R, 115 Min – Biography, Drama
ตัวอย่าง
Film by: Jean-Marc Vallée
ภาพยนตร์ดราม่าเดินทางกว่า 1,000 ไมล์ ของผู้กำกับ Jean-Marc Vallée ที่มีผลงานก่อนหน้าอย่าง Dallas Buyers Club (2013) ซึ่งส่งให้ทั้ง Matthew McConaughey และ Jared Leto คว้าออสการ์..
ส่วนเรื่อง Wild นี้ก็ได้นักแสดงหญิงอย่าง Reese Witherspoon ที่เคยได้ออสการ์จากเรื่อง Walk the Line (2005) แต่ก็น่าเสียดายที่เรื่องนี้ไปได้แค่เพียงเข้าชิง..
Reese รับบทเป็น Cheryl หญิงสาวที่มีความหลังไม่ค่อยสวยงามนัก โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของ Cheryl Strayed ที่ตัดสินใจเดินทางกว่า 1,000 ไมล์เพื่อค้นหาตัวเองและสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต นั่นจึงพอคาดเดาได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คือภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ชีวิต... ไม่มากก็น้อย..
ผมขอเตือนไว้ก่อนว่า สำหรับใครก็ตามที่ชอบหนังสร้างแรงบันดาลใจเมื่อปี 2013 อย่าง The Secret Life of Walter Mitty อาจจะไม่ชอบเรื่องนี้นัก นั่นเพราะว่า Wild คือภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเครียดและสมจริงสมจังกว่ามาก อาจจะมีการถ่ายภาพที่สวยให้ได้ชมแต่ก็เป็นภาพที่สวยโดยให้ความรู้ถึงความเหงาและความว่างเปล่าเสียมากกว่า..
การเดินทางในเรื่องนี้ก็ไม่ได้โดดเดี่ยวไปตลอดทั้งเรื่องหรอก มีผู้คนให้พบเจอและพูดคุยบ้างเป็นระยะ ซึ่งตรงนี้เองที่ Wild ให้ความรู้สึกถึงการเดินทางจริงๆ เพราะ “การพูคคุยกับผู้คนนี่แหละที่สำคัญ....”
และสิ่งที่คอยย้ำเตือนชีวิตการเดินทางก็คือ ตลอดทั้งเรื่องจะมีภาพความหลังของ Cheryl ถูกแทรกเข้ามาเป็นระยะในลักษณะของการหวนนึกถึง ตรงนี้ทำได้ดีมาก เพราะเวลาที่คนเราเดินทางตัวคนเดียวก็จะต้องอยู่กับความคิดอยู่แล้ว หนังใช้ตรงนี้มาเล่าความหลังที่ผสมกับการตัดต่อได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งไม่ใช่แค่ว่าตัดต่อยอดเยี่ยมเท่านั้น ยังมีเทคนิคของการใช้เสียงสอดแทรกเข้ามาหรือเฟดเสียงให้หายไปหรือแม้กระทั่งการถูกขัดจังหวะซึ่งสอดคล้องกันไปหมด ลักษณะคล้ายๆกับเรื่อง Foxcatcher (2014) หรือในผลงานก่อนหน้าของเขาอย่าง Dallas Buyers Club
อีกอย่างคือหนังมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่พอสมควร ทั้งด้านเนื้อหาและการนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของภาพหรือเสียงหรือการแสดง จึงอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้ดูสนุกสวยๆอย่าง The Secret Life of Walter Mitty นัก แต่จะให้ความรู้สึกที่ตึงเครียดจริงจังอย่างชัดเจน ทั้งนี้ทั้งนั้นหนังก็ยังมีอารมณ์ขันอยู่บ้าง เป็นอารมณ์ขันแบบคนคุยกันปกติที่ไม่ได้ชวนให้ขำก๊าก แต่เป็นอารมณ์ขันแบบที่เราเจอคนแปลกหน้าแล้วสามารถทำให้อมยิ้มหรือหัวเราะในใจได้ประมาณนั้น...
หนึ่งในบทสนทนาที่ผมชื่นชอบก็คือตอนที่ Cheryl ขึ้นเสียงใส่แม่ว่า ทำไมถึงยังทำท่าร่าเริงได้ขนาดนั้น (แม่กำลังร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี) ทั้งๆที่ชีวิตไม่ได้ชวนให้มีความสุขเลย แม่เคยคบกับพ่อขี้เมา ไหนจะเรื่องของบ้านหลังนี้ บลาๆ
ซึ่งแม่ก็ตอบอย่างน่าสนใจว่า “แม่เสียใจมั้ยที่แต่งงานกับขี้เมาสารเลว ไม่เลย.. ไม่เลยซักครั้ง.. เพราะแม่มีลูก...และน้องของลูก... เห็นมั้ย... มันไม่ง่าย.... แต่ก็คุ้มค่า... ยังมีวันอื่นๆอีกเยอะที่แย่กว่านี้.... ลูกจะปล่อยให้มันทำลายลูกก็ได้... แต่แม่อยากมีชีวิตต่อไป...”
