[O]พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บท[O](ดั้งเดิม) {O}ทิพย์วิเศษบริสุทธิธรรม{O}<ปฏิสัมภิทาญาณ>

การเปิดเผยการมีอยู่ในสถานะของพระสัทธรรม อันข้าพระเจ้าได้ทำการน้อมการเสด็จ นำมาเปิดเผยด้วยการปฎิบัติบูชาแด่พระธรรมอันยิ่งแล้ว ขอพระธรรมจงรับการปฎิบัติบูชา อันเป็นภาระหน้าที่ในการพิจารณา แทงด้วยปัญญาของข้าพเจ้า แล้วน้อมนำมาแสดงแก่มหาชนเหล่าพุทธบริษัท ๔ ทั้งหลายฯ เพื่อประโยชน์สุขของเหล่าเวไนยสัตว์ในตลอดทุกทิวาราตรีกาล นับแต่กาลบัดนี้ลุล่วงไป อันยาวนานเป็นอจิณไตยมหาอนันตริยกัปป์สืบไป

สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ

การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง
รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
ความสิ้นไปแห่งตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง
ผู้ใดให้ธรรมเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย

ข้าพเจ้าเป็นผู้เดียวที่รู้ทำนองทิพย์นี้และเป็นผู้มีปฏิสัมภิทาญาณอันจะสามารถน้อมนำพระสัทธรรมอันบริสุทธิคุณ และทรงคุณประโยชน์สุขมาสู่ท่านสาธุชนทั้งหลายนั้นได้ ประกอบกับเป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง ที่กำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับ พระพุทธศาสนาในปัจจุบันในไม่ช้า

นับเป็นเวลาเกือบ ๔ ปีแล้ว เพราะว่าข้าพเจ้ามีศรัทธาในการพิจารณาธรรมมาเป็นตลอด จึงทำให้ข้าพเจ้ามีปัญญาธรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยอย่างน่าอัศจรรย์และพิศดาร ที่สามารถไตร่ตรองธรรมในเหตุผลอื่นๆที่ยังไม่เคยมีผู้ทำให้ปรากฎและมีในบันทึกธรรมได้ ดังที่ข้าพเจ้าจะแสดงอรรถาธิบายต่อไป เพื่อเอื้อเฟื้อเกื้อกูลยังประโยชน์ความเจริญในพระสัทธรรมแก่ท่านมหาชนทั้งหลาย เพื่อการเตรียมการ อันพึงจะมีมาถึง ในกาลข้างหน้า ถึงการอุบัติ จุติ เสด็จธรรม ของผู้มีบุญอันเป็น สหชาติธรรม ของเหล่าพุทธบริษัททั้งหลายฯ อันข้าพเจ้าจะอธิบายอรรถาธิบาย สาธยาย ดังต่อไปนี้

"เป็นครั้งแรกที่ปรากฎธรรมนี้"



{O}ผู้เห็นธรรมมีเพียง ๓ สถานะ{O}เท่านั้น (เป็นเรื่องอจินไตยหากจะกล่าวถึงการกำเนิดของพระธรรมคัมภีร์)

" ผู้เห็นธรรม๑ คือเห็นธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์,พระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เห็นโดยตรง" ซึ่ง"พระธรรมแม่บท"โดยปฎิสัมภิทาญาน"
" ผู้เห็นธรรม๒ คือการพิจารณาธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรงด้วยพระประสงค์ให้เห็นตามด้วยพระทศพลญาน
" ผู้เห็นธรรม๓ คือการพิจารณาธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สืบทอดจารึกตีพิมพ์กันมาด้วยความเพียรพยายาม ด้วยสภาวะบุญอันเข้าถึงในอดีตชาติที่สั่งสมการพิจารณาใคร่ครวญปฎิบัติมาดีแล้ว

"เป็นครั้งแรกที่ปรากฎธรรมนี้"

(๐) อญฺญาสิ วต โภ (๐)

(นี่ก็เป็นการแสดงถึงสิ่งที่ล่วงรู้ได้ยาก๑ ที่เราแสดงเป็นบุคคลแรกของโลกตั้งแต่หลังพุทธปรินิพาน๒๕๕๗ปีที่ผ่านมา ให้คลายสงสัยวุฒิธรรมในเรา ทั้งนี้ก็เพื่อยืนยันในสามัญผลในการปฎิบัติธรรม ที่สามารถตรองตามเห็นตามความเป็นจริงได้โดยพิสดาร และประสงค์แนะแนวชี้นำการปฎิบัติเพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย)

"จงพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงเถิดว่า"

