สวัสดีคะ เพื่อนๆชาวพันทิพทุกคน วันนี้เราอยากจะมาแลกเปลี่ยนประสบการ์ณ(ความรัก)ที่ครั้งนึงเราเคยตกหลุมรักผู้ชายคนนึงตอนที่ไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศกันคะ ต้องออกตัวก่อนเลยว่า อาจไม่ใช่คนที่เล่าเรื่องเก่งเท่าไหร่ แต่เผอิญวันนี้นั่งอ่านกระทู้ความรักของพันทิพมา 5 กระทู้แล้วเลยเกิดอาการคึกอยากเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง 5555 บอกก่อนเลยว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อนานๆๆๆๆๆๆมากแล้วนะคะ
ตอนนั้นเราไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศนึงที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก สำหรับประเทศนี้แล้ว ทั้งวัฒนธรรมและการกินอยู่ของเค้าค่อนข้างจะแตกต่างกับประเทศไทยมาก ตอนนั้นเราไปกับแฟนของเราคะ แฟนเราชื่อไอซ์ คบกันมาได้เกือบปีนึงแล้ว
ไอซ์เป็นผู้ชายผอม สูง ผิวแทน ถือว่าเป็นคนหน้าตาดีคนนึง แต่สำหรับนิสัยแล้วไอซ์ค่อนข้างเอาแต่ใจ ไม่ชอบเข้าสังคมและไม่ค่อยเป็นผู้นำเท่าไหร่ เพื่อนๆในกลุ่มของเราไม่ค่อยชอบไอซ์และไอซ์ก็ไม่ค่อยชอบเพื่อนในกลุ่มเราเหมือนกัน อาจเพราะนิสัยที่ไม่ลงรอยกันทำให้เราต้องคอยแยกไอซ์กับเพื่อนตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงหลังเรากับไอซ์มีปัญหากันบ่อยมากขึ้น
ก่อนหน้าที่เราจะได้มาแลกเปลี่ยน เราทะเลาะกับไอซ์หนักมากเพราะว่าไอซ์ไม่อยากให้เราไปแลกเปลี่ยนจนในที่สุดไอซ์ก็ให้เราไปแต่มีข้อตกลงว่าไอซ์จะไปสอบด้วย ถ้าได้ทุนไอซ์จะให้เราไปแต่ถ้าไม่ได้ เราจะต้องเรียนที่ไทยต่อกับไอซ์ซึ่ง หลังจากนั้นไม่นานการประกาศผลก็บอกว่า เราได้ทุนไปเรียนต่อซึ่งไอซ์ก็ได้ด้วย ประเทศเดียวกัน แต่คนละเมือง เรากับไอซ์ก็ตกลงกันว่าจะไปด้วยกัน
หลังจากที่ดำเนินเอกสารต่างๆเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาออกเดินทาง ในใจเราตอนนั้นตื่นเต้นมากคะ มันเป็นประสบการ์ณครั้งแรกของเราที่ได้ไปต่างประเทศโดยปราศจากผู้ใหญ่คอยแนะนำ เรียกได้ว่าตลอดการเดินทางเราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองหมดเลย พอถึงที่หมาย เรากับไอซ์ก็ต้องแยกกันเพราะไอซ์จะต้องไปต่อเครื่องอีกที จนในตอนนั้นเราก็เจอกับโฮสต์แฟมิลี่ของเรา ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวใหญ่มาก นอกจากพ่อแม่และลูกสาวลูกชายอีกหลายคน ยังมีสัตว์เลี้ยงอีกหลายตัวอาศัยอยู่ในบ้านด้วย
หลังจากใช้เวลาปรับตัวและปรับเวลาสักพัก เราก็เริ่มเข้ากับครอบครัวนี้ได้เป็นอย่างดี มัมเป็นคนดูแลทุกอย่างในบ้าน ทั้งอาหารการกิน การเดินทาง เกือบทุกๆอย่างมัมจะเป็นคนทำทั้งหมด ส่วนแด๊ดของเราจะกลับมาแค่เฉพาะตอนกลางคืนและออกไปทำงานตอนเช้าตรู่ เรียกได้ว่า ถ้าไม่ใช่เสาร์อาทิตย์เราไม่มีทางเจอแด๊ดแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สนิทกับแด๊ดพอสมควรเหมือนกัน
พอเริ่มปรับตัวได้ มัมเราก็พาเราที่โรงเรียนเพื่อสมัครเรียน โรงเรียนที่เราไปเรียนไม่ไกลจากบ้านมากเท่าไหร่ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 20 นาทีก็ถึงแล้ว และเรื่องทุกอย่างก็เกิดขึ้นการจากไปโรงเรียนนี่แหละคะ
