Dear Enemy - คู่อริที่รัก โดย...บอ.บู๋

  



ใครๆ ก็รู้ว่า โชเซ่ มูรินโญ่ อยากได้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด มากขนาดไหน



        อย่าว่าแต่จ่ามูผู้โอหังเลยครับที่อยากได้ เพราะผู้จัดการทีมทุกคนบนโลกก็คงอยากได้นักเตะแบบนี้ไปร่วมทีม

        "พี่เจิด" จัดเป็นผู้เล่นที่ทรงพลังอย่างแรง ห้าวหาญ ดุดัน หนักหน่วง แต่มีความสง่างาม นอกจากนี้ยังเพียบไปด้วยบุคลิกผู้นำและเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของเพื่อนร่วมทีมอีกต่างหาก

        ก่อนเกมระหว่าง เชลซี กับ ลิเวอร์พูล เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้จัดการทีมที่เคยเรียกตัวเองว่า "เดอะ สเปเชี่ยล วัน" เผยความลับว่าเขาเคยพยายามที่จะกระชากตัว สตีเว่น เจอร์ราร์ด มาร่วมทีมถึง 3 ครั้ง 3 ครา

        ครั้งหนึ่งกับ เชลซี ครั้งหนึ่งกับ อินเตอร์ มิลาน และอีกครั้งหนึ่งกับ เรอัล มาดริด

        หลังช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่เมื่อ 2005 "สตีวี่ จี" เกือบจะพุ่งไปชนความศรีวิไลซ์มากกว่าที่กรุงลอนดอนอยู่รอมร่อ ถึงขั้นยักไหล่ใส่ค่าจ้าง 1 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ที่สโมสรยื่นให้ ก่อนที่จะเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายแบบ "ใจสั่งมา"

        ถ้าตอนนั้น สตีเว่น เจอร์ราร์ด วิ่งออกจากเครื่องนุ่งห่มหงส์แดงแล้วไปสวมเครื่องแบบสิงห์บลูส์แทน คาดว่าเขาคงจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานมากกว่านี้อย่างแน่นอน  

        สิ่งที่พยายามตามล่า แต่หาไม่เจออย่างแชมป์พรีเมียร์ลีกก็คงจะได้จับและสัมผัสแบบเต็มๆ อย่างน้อยๆ 4 สมัย รวมถึงถ้วยรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย - มากกว่าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย, ยูฟ่า คัพ 1 สมัย, เอฟเอ คัพ 2 สมัย และของชอบของ ลิเวอร์พูล อย่าง "มิคกี้เม้าส์ คัพ" 3 สมัย

        ว่ากันตามตรงดาวดังระดับ "พี่เจิด" ควรจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้นะครับ

        มิเท่านั้นการเป็นผู้เล่นของ เชลซี อาจช่วยให้คุณพี่เขารอดพ้นจากการถูกล้อเลียนและถากถางว่าได้แต่จูบกล้องทีวี ไม่เคยจุมพิศถ้วยพรีเมียร์ลีกของจริง

        ปมด้อยทุกอย่างจะถูกยัดลงโถส้วมแล้วกดชักโครกทันที เพียงแค่เปลี่ยนไปสวมใส่ชุดแข่งสีน้ำเงิน

        แต่มีใครคิดบ้างไหมว่าความสำเร็จทั้งหมดที่จะได้รับในกรณีที่ยอมขายตูดให้โคตรมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย มันอาจเป็นเพียงเกียรติยศแบบปลอมๆ บนตราบาปมหันต์ ข้อหาตัดช่องน้อยแต่พอตัว และเนรคุณเจ้าของหยุดอสุจิผู้ให้กำเนิดอย่าง ลิเวอร์พูล

        ในฐานะผู้เล่นของทีมสิงห์บลูส์ เจ้าของสมญา "ซูเปอร์สตีวี่" อาจเป็นผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จในรูปแบบของการสะสมแชมป์มากที่สุดคนหนึ่งในเมืองหลวงแห่งลูกหนัง ขณะเดียวกัน สตีเว่น เจอร์ราร์ด คงไม่ต่างจาก "จูดาส" ที่ถูก "เด็กหงส์" ทุกหมู่เหล่าทั้งสาบแช่งและสาบส่งบนความเคียดแค้นและเคืองโกรธ

