Song of the Sea (2014)
กำกับโดย Tomm Moore (The Secret of Kells)
8.5/10
หนังชิงรางวัลออสการ์สาขาอนิเมชั่นยอดเยี่ยมปีที่แล้วเรื่องนี้ มีดีไซน์งานภาพที่ผสมผสานรูปทรงเรขาคณิตเข้ากับงานวาดนุ่มๆมนกลมได้อย่างงดงาม ดื่มด่ำ และชวนมองเหลือเกิน โดยรวมๆทำให้นึกถึงงานจากสตูดิโอ Ghibli อยู่ไม่น้อย จากองค์ประกอบของตำนานพื้นบ้านปรัมปราเน้นธรรมชาติ (แต่เป็นของไอริชแทน) และ การเล่าเรื่องวัยเด็กได้อย่างลึกซึ้งเข้าใจถึงอารมณ์ในวัยนั้น
ตัวหนังเองค่อนข้างมีกลิ่นอายความเศร้าโศกที่เป็นผู้ใหญ่อยู่มากทีเดียว ด้วยการผจญภัยของเด็กสองคนนี้ต้องไปเจอหลายตัวละครที่ต่างได้ค้นพบกับความสูญเสียและความช้ำใจจากอดีตมานาน (ซึ่งรวมไปถึงตัวเด็กทั้งสองด้วย) และด้วยการที่ตัวละครเหล่านั้นต่างพยายามรับมือกับมันด้วยวิธีที่ยิ่งเพิ่มรอยแผลและความหมกหมุ่นจมอยู่กับตัวเอง บรรยากาศค่อนข้างเศร้าสมจริงที่รายล้อมการผจญภัยสนุกๆนี้ ทำให้ภารกิจที่สองเด็กต้องทำมีความเร่งด่วนและดูมีน้ำหนักจับต้องได้มากขึ้น และส่งให้ตอนจบมีผลกระทบทางอารมณ์ที่หวานอมขมกลืน งดงาม และชวนจดจำได้อย่างที่สุด
หนังเองยังแสดงภาพความสัมพันธ์พี่ชายน้องสาวในวัยเยาว์ได้เป็นอย่างดี การแสดงไดนามิคสองพี่น้องที่ภายนอกมักดูเฉยเมินเกือบรำคาญ แต่ลึกๆแล้วห่วงใยกันไม่น้อยนั้น ช่างสมจริงเสียจนใครในวัยเด็ก ถ้าได้เคยอยู่ในตำแหน่งพี่ชายจอมเบ่งขี้อวดหรือน้องสาวจอมจุ้นคอยจี้ตามมาก่อน ดูแล้วอาจเจอแรงความสัมพันธ์พี่น้องเพิ่มความรู้สึกอินในอารมณ์ของเนื้อเรื่องและในอันตรายต่อเด็กสองคนนี้จนซึ้งและจุกตามได้ไม่เบาทีเดียว
ติดตามรีวิวหนังและข่าวน่าสนใจในโลกภาพยนตร์อื่นๆของผมได้ที่
www.facebook.com/themoviemood ครับ
[SR] [Movie Review] Song of the Sea... อนิเมชั่นชิงออสการ์กลิ่นอาย Ghibli, ผสมลายเส้นงดงามกับตำนานพื้นบ้านได้อย่างลงตัว
กำกับโดย Tomm Moore (The Secret of Kells)
8.5/10
หนังชิงรางวัลออสการ์สาขาอนิเมชั่นยอดเยี่ยมปีที่แล้วเรื่องนี้ มีดีไซน์งานภาพที่ผสมผสานรูปทรงเรขาคณิตเข้ากับงานวาดนุ่มๆมนกลมได้อย่างงดงาม ดื่มด่ำ และชวนมองเหลือเกิน โดยรวมๆทำให้นึกถึงงานจากสตูดิโอ Ghibli อยู่ไม่น้อย จากองค์ประกอบของตำนานพื้นบ้านปรัมปราเน้นธรรมชาติ (แต่เป็นของไอริชแทน) และ การเล่าเรื่องวัยเด็กได้อย่างลึกซึ้งเข้าใจถึงอารมณ์ในวัยนั้น
ตัวหนังเองค่อนข้างมีกลิ่นอายความเศร้าโศกที่เป็นผู้ใหญ่อยู่มากทีเดียว ด้วยการผจญภัยของเด็กสองคนนี้ต้องไปเจอหลายตัวละครที่ต่างได้ค้นพบกับความสูญเสียและความช้ำใจจากอดีตมานาน (ซึ่งรวมไปถึงตัวเด็กทั้งสองด้วย) และด้วยการที่ตัวละครเหล่านั้นต่างพยายามรับมือกับมันด้วยวิธีที่ยิ่งเพิ่มรอยแผลและความหมกหมุ่นจมอยู่กับตัวเอง บรรยากาศค่อนข้างเศร้าสมจริงที่รายล้อมการผจญภัยสนุกๆนี้ ทำให้ภารกิจที่สองเด็กต้องทำมีความเร่งด่วนและดูมีน้ำหนักจับต้องได้มากขึ้น และส่งให้ตอนจบมีผลกระทบทางอารมณ์ที่หวานอมขมกลืน งดงาม และชวนจดจำได้อย่างที่สุด
หนังเองยังแสดงภาพความสัมพันธ์พี่ชายน้องสาวในวัยเยาว์ได้เป็นอย่างดี การแสดงไดนามิคสองพี่น้องที่ภายนอกมักดูเฉยเมินเกือบรำคาญ แต่ลึกๆแล้วห่วงใยกันไม่น้อยนั้น ช่างสมจริงเสียจนใครในวัยเด็ก ถ้าได้เคยอยู่ในตำแหน่งพี่ชายจอมเบ่งขี้อวดหรือน้องสาวจอมจุ้นคอยจี้ตามมาก่อน ดูแล้วอาจเจอแรงความสัมพันธ์พี่น้องเพิ่มความรู้สึกอินในอารมณ์ของเนื้อเรื่องและในอันตรายต่อเด็กสองคนนี้จนซึ้งและจุกตามได้ไม่เบาทีเดียว
ติดตามรีวิวหนังและข่าวน่าสนใจในโลกภาพยนตร์อื่นๆของผมได้ที่ www.facebook.com/themoviemood ครับ