องค์สมเด็จพระบรมมหาศาสดาทรงจำแนกพระธรรมคำภีร์คำสั่งสอนออกมาเป็นทางสายกลางสายเดียวไม่มีแปลกแยกเป็นอื่น ผู้ที่ถือพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทโดยปฎิสัมภิทาญานได้ "เปรียบเสมือนผู้ถือแท่งทองชมพูนุช"เป็นแม่แบบ เป็น"รัตนมหาธาตุ"ย่อมสามารถมองล่วงรู้เห็นว่า ทองคำแท่งใดปลอมปน วัสดุอื่นตามได้อย่างละเอียด ว่ามีเหล็กบ้าง ตะกั่วบ้าง เป็นต้น ถ้าถึงกาลเวลานั้น คือมีผู้สามารถรวมรวมการแตกแยกของนิกายทั้งหมดมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้เมื่อไร ด้วย ปาฎิหาริย์ ๓ ตอนนั้นจักรวรรดิธรรม ก็จะพร้อมเรียกชื่อ นิกาย อันมีนามแท้"ดั้งเดิม" อันเป็นนามที่แท้จริงของพระศาสนา เหมือนกับสมัยพุทธันดรก่อนๆ นั้นแล

"เป็นครั้งแรกที่ปรากฎธรรมนี้"

พระธรรมคำสั่งสอนอันสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ดีแล้ว ทรงจำแนกสั่งสอน นั้นไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลางและบั้นปลายในที่สุดนั้น เป็นความจริงอันเห็นตรงตาม ยอมรับศรัทธากันในพระพุทธศาสนานี้โดยเฉพาะ

พึงเข้าใจเถิดว่า. ในยุคนี้ ผู้ที่แสดงพุทธภาษิต แค่เพียงภาษิตเดียว ก็ยังไม่สามารถแสดงได้เทียบเทียมพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระขีณาสพและพระอรหันต์ผู้ที่อยู่ในสารคุณ ให้ผู้รับฟังได้เข้าใจแจ่มแจ้งเข้าถึงวิมุติได้เลยแม้สักผู้เดียว (เมื่อผู้เสวยวิมุติแสดงธรรม ธรรมนั้นย่อมเป็นวิมุติ)

เพียงภาษิตนี้ " ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ข้าพเจ้ารู้ดีว่า ในปัจจุบันกาลนี้ไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถแสดงให้ล่วงรู้และเห็นจริงเทียบเทียมเท่าที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระขีณาสพ และพระอรหันต์ผู้อยู่ในสารคุณ ได้ทรงแสดงและแสดงไว้ได้

"เป็นครั้งแรกที่ปรากฎธรรมนี้"

พึงพิจารณาทราบไว้เถิดว่า ตราบใดที่ยังไม่ปรากฎ ผู้มีปฎิสัมภิทาญานและเจริญด้วยปาติหาริ์ย ๓ ตราบนั้น ธรรมทั้งมวลจะยังถูกปกปิดอยู่ อันเป็นทางเดินที่เปรียบเสมือนคนตาบอดเดินล้มลุกคลุกคลาน บนเส้นทางที่ขรุขระมีแต่กิ่งแก้วขวากหนามและเสี้ยนตำ

ปาฏิหาริย์ 3 (การกระทำที่กำจัดหรือทำให้ปฏิปักษ์ยอมได้ การกระทำที่ให้เป็นอัศจรรย์, การกระทำที่ให้บังเกิดผลเป็นอัศจรรย์

1. อิทธิปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คือฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์
2. อาเทศนาปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คือการทายใจ รอบรู้กระบวนของจิตจนสามารถกำหนดอาการที่หมายเล็กน้อยแล้วบอกสภาพของจิต ความคิด อุปนิสัยได้ถูกต้อง เป็นอัศจรรย์
3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คืออนุศาสนี คำสอนเป็นจริง สอนให้เห็นจริง นำไปปฏิบัติได้ผลสมจริง เป็นอัศจรรย์

ปฏิสัมภิทัปปัตตะ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ คือ

๑) อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถหรือปรีชาแจ้งเจนในความหมาย

๒) ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม หรือปรีชาแจ้งเจนในหลัก

๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ หรือปรีชาแจ้งเจนในภาษา

๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ หรือปรีชาแจ้งเจนในความคิดทันการ

คือเป็นผู้เห็นยังพระไตรปิฏกโดยขอให้คำจำกัดความตามจริงว่า ได้เห็นจริงตรองตามนี้ได้

๑.รู้และเข้าได้ทันที่ว่า ตีมุมกลับ "พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ทรงปฏิสัมภิทารู้แจ้งเห็นธรรมอันเดียวกัน ซึ่งแสดงให้เห็นซึ่งรูปแบบหนึ่งเดียว

๒.รู้แล้วเข้าใจได้ทันทีว่า ในช่วงที่ว่างเว้นคือ ว่างจากการเสด็จมาตรัสรู้ในพุทธันดรนั้น พระสัทธรรมนี้ก็ยังคงอยู่ ไม่ได้เลือนหายไปไหน