        เพราะความเป็น "เดอะ ค็อป" แบบสุดลิ่มทิ่มถูรู เพราะความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีและในสิ่งที่ตัวเองเป็น ผมว่าพี่เจิดไม่เดือดร้อนอะไรที่ชาตินี้ไม่มีโอกาสเป็นแชมป์ลีกสูงสุดกับ ลิเวอร์พูล นะครับ ขอเพียงแค่รับใช้สโมสรอย่างซื่อสัตย์และไม่ทอดทิ้งกันมันก็ถือเป็นความสุขทางใจแล้ว

        ที่สำคัญคือมันแลกมาด้วยการเป็น "ตำนาน"

        ตอนนี้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ได้รับการสถาปนาให้เป็นดาวเตะขวัญใจอันดับหนึ่งตลอดกาลของ ลิเวอร์พูล เป็นที่เรียบร้อย แถมยังมีความเป็น "ตำนาน" เสียยิ่งกว่า เคนนี่ ดัลกลิช ยิ่งกว่า เควิน คีแกน ยิ่งกว่า เอียน รัช ยิ่งกว่า อลัน แฮนเซ่น ยิ่งกว่า ฟิล นีล ยิ่งกว่า จอห์น โตแช็ค ยิ่งกว่า สตีฟ ไฮเวย์ และยิ่งกว่าตำนานรุ่นแรกๆ อย่าง บิลลี่ ลิดเดิ้ลล์ แม้จะไม่เคยได้เหรียญชนะเลิศลีกสูงสุดของอังกฤษมาคล้องคอก็ตาม

        ไม่เพียงแต่จะเป็น "สเกาเซอร์ส" โดยกำเนิด เขาไม่ได้ย้ายมาจากทีมอื่น และไม่เคยทิ้งก้อนเนื้อชิ้นเล็ก เพื่อไปคาบก้อนเนื้อชิ้นใหญ่กว่าและน่ากินมากกว่า ส่วนการไปค้าแข้งกับ แอลเอ กาแล็คซี่ ที่สหรัฐ อเมริกา หลังจบฤดูกาลนี้ กรุณาอย่านับรวมเลยครับ เพราะถ้าไม่ถูกสถานการณ์บังคับ "พี่เจิด" คงแขวนสตั๊ดกับ ลิเวอร์พูล แน่ๆ ว่าแล้วก็ต้องขอบคุณ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส และผู้บริหารระดับสูงที่มองเห็นผลประโยชน์เสียจนไม่คำนึงถึงเรื่องอื่น

        เขาจะไม่มีทางเป็นผู้เล่นระดับตำนานของ ลิเวอร์พูล เด็ดขาด ถ้าตอนนั้นยอมไปเป็นลูกทีมของ โชเช่ มูรินโญ่

        และการเป็นตำนานอันดับหนึ่งตลอดกาลของ ลิเวอร์พูล ผมว่าจุดนี้มีคุณค่ามากกว่าการสะสมความสำเร็จมากมายในรูปแบบของถ้วยรางวัลซะอีก

        ฉะนั้น & ฉะนี้

        คำพูดของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่บอกว่าตัวเขาเคยพยายามจะกระชาก สตีเว่น เจอร์ราร์ด มาร่วมทีมถึง 3 ครั้ง รวมถึงประโยคนั้น "Steven Gerrard is for sure one of my favourite enemies" จึงไม่ต่างจากการยกย่องและสรรเสริญ รวมถึงให้ความเคารพต่อนักเตะผู้นี้ยิ่งนัก

        ให้ความเคารพในฐานะ "favourite enemy" หรือแปลเป็นไทยได้ประมาณว่า "ศัตรูตัวโปรด" หรือ "คู่อริที่รักยิ่ง"

        น่าเสียดายที่แฟนบอล (บางกลุ่ม) ของ เชลซี ตีความจากคำพูดของผู้จัดการทีมตัวเองไม่ออก

        หรือแกล้งทำเป็นไม่สนใจก็ไม่รู้

        ว่าแล้วก็พากันร้องเพลงล้อเลียนและเสียดสีพลางชูป้าย "ระวังลื่น"

        เรียกว่าสนุกสนานครื้นเครงกันใหญ่บนความทุกข์ของผู้อื่น

        เข้าใจครับว่ามันเป็นสีสัน

        เฉพาะอย่างยิ่งการศึกระหว่าง เชลซี กับ ลิเวอร์พูล ที่ระยะหลังเจอกันแบบซอยยิกฤดูกาลละ 4-5 ครั้ง จนกลายเป็นคู่แค้นคู่อาฆาตคู่ใหม่แห่งวงการลูกหนังอังกฤษ

