น้องๆเพิ่งจบเริ่มสัมภาษณ์งาน อย่ากล่าวหาว่าพี่ๆเลือกคนจากสีหรือเกรดนะ พี่จะอธิบายให้ฟัง

ช่วงนี้น้องๆใกล้จะจบหางานทำกันแล้ว
เดี๋ยวจะมีกระทู้ว่า สัมภาษณ์งานแล้วเลือกคนจากเกรดบ้าง จากสถาบันบ้าง

ด้วยประสบการณ์ทำงานมา 10 กว่าปี จะเล่าให้ฟังว่าทำไมถึงมีเรื่องการเลือกคนจากสีเดียวกันบ้าง มหาวิทยาลัยดังบ้าง เลือกจากเกรดบ้าง

1. ที่ไม่ได้งานที่นี่เพราะบริษัทนี้เค้าเป็นสีชมพู/เหลืองแดง

อันนี้อยากบอกน้องๆที่คิดว่าตัวเองไม่ได้งานเพราะตัวเองไม่ได้สีเดียวกับคนในบริษัทนั้นว่า

องุ่นเปรี้ยวหรือคะน้อง

คนเราไม่ได้งานก็เสียใจเป็นธรรมดา แล้วก็รู้สึกเสียเซ้วนะ
พอคนถามว่าทำไมไม่ได้ ก็บอกว่า ก็เค้าไม่เลือกเราเพราะเราคนละสี
ไม่กล้าบอกเหรอว่าคุยกับคนสัมภาษณ์แล้วคุยไม่ค่อยรู้เรื่อง

พี่ก็เคยรู้สึกแบบนั้นตอนเรียนจบหางานทำใหม่ๆ
ก็แอบนอยว่า ไม่เลือกเราเพราะไม่ใช่สีชมพูใช่มั้ย
แต่พอมาเป็นหัวหน้างานแล้วมันไม่ใช่สาเหตุของสี
แต่มันคือสาเหตุของความสามารถและทัศนคติที่คล้ายกัน คือ มันคุยกันรู้เรื่องกว่า
พี่จบธรรมศาสตร์มา ตอนรับน้องเข้าทีมก็ไม่ได้ดูว่าจบจากมหาวิทยาลัยอะไรเท่าไหร่
แต่คุยแล้วถูกใจ ถูกคอ ทัศนคติได้ ความสามารถ ประสบการณ์ตรงก็รับ
แล้วปรากฏว่า อ้าว หลายคนเป็นธรรมศาสตร์แฮะ แปลกใจตัวเอง
(แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคละกันนะ หลายๆที่ ไม่ได้ยกทีม)
เวลาสัมภาษณ์งานก็จะรู้เลยว่า มหาวิทยาลัยรัฐที่มีชื่อเสียง จะผลิตบุคลากรที่เราไม่ต้องสงสัยในความสามารถเท่าไหร่
อีกอย่างหนึง สำหรับงานที่เป็นงานวิชาชีพเฉพาะนั้น
เพื่อนๆบอกว่า รับมหาวิทยาลัยอื่นแล้วสอนมากันคนละแบบ คุยกันไม่รู้เรื่อง
รับมาก็ให้มาทำงาน ไม่อยากจะต้องมาสอนใหม่ตั้งแต่ต้น
พูดจากันสามคำเข้าใจได้งาน กับคนที่ต้องมาสอนใหม่อีกสามชั่วโมงกว่าจะได้งาน
เราก็เลือกคนที่จะได้งานเร็วกว่า

(แม้ใครจะแย้งว่า ก็สอนกันได้นี่นา เวลาผ่านไปก็ทำงานได้เร็วเหมือนกัน
คำถามคือ เอาอะไรมาการันตีว่าจะทำได้ เราก็ไม่อยากรับมาแล้วไม่ผ่านโปร หาใหม่ออกไปนะ)

2. รับทำงานดูเกรดเป็นหลัก เกรดไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตนะ

