Honey and Clover สีที่ระบายไปแล้ว ไม่มีวันกลับมาเป็นสีเดิม



มีหนังอยู่ไม่กี่เรื่องที่ผมดูซํ้า 2 รอบ ส่วนหนึ่งคือหนังที่ประทับใจมากๆจนซื้อแผ่นเก็บไว้ บางเรื่องไม่ได้ตั้งใจดูแต่มีฉายในฟรีทีวีก็นั่งชมเรียกความทรงจำไป แบบสุดท้ายคือหนังที่ดูครั้งเดียวยังไม่เข้าใจ แบ่งย่อยได้ 2 อย่างอีกคือ ไม่เข้าใจเนื้อหา กับ ไม่เข้าใจภาษา

กับ Honey and Clover เป็นกรณีหลังสุด ผมได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่องนี้ครั้งแรกในงานJapan Film Festival 2009 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา งานจัดขึ้นชนิดเรียบง่าย มีหนังฉาย 6 เรื่องในเวลา 3 วัน ที่ห้างเซ็นทรัลเวิร์ด

ผมไปถึงใกล้เวลาฉาย ประมาทไปหน่อยคิดว่าคนไม่น่าจะเยอะ แต่ผิดคาด แถวยาวเหยียดพอๆกับคิวรถตู้อนุเสาวรีย์ ไหนๆก็มาแล้วผมตัดสินใจเสี่ยงยืนต่อแถว หลังจากนั้นก็มีอีกหลายคนมายืนต่อหลังผม ในใจอดนึกสงสัยว่าที่แถวยาวขนาดนี้ทุกคนตั้งใจจะมาดูหนังเรื่องนี้จริงหรือว่าอยากดูเพราะว่ามันเป็นของฟรี ที่แน่ๆมีบางคนมาต่อแถวโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าหนังชื่ออะไร แค่เห็นว่ามีคนมุงเยอะแค่นั้น

มาใจฝ่อเอาตอนเจ้าหน้าที่เดินมาเอามือขวางหน้าผู้ชายในแถวคนหนึ่งที่อยู่ก่อนหน้าผมไปเกือบ 20 คน แล้วตะโกนบอกว่าบัตรมีพอถึงแค่นี้ คนที่เหลืออาจไม่ได้ดู มีบางคนถอดใจเดินออกแถวไป ผมกลัวมาเสียเที่ยวเลยรอดูเผื่อมีคนสละสิทธิ์ ป้าข้างหน้าพูดให้กำลังใจผมและตัวเองว่าคอยอีกหน่อยยังพอมีโอกาสได้บัตร  ผ่านไป 5 นาที มีบัตรเก้าอี้เสริมมาแจกอีกชุด ทุกคนที่อดทนรอหน้าบานขึ้นมา โชคดีอย่างมาก พอเจ้าหน้าที่สาวยื่นตั๋วสีขาวที่ถูกถ่ายเอกสารมาแบบเฉพาะกิจใส่ในมือผม บัตรในมือเธอก็หมดพอดี เท่ากับผมได้ใบสุดท้ายของหนังรอบนี้จริงๆ

เก้าอี้เสริมถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวตั้งอยู่ปีกทั้งสองข้างที่เป็นบันไดทางเดินในโรงหนัง ปลอบใจตัวเองว่าถึงจะได้ที่เยื้องจอไปบ้าง ก็ยังดีกว่าแหงนดูคอแข็งแถวหน้าสุด ในโรงมีผู้คนทุกเพศทุกวัย มีชาวญี่ปุ่นสนใจเข้าชมพอสมควร นั่นก็เพราะหนังเรื่องนี้พูดภาษาญี่ปุ่น ซึ่งก็ไม่แปลก แต่ซับไตเติ้ลนี่สิดันเป็นภาษาอังกฤษซะงั้น กำแพงภาษาเริ่มก่อตัวขึ้น ลุงที่นั่งข้างๆท่าทางเหมือนคนญี่ปุ่น เข้ามานั่งพิงกำแพงท่าทางจะสบายมาก หนังเริ่มไปได้ไม่เท่าไหร่แกหลับซะงั้น ขอบคุณครับลุง

ดูหนังจนจบก็รู้เรื่องดีครับ ไม่พลาดประเด็นไหนไป ชอบมากทีเดียว เลยต้องหัวหมุนหาซื้อแผ่นมาดู เพราะจุดเด่นของภาพยนตร์ญี่ปุ่นคือประโยคสนทนาโดนๆที่แฝงปรัชญาการใช้ชีวิต ซับภาษาอังกฤษอ่านไปก็ไม่ได้อารมณ์ ความหมายแปลไม่ตรงบ้าง  ด้วยเหตุฉะนี้เองผมเลยต้องตามล่าหาแผ่น DVD หนังเรื่องนี้มาดูอีกรอบ



Honey and Clover เป็นผลงานหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นยอดฮิตของ นักเขียนการ์ตูนชื่อดัง ชิกะ อุมิโนะ จิกะ อุมิโนะ เมื่อถูกนำมาทำเป็นการ์ตูนฉายทางทีวีก็ยิ่งดังเปี้ยงปร้างถูกอกถูกใจวัยรุ่นเมืองปลาดิบเป็นที่สุด กระทั่งถูกถ่ายทำเป็นภาพยนตร์เมื่อปี 2006 (ล่าสุดมีเวอร์ชั่นละครซี่รี่ย์ญี่ปุ่นแล้ว)