        เข้าใจครับว่าการเย้ยหยันกันมันเป็นสีสันที่ช่วยเพิ่มรสชาติในการเชียร์ฟุตบอลให้เอร็ดเข้าไส้สะใจไปเลยคุณพี่มากยิ่งขึ้น แต่อะไรที่มากเกินไป เยอะเกินไป มันก็น่ารำคาญเหมือนกันนะ

        มนุษย์เราเกือบทุกคนเป็นโรคจิตอยู่อย่างครับ คือชอบเห็นความเจ็บปวดของผู้อื่น เช่นเดียวกับที่ชอบเห็นความยิ้มวายป่วงของผู้อื่นเหมือนที่เราดูรายการทีวีประเภท "อเมริกัน ฟันเนียสต์ โฮม วีดีโอ" แล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เพราะความเจ็บปวดของคนอื่นมันตลก แต่คนที่เจ็บคงไม่ตลกพลางรำพึงรำพันในใจว่า "หัวเราะหาพ่องงงเหรอครับ?"

        อำกันมันสนุก แต่ก็ควรจะมีขีดกำจัด เพราะถ้ามากไปก็อาจจะมีรายการเตะปากกันได้

        โทษฐานที่สะดุดเงาตัวเองหกล้มจนถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกในชีวิตกระเด็นหลุดมือไปเมื่อปลายฤดูกาลที่แล้ว สตีเว่น เจอร์ราร์ด จึงถูกเอาไปล้อเลียนอย่างสนุกสนาน ไม่ต่างจากตัวตลกปัญญาอ่อนของแฟนบอลทีมอื่น

        กระทั่งถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 79 โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ให้เกียรติ "ศัตรูที่รัก" ของตัวเองด้วยการลุกขึ้นมากระทืบฝ่ามืออย่างรุนแรง ส่งผลให้เหล่า "บลู อาร์มี่" บนอัฒจันทร์ทั้ง 4 ด้านที่ เดอะ บริดจ์ ทำอะไรที่พากย์อังกฤษได้ว่า "สแตนดิ้ง โอเวชั่น" ตามผู้จัดการทีมของตัวเอง ซึ่งจัดเป็นภาพประทับใจที่มิอาจลืม

        คิดแล้วก็ขำกลิ้งลิงกับหมา แหม่...แหม่...แหม่...พวกสำรากเสียงแทงใจดำเขามาเกือบทั้งเกม ทันใดก็ปรบมือให้เขาซะอย่างนั้น

        สมแล้วครับที่ถูกเจ้าตัวสัพยอกกลับไปประมาณว่า...อย่ามา เพราะแบบนี้มันตบหัวแล้วลูบหลังกันชัดๆ (เอาที่สบายใจเลยครับ)

        มาตรแม้นจะหมดสิทธิ์ลุ้นอันดับที่ 4 อย่างไม่เป็นทางการแล้ว แต่เกมต่อไปของ ลิเวอร์พูล ที่จะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ คริสตัล พาเลซ จัดเป็นเกมที่อุดมด้วยความหมาย เนื่องจากมันคือเกมสุดท้ายที่ แอนฟิลด์ ของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด

        คาดว่าเสาร์นี้อาจเกิดอุทกภัยทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ เมื่อมวลน้ำก้อนใหญ่จะไหลมารวมกันที่ แอนฟิลด์ ในพิธีอำลานักเตะขวัญใจของชาว เดอะ ค็อป ที่คงจะซาบซึ้งกินใจดีนักแล

        ในฐานะของแฟนคลับทีมชาติอังกฤษคนหนึ่ง ผมยอมรับและชื่นชมในความสามารถของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด นี่คือนักเตะสายพันธุ์สิงโตคำรามที่ดีที่สุดคนหนึ่งในรอบ 15 ปี

        และในฐานะของผู้อุทิศวิญญาณให้ปีศาจแดงคนหนึ่ง - สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไม่ต่างจาก "favourite enemy" ของ แมนฯ ยูไนเต็ด เหมือนกัน

        ก่อนจะลงสนามให้ ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ เป็นนัดสุดท้ายในวันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคมนี้ ผมในฐานะคนข่าวลูกหนังที่เห็นดาวเตะผู้นี้มาตั้งแต่ยังเป็นดาวรุ่งวัยว้าวุ่นเมื่อปี 1998 ก็มีอะไรอยากจะฝากถึง สตีเว่น เจอร์ราร์ด บ้างเหมือนกัน

        ...ระวังลื่นนะครับเฮีย!


                                                                      "บอ.บู๋"

http://www.siamsport.co.th/Column/150514_030.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่