เป็นสิ่งที่น่าคิด “เมื่อคนเราคอยโทษแต่สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว แทนที่จะเรียนรู้เพื่ออยู่กับสิ่งนั้นและพยายามทำให้ดียิ่งขึ้น”
หรือบทสนทนาในตอนที่ Cheryl เจอกับคนเดินทางที่เป็น ผญ เหมือนกัน แล้วพากันพูดถึงคนเดินทางที่เป็น ผช ระหว่างทางว่า “เขาเลิกแล้ว” ทั้งๆที่ดูเหมือนเขาเป็นคนที่เตรียมพร้อมและเป็นผู้ชาย ซึ่งไม่น่าจะยอมแพ้แบบนี้... ในขณะที่ ผญ ไม่เคยเดินป่าอย่าง Cheryl ยังคงอยู่..
นั่นจึงเป็นข้อสังเกตอย่างนึงง่ายๆว่า “การเดินทางในภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การเดินทาง แต่หนังกำลังส่อให้เห็นว่า หากเส้นทางหรือผืนป่าเป็นสภาพจิตใจ... การเดินทางและอุปสรรคคือสิ่งที่เผชิญ แล้วเราจะไปได้ไกลแค่ไหนหรือสามารถผ่านไปได้หรือไม่... ซึ่งนั่นก็อาจเป็นเหตุผลที่หนังใช้ชื่อเรื่องว่า Wild เช่นกัน”
ยังมีบทสนทนาหรือความคิดที่ทำให้ชวนขบคิดอยู่เหมือนกัน เช่น “ไม่มีทางที่เราจะรู้ว่า..ทำไมสิ่งหนึ่งถึงเกิดขึ้น... แต่ไม่ใช่อย่างอื่น... เส้นทางไหนจะนำไปสู่อะไร... สิ่งไหนจะทำลายอะไร...หรือสิ่งไหนจะทำให้อะไรเติบโตงอกงาม...หรือตาย....”
ก็เป็นการสำรวจความคิดเบื้องต้นถึงสิ่งต่างๆในชีวิต ขณะเดียวกันก็ชวนให้ทำการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเราก็ไม่ได้รู้ไปซะทั้งหมด ไม่ได้ควบคุมได้ทุกอย่าง ไม่ได้เลือกเส้นทางที่เติบโตงอกงามเสมอ ไม่รู้ว่าผลกระทบจะเป็นเช่นไร แต่ก็นั่นแหละชีวิตของเรา... ยอมรับหรือปฏิเสธ.. แต่นั่นก็คือ “ชีวิตของเรา”...
เอาเป็นว่าแค่นี้พอ คือใจผมก็อยากพูดไปยาวๆจนจบแบบละเอียดนะ แต่อยากให้ไปสัมผัสกันเอาเอง เพราะในหนังมีทั้งภาพและดนตรีประกอบที่เข้ากันได้ดีมาก แล้วก็ยังมีรายละเอียดอย่างอื่นอีกเยอะ ถ้าหากใครที่เจอเรื่องหนักๆมาและรู้สึกขาดพลังในชีวิต ผมแนะนำว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อาจสร้างแรงบันดาลใจให้คุณได้อย่างดีทีเดียว... โดยส่วนตัวแม้ว่า Wild ไม่ได้เน้นนำเสนอธรรมชาติที่สวยงามน่าหลงใหลให้ออกเดินทางหรือพักผ่อน แต่กลับทำให้ผมอยากแพ็คกระเป๋าแล้วออกเดินทางแบบนี้บ้างเสียจริงๆ...
“พระอาทิตย์มีขึ้นและมีตกทุกวัน เราเลือกที่จะอยู่ดูมันได้... เราสามารถวางตัวเองอยู่ในเส้นทางที่สวยงาม...”
ว่าแต่... คุณอยากร่วมเดินทางไปในเส้นทางของ Wild ที่ยาวเกือบ 2 ชั่วโมงนี้ เพื่อ “ค้นหาตัวตน” และ “สร้างแรงบันดาลใจ” แล้วหรือยัง...
8.5/10 (Best)
Wild (2014) การเดินทางสู่การเกิดใหม่... อีกครั้ง..
ปล. ท่านใดชื่นชอบอยากให้กำลังใจก็เข้ามาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนและกดถูกใจได้ที่นี่ครับ
https://goo.gl/BZUUYJ
[CR] Wild (2014) การเดินทางสู่การเกิดใหม่... อีกครั้ง..
