว้แบบนั้

เจ้าหน้าที่ที่รับรถคนเดิมกับวันที่เถียงผมวันแรก เข้ามาพูดกับผมว่า กรณีรถผมเป็นคันแรกของศูนย์นี้ เลยไม่ทราบปัญหาว่ามีแบบนี้ด้วย ผมก็ตอบว่า ควรจะฟังลูกค้า อย่าคิดว่าลูกค้าไม่รู้ หรือคิดว่าตัวเองรู้ปัญหาดี (ผิดจากที่ตัวเองรู้ไม่ได้) ทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งกัน ผมก็บอกอีกว่า ผมก็ไม่อยากจะเรียกร้องอะไรจากโตโยต้าที่ต้องทนเหม็นมาเป็นเวลาหลายปี แต่โตโยต้าน่าจะรับผิดชอบกับลูกค้ามากกว่านี้ และยิ่งถ้าเห็นว่า รถโตโยต้าอัลติสบางคัน (น่าจะเป็นรุ่นที่ขายในช่วงเวลาปี 2553) มีปัญหาเรื่องยางที่ส่งกลิ่นเหม็น ควรจะเรียกรถทุกคัน (Recall) เพื่อมาถอดเอาออก เพื่อแสดงความห่วงใยต่อสุขภาพลูกค้า แต่จนถึงทุกวันนี้ ผมยังไม่เห็นข่าวใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

ตอนเคลียร์ค่าใช้จ่าย ทางศูนย์ก็ยังดีหน่อย ที่ไม่คิดค่าแรงในการรื้อเอาแผ่นยางออก ผมก็เลยอนุมานว่า รถโตโยต้าอัลติส ของใครมีปัญหากลิ่นเหม็น ผมคิดว่าควรไปให้ศูนย์โตโยต้า เอาออกให้ จะได้แก้ปัญหากลิ่นเหม็นได้ ทางศูนย์โตโยต้าน่าจะไม่คิดค่าใช้จ่ายเหมือนกรณีผม

ก่อนกลับ ผมขอชมซากแผ่นยางตัวปัญหานี้ เจ้าหน้าที่โตโยต้าเลยไปถามช่างที่เปลี่ยน ได้ความว่า เมื่อแกะออกมาแล้ว มันก็กลายสภาพเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อน ไม่เหลือสภาพเป็นแผ่นกันความร้อน เลยทิ้งไปแล้ว เอามาให้ดูไม่ได้ แสดงว่ามันเสื่อมสภาพไปจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่า อะไหล่ที่ใช้มาไม่กี่ปี มีสภาพเป็นอย่างนี้ไปได้

ทิ้งท้าย ใครมีปัญหากลิ่นเหม็นในห้องโดยสาร ที่เป็นกลิ่นเหมือนยาง (ไม่ใช่กลิ่นอับๆ) ควรเอาไปให้เขาถอดเอายางตัวปัญหาออก และที่ต้องการมากที่สุดคือ อยากให้ โตโยต้า recall รถที่มีปัญหาแบบนี้ทุกคัน มาแก้ปัญหาให้ลูกค้า เพื่อแสดงความห่วงใยต่อลูกค้าที่อุตสาห์ควักเงินซื้อรถเพื่อต้องการ รถที่มีคุณภาพดี ปลอดภัยทั้งจากการใช้งาน และปลอดภัยต่อสุขภาพ



(เพิ่มเติม) ตอนนี้รถกลิ่นหายไปเกือบหมดแล้ว ปัญหาเกิดจากแผ่นยางตัวปัญหาแผ่นนั้นจริงๆ อาการเวียนหัวของแฟนผมก็ยังไม่เกิดขึ้นอีกเลย