ใช่ค่ะ เกรดไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตจริงๆ
พี่ก็เป็นคนหนึ่งที่จบมาเกรดไม่สวยงาม ไม่ถึง 3
แต่ก็ได้งานโดยคนที่เค้ารับไม่ต้องดูเกรด
เพราะพรีเซนต์ตัวเองแบบว่า เรามีความสามารถแบบอื่น
แสดงโพรไฟล์ portfolio ระหว่างเรียนว่า ทำอะไรบ้างนอกจากเรียน ไม่ได้เรียนอย่างเดียว
และที่เกรดไม่สวยงาม เกียรตินิยม เราก็มีอย่างอื่นทดแทนมากมาย
ทำให้ไม่เคยมีใครสนใจเกรดเราเลย สมัยเริ่มทำงานใหม่ๆ

แต่ แต่ ถ้าน้องเพิ่งจบใหม่ ไปสมัครงาน แล้วไม่เคยทำอะไรนอกจากเรียนหนังสือ
คำถามคือ จะให้คนรับเค้าดูอะไรนอกจากเกรดคะ
เดินเข้าห้องสัมภาษณ์มา ใบสมัครเอกสารประกอบแค่ transcript 1 ใบถ้วน
พี่ก็ต้องดูเกรดหรือเปล่าคะ ต้องมาดูว่า นี่เรียนอะไรมาบ้าง
วิชานี้คืออะไร วิชานั้นทำไมเกรดดี ทำไมอันนี้ติด F
คือ แบบจะให้พี่ดูอะไร พี่ไม่ได้เลี้ยงหนูมาแต่เด็กที่จะรู้ได้ว่า บุคลิกภาพเป็นเลิศ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง
ถ้าจะพรีเซนต์แบบนั้น ต้องมีตัวอย่างมาอธิบาย
ทำกิจกรรมบ้าง ทำงานพิเศษบ้าง อธิบายตัวเอง
บางทีก็ถามว่า ตอนจบทำโปรเจคมั้ย ทำอะไร
80% ทำร้านกาแฟ...
ทำอะไรบ้างคะ ก็นับสต็อคค่ะ

เงียบกันไป 3 วินาที

ค่ะ ... แล้วไงคะ

คือ แบบเฮ้ย นับแล้วเป็นยังไงคะ ได้เรียนรู้อะไร
เจอปัญหาบ้างมั้ย ทำงานกับเพื่อนๆ แล้วแก้ปัญหายังไง
นี่คือต้องไล่ถามแบบนี้กว่าจะค้นออกมาได้ว่า ทำอะไรเป็นบ้าง
มีทัศนคติกันอย่างไรกับงานที่ทำ กิจกรรมอื่นๆทำอะไรบ้างมั้ย
ส่วนใหญ่เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยทำกิจกรรมเลยอะ ไม่เข้าใจว่าทำไม
ทั้งๆที่การทำกิจกรรมทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากๆ รู้จักทำงานร่วมกับคนอื่น
เจอแบบนี้ก็ต้องกลับไปดูเกรดหรือเปล่า อย่างน้อยเลือกคนที่เกรดดีก็มั่นใจว่า
อย่างน้อยถ้าไม่หัวดี ก็ขยันบ้างล่ะนะ

เหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดถ้าเรามีประสบการณ์ทำงานมาสัก 1-2 ปี
คนสัมภาษณ์งานจะไม่วนกลับไปถามเกรดแล้วค่ะ แค่อยากรู้ว่าจบที่ไหนมา