ตัวอย่าง
Film by: Jean-Marc Vallée
ภาพยนตร์ดราม่าเดินทางกว่า 1,000 ไมล์ ของผู้กำกับ Jean-Marc Vallée ที่มีผลงานก่อนหน้าอย่าง Dallas Buyers Club (2013) ซึ่งส่งให้ทั้ง Matthew McConaughey และ Jared Leto คว้าออสการ์..
ส่วนเรื่อง Wild นี้ก็ได้นักแสดงหญิงอย่าง Reese Witherspoon ที่เคยได้ออสการ์จากเรื่อง Walk the Line (2005) แต่ก็น่าเสียดายที่เรื่องนี้ไปได้แค่เพียงเข้าชิง..
Reese รับบทเป็น Cheryl หญิงสาวที่มีความหลังไม่ค่อยสวยงามนัก โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของ Cheryl Strayed ที่ตัดสินใจเดินทางกว่า 1,000 ไมล์เพื่อค้นหาตัวเองและสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต นั่นจึงพอคาดเดาได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คือภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ชีวิต... ไม่มากก็น้อย..
ผมขอเตือนไว้ก่อนว่า สำหรับใครก็ตามที่ชอบหนังสร้างแรงบันดาลใจเมื่อปี 2013 อย่าง The Secret Life of Walter Mitty อาจจะไม่ชอบเรื่องนี้นัก นั่นเพราะว่า Wild คือภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเครียดและสมจริงสมจังกว่ามาก อาจจะมีการถ่ายภาพที่สวยให้ได้ชมแต่ก็เป็นภาพที่สวยโดยให้ความรู้ถึงความเหงาและความว่างเปล่าเสียมากกว่า..
การเดินทางในเรื่องนี้ก็ไม่ได้โดดเดี่ยวไปตลอดทั้งเรื่องหรอก มีผู้คนให้พบเจอและพูดคุยบ้างเป็นระยะ ซึ่งตรงนี้เองที่ Wild ให้ความรู้สึกถึงการเดินทางจริงๆ เพราะ “การพูคคุยกับผู้คนนี่แหละที่สำคัญ....”
และสิ่งที่คอยย้ำเตือนชีวิตการเดินทางก็คือ ตลอดทั้งเรื่องจะมีภาพความหลังของ Cheryl ถูกแทรกเข้ามาเป็นระยะในลักษณะของการหวนนึกถึง ตรงนี้ทำได้ดีมาก เพราะเวลาที่คนเราเดินทางตัวคนเดียวก็จะต้องอยู่กับความคิดอยู่แล้ว หนังใช้ตรงนี้มาเล่าความหลังที่ผสมกับการตัดต่อได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งไม่ใช่แค่ว่าตัดต่อยอดเยี่ยมเท่านั้น ยังมีเทคนิคของการใช้เสียงสอดแทรกเข้ามาหรือเฟดเสียงให้หายไปหรือแม้กระทั่งการถูกขัดจังหวะซึ่งสอดคล้องกันไปหมด ลักษณะคล้ายๆกับเรื่อง Foxcatcher (2014) หรือในผลงานก่อนหน้าของเขาอย่าง Dallas Buyers Club
อีกอย่างคือหนังมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่พอสมควร ทั้งด้านเนื้อหาและการนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของภาพหรือเสียงหรือการแสดง จึงอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้ดูสนุกสวยๆอย่าง The Secret Life of Walter Mitty นัก แต่จะให้ความรู้สึกที่ตึงเครียดจริงจังอย่างชัดเจน ทั้งนี้ทั้งนั้นหนังก็ยังมีอารมณ์ขันอยู่บ้าง เป็นอารมณ์ขันแบบคนคุยกันปกติที่ไม่ได้ชวนให้ขำก๊าก แต่เป็นอารมณ์ขันแบบที่เราเจอคนแปลกหน้าแล้วสามารถทำให้อมยิ้มหรือหัวเราะในใจได้ประมาณนั้น...
หนึ่งในบทสนทนาที่ผมชื่นชอบก็คือตอนที่ Cheryl ขึ้นเสียงใส่แม่ว่า ทำไมถึงยังทำท่าร่าเริงได้ขนาดนั้น (แม่กำลังร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี) ทั้งๆที่ชีวิตไม่ได้ชวนให้มีความสุขเลย แม่เคยคบกับพ่อขี้เมา ไหนจะเรื่องของบ้านหลังนี้ บลาๆ
ซึ่งแม่ก็ตอบอย่างน่าสนใจว่า “แม่เสียใจมั้ยที่แต่งงานกับขี้เมาสารเลว ไม่เลย.. ไม่เลยซักครั้ง.. เพราะแม่มีลูก...และน้องของลูก... เห็นมั้ย... มันไม่ง่าย.... แต่ก็คุ้มค่า... ยังมีวันอื่นๆอีกเยอะที่แย่กว่านี้.... ลูกจะปล่อยให้มันทำลายลูกก็ได้... แต่แม่อยากมีชีวิตต่อไป...”