เรื่องราวชีวิตของหนุ่มสาวในรั้ววิทยาลัยศิลปะ 5คน ในวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนาน  มีอิสระเสรีเต็มที่ กลับต้องพบกับความสับสน ว้าวุ่นในจิตใจต่อความรักที่ไม่ลงตัวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งที่ว่ากันว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต

ทาคาโมโตะ หนุ่มสุดซื่อ อ่อนโยน นิสัยดี มีผีมืองานไม้ที่ละเอียดอ่อน ใช้ชีวิตแสนธรรมดาอยู่ในวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยนักศึกษาศิลปะสุดอาร์ท จนวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิที่ต้นซากุระผลิเบ่งบานเป็นสีชมพูเต็มต้น เขาก็ได้เจอกับรักแรกพบ การปรากฏตัวของ ฮาคุมิ ฮานาโมโตะ เด็กสาวนักศึกษาปี 1 ทำเอา ทาคาโมโตะ ตะลึงจนร่างกายแข็งทื่อ เธอเป็นญาติสาวของอาจารย์ฮานาโมโตะผู้ใจดีที่คอยให้คำปรึกษาและคำแนะนำกับนักศึกษาเสมอ



แม้ว่ามองภายนอก ฮาคุมิ จะเป็นแค่เด็กอายุน้อยที่มาจากต่างจังหวัด ตามโลกยุคปัจจุบันไม่ทัน ทว่า เธอมีพรสวรรค์ในเรื่องศิลปะสูงมาก ภาพวาดของเธองดงามและทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ โมริตะ หนุ่มอาร์ทติสต์สุดเซอร์เพิ่งกลับจากเดินทางไกลเพื่อค้นหาชีวิตในช่วงปิดเทอม ถึงจะมีนิสัยเอาแต่ใจ โลกส่วนตัวสูง และออกเพี้ยนๆในบางคตรั้ง แต่ถ้าในทางศิลปะเขานับเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งเลยทีเดียว ใครเลยจะไปคิดว่าคนอย่างเขาก็ตกหลุมรักได้เหมือนกัน จะใครซะอีกละก็ ฮาคุมิ สาวน้อยมหัศจรรย์ประจำวิทยาลัยนั่นแหละ

ขณะเดียวกัน มายามะ ชายหนุ่มบุคลิกสุขุม เงียบขรึม แอบเหงาอยู่คนเดียว เพราะดันไปแอบชอบ ริกะ สาวรุ่นพี่เจ้าของบริษัทที่เขาไปทำงานพิเศษ โดยที่เธอไม่เคยใยดีเขาเลย เรื่องก็ยิ่งอลหม่านเข้าไปอีกเมื่อ  อายูมิ ยามาดะ สาวแกร่ง นักเรียนปั้นเครื่องดินเผา บุคลิกร่าเริง แต่อ่อนไหวง่ายดันแอบชอบ มายามะ หัวปักหัวปำแบบไม่มีเหตุผล

กลายเป็นรักสามเส้า 2 แบบของหนุ่มสาวนักศึกษาศิลปะที่ถักทอร้อยเรียงรวมกัน จนกลายเป็นความสวยงามของชีวิตวัยรุ่นตอนปลายก่อนเข้าสู่ชีวิตวัยทำงาน ธีมของหนังเป็นแนว Coming of age ให้ทั้งอารมณ์สดใส  ฮาแตก ตลอดจนหวานซิ้ง กับประสบการณ์ความรัก มิตรภาพ และความฝัน



การดำเนินเรื่องตัดสลับไปมาระหว่างตัวละคร 5 ตัว แต่ก็ควบคุมจังหวะได้ดีไม่ดูวกวนจนงง บรรยากาศในภาพยนตร์เต็มไปด้วยสีสันสวยงาม สมกับที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับศิลปะ ดนตรีประกอบก็ไพเราะ ได้อารมณ์ (เพลงตอนจบขึ้นเครดิตเพราะและความหมายดีมาก) บทสนทนาเต็มไปด้วยการตั้งคำถามในหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิต ความสัมพันธ์แบบหนุ่มสาว การตามหาความฝัน  ฉากดราม่านั้นชวนให้เราคิดไปถึงวันวาน กับความรักในอดีต ที่มีรสชาติทั้งหวานและขม

ความผิดหวังก็เป็นอีกบทเรียนหนึ่งในชีวิตคนเรา กระนั้นมันก็ผ่านมาแล้ว คล้ายกับการลงสีบนผืนเฟรมผ้าใบ เมื่อเราจุ่มแปรงในถังสี แล้ววาดระบายเส้นต่างๆลงไป นั่นเท่ากับเราต้องมั่นใจว่าเส้นที่ปรากฏจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพ เพราะไม่ว่าเราจะพอใจหรือไม่ก็ตาม มันก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้อีก ตลอดกาล

ทว่า ความรักที่ไม่สมหวัง ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีความหมายซะทีเดียวหรอกนะ

12 Nov 2009 23:06 by นกไซเบอร์ https://www.facebook.com/cyberbirdmovie
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่