๓.รู้และเข้าใจได้ทันที่ว่า เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงทรงสรรเสริญพระธรรม นั้นเพราะการตรัสรู้พระธรรมนั้นทำให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า

๔.เข้าใจในสิ่งที่ไม่มีจารึกเลยว่า ที่พระองค์จะสั่งหรือเคยบอกการใดใด เลยว่าพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้เห็นนั้น เป็นพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ฉบับดั้งเดิม เพราะเป็นสิ่งที่เกินวิสัยสามัญมนุษย์ธรรมดาจะพึงเห็นได้ และข้าพเจ้าขอแสดงด้วยการกล่าวคำสัจจะ เพื่อเป็นการปฎิบัติบูชาต่อพระธรรมคัมภีร์ทิพย์ ด้วยถือเอาชีวิตถวายเป็นธรรมบูชา ในการยืนยันว่ามีอยู่จริง

๕.เข้าใจในสิ่งที่ไม่มีจารึกเลยว่า ในพระปัจฉิมโอวาททรงเน้นย้ำให้ถือว่า พระธรรมคำสั่งสอนและพระธรรมวินัยเป็นศาสดา และจงพึ่งพาตนเอง พร้อมตรัสปลอบให้กำลังใจ ในหลายต่อหลายครั้งในเรื่องการปฎิบัติ เช่นในเรื่อง หากยังมีผู้ปฎิบัติตามธรรมนี้อยู่ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ แต่ไม่ทรงถือตัวพระองค์เองเลยว่า หากขาดพระองค์ไปแล้ว ย่อมขาดผู้หยั่งสภาวะธรรมด้วยพระทศพลญาณ๑๐ อันเป็นกำลังแห่งพระพุทธเจ้า ที่จะสามารถแก้ไขข้อติดขัดในการพิจารณาธรรมของพระสงฆ์สาวกได้อย่างดีที่สุด ฉนั้นการที่ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นก็คือ ความวิบัติ ขาดสูญ ในการสำเร็จธรรมของเหล่าพระสงฆ์สาวกโดยแท้ เพราะไม่มีผู้ใดจะปรีชาญาณเทียมเท่าพระองค์อีกแล้ว

๖.ข้าพเจ้าเห็นพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์อันเป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนานั้นด้วย ยืนยันจากการเห็นพระปริตรและธรรมอื่นแต่ไม่มีโอกาสได้อ่าน

๗.เป็นผู้เสวยวิมุติรสในการรับรู้ในนิมิตที่พิจารณาธรรมอยู่เสมอๆ คือรู้รสที่โอชายิ่ง


๘.เป็นผู้รู้ทิพยภาษา รู้ถึงการแปรเปลี่ยนแปลงสภาพของภาษาทิพย์ที่สามารถเปลี่ยนแปลความหมายของภาษาทุกภาษาที่ บุคคลหนึ่งบุคคลได้แม้ไม่เคยเรียนไม่เคยรู้มาก่อนก็ตาม ว่าจะออกเสียงอย่างไร ทำนองอะไร จังหวะแบบไหนอย่างชัดเจน

แก้ไขปริศนาธรรมได้สำเร็จโดยใช้ระยะเวลาเกือบ ๔ ปี นับหลังจากบอกลาสิกขาในห้วงออกพรรษาปี ๒๕๕๔

สิ้นสุดตรงวันเวลาที่
๐๙.๔๘ ๑๓/๔/๒๕๕๘
{O}สำหรับข้าพเจ้าได้นอนหลับพักสักครู่นี้ไปแล้วพิจารณารู้ คือตั้งข้อสงสัยก่อนหลับ เมื่อพิจารณารู้ในนิมิต จึงตื่นขึ้นมาเพื่อแสดงอรรถาธิบายที่สำคัญ จึงขอใช้คำจำกัดความสิ่งที่เกิดขึ้นตามแรงที่จะอธิษฐานเหล่านี้ว่า

ขอให้สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็นทั้งหมดนี้ ที่สำคัญนั่นคือระหว่าง การที่ได้พบเห็นการปรากฎของพระไตรปิฏกพระธรรมคำภีร์ดั้งเดิม และ การที่ได้เห็นการปรากฎของคัมภีร์มารคือคำสั่งสอนของมารนอกพระพุทธศาสนา

โดยยกทั้ง ๒อย่างนี้เป็นหลักในการพิจารณาในขั้นที่๑

ประเภทที่๑.๑
{เป็นพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ดั้งเดิมทางพุทธศาสนา} และ #คัมภัร์อักขระพยัญชนะมาร# ที่ไม่ใช่ไม่เหมือนกับที่ถูกตีพิมพ์ในโลกมนุษย์ อยู่ในฐานะเป็น{ทิพยวิเศษบริสุทธิธรรม} และ #อหังการวิเศษมาร# แตกต่างกันชัดเจน