3. เลือกรับแต่มหาวิทยาลัยดังๆ ไม่ให้โอกาสคนจบมหาวิทยาลัยธรรมดา

ที่บริษัทมีการเข้าไปบรรยายให้น้องๆนักศึกษาฟังบ่อยๆ
ไปมาทั่วทุกมหาวิทยาลัย เล็ก ใหญ่ รัฐบาล เอกชน ราชภัฏอะไรไปหมด
สังเกตได้เลยว่า น้องๆในมหาวิทยาลัยเล็กๆ หรือเอกชนที่ไม่ใช่ระดับต้นๆ
น้องๆจะไม่ค่อยสนใจเรียน ไม่พอ ไม่มีความกระตือรือร้น และไม่ถามคำถาม
มาสาย ไม่เข้าบ้าง ไม่ตั้งใจฟังบ้าง หลับบ้าง จบก็เดินออกไม่สนใจอะไร
ต่างกับเด็กๆในมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ที่มาตรงเวลา (ส่วนใหญ่)
ตั้งใจฟัง หลับบ้างนิดหน่อยพอเข้าใจ แต่เฮ้ย ตื่นแล้วรู้เรื่องแฮะ
บางทีพูดๆอยู่เห็นหลับๆนี่แหละ พอตื่นหันไปถาม นางก็ตอบได้เฉย
แล้วพอให้ถามคำถาม ถามเป็นน่ะ ถามแล้วรู้สึกว่า เออ ฉลาดถาม

สิ่งเหล่านี้พอมาสัมภาษณ์งานก็เป็นไปตามนั้น
คือ น้องๆในมหาวิทยาลัยดังๆ จะมีความตั้งใจ ฉลาดพูด ฉลาดถาม มาตรงเวลา
บางคนไม่มาไม่พอ ไม่แจ้ง ไม่กล่าว พี่จับขึ้น blacklist ล้วน ไม่มียกเว้น
มาไม่ทัน ไม่ว่า โทรมาบอกก่อนได้ ไม่เคยมา เข้าใจ หลงทางบ้าง ไม่เป็นไร
เข้าใจมากๆ ไม่โหดร้ายชนาดนั้น

อีกอย่างเรื่องภาษา อย่างน้อยจะมาสัมภาษณ์งาน
ควรเตรียมท่องมาจากบ้านนะ เรื่องแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ
เด็กสมัยนี้ภาษาก็ไม่ได้ดีขึ้นจากสมัยก่อนเลย ปวดหัว
คาดหวังว่าเด็กรุ่นใหม่จะได้ภาษากันทุกคน ปรากฏว่าไม่ใช่
ที่สำคัญแค่มาสัมภาษณ์งานก็ไม่เตรียมมาเลย

สำเนียงอะไรไม่ว่า broken english ไม่ว่า
แต่ให้มันพอใจชื้นบ้างว่า เออ เอามาไม่ใช่ไม่ได้เลยสักกะนิด แบบนี้ก็ไม่ไหว
แล้วมาหวังให้บริษัทส่งเรียน มันไม่ใช่นะ
ภาษาเป็นเรื่องของความพยายาม ความตั้งใจส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับนั่งเรียนในห้องมากแค่ไหน
เท่าที่ส่งเรียนเข้าคลาสกันมา 10 กว่าปีนี่ ยังไม่ประสบความสำเร็จสักราย พูดเลย

ป.ล. ความเห็นส่วนตัว เราพบว่าส่วนตัวเราเองจะมี blacklist ในใจของคนบางคณะ บางมหาวิทยาลัยเลย
เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆ ทัศนคติและวิธีการทำงานมันไปด้วยกันไม่ได้เลย
เพื่อนๆบอกว่า เกินไปมั้ย แต่หลังจากพิสูจน์มาหลายคน เหนื่อยมาหลายปี ทนมานานจนด้านชา
ก็พบว่า ไม่รู้แหละ ชั้นจะไม่ทรมานตัวเองแบบนั้นอีก หาคนที่จบที่อื่นเหอะ
ผลิตออกมาเหมือนๆกันหมดเลย ไม่ได้ว่าไม่เก่ง ไม่ดีนะคะ แต่เข้ากับเราไม่ได้จริงๆ
เลือกได้ จ้างมาทำงานจ่ายเงินให้ ไม่ได้ทำการกุศลค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่