เป็นสิ่งที่น่าคิด “เมื่อคนเราคอยโทษแต่สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว แทนที่จะเรียนรู้เพื่ออยู่กับสิ่งนั้นและพยายามทำให้ดียิ่งขึ้น”
หรือบทสนทนาในตอนที่ Cheryl เจอกับคนเดินทางที่เป็น ผญ เหมือนกัน แล้วพากันพูดถึงคนเดินทางที่เป็น ผช ระหว่างทางว่า “เขาเลิกแล้ว” ทั้งๆที่ดูเหมือนเขาเป็นคนที่เตรียมพร้อมและเป็นผู้ชาย ซึ่งไม่น่าจะยอมแพ้แบบนี้... ในขณะที่ ผญ ไม่เคยเดินป่าอย่าง Cheryl ยังคงอยู่..
นั่นจึงเป็นข้อสังเกตอย่างนึงง่ายๆว่า “การเดินทางในภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การเดินทาง แต่หนังกำลังส่อให้เห็นว่า หากเส้นทางหรือผืนป่าเป็นสภาพจิตใจ... การเดินทางและอุปสรรคคือสิ่งที่เผชิญ แล้วเราจะไปได้ไกลแค่ไหนหรือสามารถผ่านไปได้หรือไม่... ซึ่งนั่นก็อาจเป็นเหตุผลที่หนังใช้ชื่อเรื่องว่า Wild เช่นกัน”
ยังมีบทสนทนาหรือความคิดที่ทำให้ชวนขบคิดอยู่เหมือนกัน เช่น “ไม่มีทางที่เราจะรู้ว่า..ทำไมสิ่งหนึ่งถึงเกิดขึ้น... แต่ไม่ใช่อย่างอื่น... เส้นทางไหนจะนำไปสู่อะไร... สิ่งไหนจะทำลายอะไร...หรือสิ่งไหนจะทำให้อะไรเติบโตงอกงาม...หรือตาย....”
ก็เป็นการสำรวจความคิดเบื้องต้นถึงสิ่งต่างๆในชีวิต ขณะเดียวกันก็ชวนให้ทำการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเราก็ไม่ได้รู้ไปซะทั้งหมด ไม่ได้ควบคุมได้ทุกอย่าง ไม่ได้เลือกเส้นทางที่เติบโตงอกงามเสมอ ไม่รู้ว่าผลกระทบจะเป็นเช่นไร แต่ก็นั่นแหละชีวิตของเรา... ยอมรับหรือปฏิเสธ.. แต่นั่นก็คือ “ชีวิตของเรา”...
เอาเป็นว่าแค่นี้พอ คือใจผมก็อยากพูดไปยาวๆจนจบแบบละเอียดนะ แต่อยากให้ไปสัมผัสกันเอาเอง เพราะในหนังมีทั้งภาพและดนตรีประกอบที่เข้ากันได้ดีมาก แล้วก็ยังมีรายละเอียดอย่างอื่นอีกเยอะ ถ้าหากใครที่เจอเรื่องหนักๆมาและรู้สึกขาดพลังในชีวิต ผมแนะนำว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อาจสร้างแรงบันดาลใจให้คุณได้อย่างดีทีเดียว... โดยส่วนตัวแม้ว่า Wild ไม่ได้เน้นนำเสนอธรรมชาติที่สวยงามน่าหลงใหลให้ออกเดินทางหรือพักผ่อน แต่กลับทำให้ผมอยากแพ็คกระเป๋าแล้วออกเดินทางแบบนี้บ้างเสียจริงๆ...
“พระอาทิตย์มีขึ้นและมีตกทุกวัน เราเลือกที่จะอยู่ดูมันได้... เราสามารถวางตัวเองอยู่ในเส้นทางที่สวยงาม...”
ว่าแต่... คุณอยากร่วมเดินทางไปในเส้นทางของ Wild ที่ยาวเกือบ 2 ชั่วโมงนี้ เพื่อ “ค้นหาตัวตน” และ “สร้างแรงบันดาลใจ” แล้วหรือยัง...
8.5/10 (Best)
Wild (2014) การเดินทางสู่การเกิดใหม่... อีกครั้ง..
ปล. ท่านใดชื่นชอบอยากให้กำลังใจก็เข้ามาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนและกดถูกใจได้ที่นี่ครับ https://goo.gl/BZUUYJ