และ

ยกทั้งสองอย่างที่ปรากฎเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาในกาลปัจจุบันคือ การปรากฎของพระสัทธรรมที่คงเหลืออยู่จริง และ การปรากฎของสัทธรรมปฎิรูปที่เกิดขึ้นมาใหม่ เป็นหลักพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงในขั้นที่ ๒

ประเภทที่ ๒.๒ เป็นพระไตรปิฏกจารึก {พระสัทธรรม} ที่แท้จริง ที่หลงเหลือบันทึกอยู่จริงในพระไตรปิฏกที่แม้จะแตกแยกนิกายออกไป แต่ยังมีอยู่เหมือนเดิม และ #สัทธรรมปฎิรูป# อันเป็นคำส่งสอนที่สร้างขึ้นมาใหม่โดยจริตธรรมของการยอมรับตกลงในมิจฉาชนหมู่มากที่แสวงอื่น ไม่ใช่พระธรรมแท้ที่มีอยู่จริง ไม่มีมรรคผลเป็นที่รองรับ เป็นสิ่งที่นำพาไปสู่มิจฉาทิฐิ อย่างเช่น แอบอ้างว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่ถูกต้องในพระไตรปิฏกแต่อย่างนั้นไม่ถูกเป็นต้น

จุดประสงค์ของอรรถาธิบายสาธยาย

ทั้งนี้ก็เป็นไปเพื่อปกป้องคุ้มครองรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้พระสัทธรรมนั้นได้เลือนลางหายไปจากเหล่าพุทธบริษัทสาธุชนทั้งหลาย จากการปรากฎของอสัทธรรมอื่นคือการปรากฎคำสั่งสอนของพญามารที่จะรุ่งโรจน์ในปัจจุบัน ที่สำคัญเพื่อให้รักษาพระสัทธรรมแท้ไม่ให้เกิดสัทธรรมปฎิรูปเกิดขึ้นได้ในบวรพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ท่านทั้งหลายจงพิจารณาตามเถิด ท่านบัณฑิตทั้งหลายผู้เป็นนักวิชาการบ้าง เป็นผู้มีความรู้ยิ่งบ้าง เป็นอริยะบุคคลบ้าง เป็นพระเสขะ พระอเสขะบ้าง จงพิจารณาตามที่เราได้สาธยาย โดยพิศดารถึงมูลเหตุอันจะพึงมี พึงเกิดขึ้น และพึงเป็น นับตั้งแต่ที่ท่านได้ล่วงรู้อรรถาธิบายตามนี้เถิด{O}


ข้าพเจ้าได้แก้ไขข้อข้องใจ ในปริศนาธรรมในประการนี้ถึงที่สุดแล้ว

( ดีชั่วอย่าคาดหวัง ความจริงเผยก็รู้เอง)

คนซื่อตรง ไม่พูดคลาดความจริง.คำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย.ผู้เกลียดธรรม เป็นผู้เสื่อม.คนได้เกียรติ (ชื่อเสียง) เพราะความสัตย์.คนมีปัญญาทราม ย่อมแนะนำในทางที่ไม่ควรแนะนำ.สัตบุรุษ ไม่ปราศรัยเพราะอยากได้กาม.คนมีปัญญาทราม ย่อมพร่าประโยชน์เสีย.บัณฑิตมีความไม่เพ่งโทษของผู้อื่นเป็นกำลัง.การฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นการยาก.ความเกิดขึ้นแห่งท่านผู้รู้เป็นการยาก.ความเป็นสหาย ไม่มีในคนพาล.พึงชนะคนพูดปดด้วยคำจริง.วาจาเช่นเดียวกับใจ.ความเป็นผู้สะอาด พึงทราบได้ด้วยถ้อยคำสำนวน.คนโกรธมีวาจาหยาบคาย.คนเปล่งวาจาชั่วย่อมทำตนให้เดือดร้อน.คนพูดไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก.ควรเปล่งวาจาให้ไพเราะที่มีประโยชน์.ควรกล่าวแต่วาจาที่ไม่ยังตนให้เดือดร้อน.ไม่ควรเปล่งวาจาชั่วเลย.ควรเปล่งวาจางาม ให้เป็นที่พอใจฯ.ควรเปล่งวาจางาม.เปล่งวาจางาม ยังประโยชน์ให้สำเร็จ.ควรกล่าวแต่วาจาที่น่าพอใจ.ในกาลไหนๆ ไม่ควรกล่าววาจาไม่น่าพอใจ

สาธุธรรม ขออนุโมทนาบุญฯ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  พระไตรปิฎก ศาสนาพุทธ วัด บทสวดมนต์ ศาสนา
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่