วันแรกที่เรามาโรงเรียน เพื่อนๆก็ทำการต้อนรับเป็นอย่างดี เข้ามาแนะนำตัว ทักทาย เดินไปห้องเรียนเป็นเพื่อน ตอนนั้นเราได้รู้จักกับเอมิลี่ เพื่อนสาวชาวออสเตรเลียที่เป็นคนแนะนำและช่วยเหลือเรื่องทุกๆอย่างให้เรา เอมิลี่บอกเราว่าที่โรงเรียนนี้มีคนไทยอยู่คนนึงเหมือนกัน เอมิลี่ไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่แต่ก็อยากให้เรารู้จักกับคนนี้ไว้เพราะคนชาติเดียวกันน่าจะเข้าใจกันมากที่สุด
‘เจมส์’ คือ คนนั้น ผู้ชายร่างสูง ตาตี่ ผิวขาว ท่าทางดูเป็นคนเงียบๆ เอมิลี่เล่าให้เราฟังว่า ที่เจมส์มาเรียนต่อที่ต่างประเทศเพราะว่าพ่อแม่ของเจมส์แยกทางกัน แม่ของเจมส์เลยย้ายมาอยู่ที่นี่ก่อนจะพาเจมส์ตามมาด้วย เจมส์อยู่ที่นี่มาเกือบสิบปีแล้วและแทบไม่เคยได้กลับประเทศไทยเลย เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเจมส์จะพูดไทยได้ อ่านไทยออก แต่ถ้าให้เขียนภาษาไทยละก็จะเขียนไม่ค่อยถูกเท่าไหร่
แม้ว่าเอมิลี่จะพาเรามารู้จักกับเจมส์ในช่วงแรกๆเรากับเจมส์ก็แทบไม่เคยคุยกันเลยอยู่ดี มีบ้างที่เวลาเจอกันก็ทักทายกันเป็นภาษาไทยแต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่เคยคุยกัน จนมีอยู่วันนึง เอมิลี่และเดอะแก๊งค์ชวนเราไปเที่ยวในวันหยุด โดยเอมิลี่มีแพลนว่าจะพาเรานั่งรถไฟเข้าเมืองไปช๊อปปิ้งเปิดหูเปิดตาและพาไปเที่ยวสถานที่สำคัญๆ ตอนนั้นเราก็ดีใจมากๆที่จะได้ไปเที่ยวกับเพื่อนข้างนอก แต่เราก็แอบกังวลเรื่องภาษาอยู่ดี เอมิลี่เลยชวนเจมส์
ให้ไปเป็นเพื่อนเราด้วย เผื่อเวลาที่เราไม่เข้าใจหรือต้องการอะไรแล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้จะได้มีเจมส์ไว้คอยช่วย ซึ่งเจมส์ก็ตกลงมาอย่างง่ายๆโดยให้เหตุผลว่า อยู่บ้านไม่มีอะไรทำ
ในทริปนั้นเราไปกันประมาณ 6 คน เรากับเจมส์เรียกได้ว่าแทบไม่ได้คุยกันเลยตลอดทั้งทริป เจมส์เอาแต่คุยกับเบรค(เพื่อนผู้ชายในแก๊งค์ของเอมิลี่) ส่วนเราก็เอาแต่คุยกับเอมิลี่เหมือนกัน เที่ยวกันไปได้ครึ่งวันเอมิลี่ก็พาเราไปซื้อซิมมือถือ เจมส์ทำหน้าที่อธิบายทุกอย่างให้เราฟังและช่วยเลือกว่าจะใช้แบบไหน ซึ่งเจมส์ก็เลือกแบบที่ส่งข้อความได้เยอะๆเพราะว่าคนที่นี่ชอบส่ง text กันมากกว่าโทรคุย หลังจากซื้อซิมเสร็จ เราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เอมิลี่พาเรามาส่งที่สถานีรถไฟเพื่อรอมัมมารับ เจมส์เลยอาสาอยู่เป็นเพื่อนเราก่อนเพราะบ้านเจมส์อยู่ใกล้สถานีรถไฟ เราเลยได้คุยกับเจมส์มากขึ้นกว่าเดิม
เรา : เจมส์ ขอเบอร์หน่อยดิ เผื่อเวลามีเหตุอะไรฉุกเฉินหรือไม่เข้าใจภาษาอังกฤษยังไงจะได้ให้เจมส์ช่วย
เจมส์ : ได้ๆ (หยิบโทรศัพท์เราไปก่อนจะกดเซฟชื่อเองเรียบร้อย)
เรา : ถ้าส่ง text ได้เป็นพันข้อความแบบนี้นี่ สงสัยกลับไทยไปก็คงใช้ไม่หมดเนอะ
เจมส์ : ถ้าเจนกลัวใช้ไม่หมด เจนส่ง text มาหาเราก็ได้นะ เอาไว้คุยเล่นกันจะได้ฝึกภาษาไปด้วย คุ้มค่าตังค์ที่เสียไปอีก
เรา : อ่อ โอเค ได้ๆ งั้นเดี๋ยวเราจะลองส่ง text ไปดู
เจมส์ : งั้น คืนนี้อย่าลืมส่ง text มานะ เดี๋ยวเราจะรอ
เราก็ตกลงโอเคไปคะ ในใจก็คิดว่าดีแล้วนะ ไหนๆค่าซิมก็แพงตั้งขนาดนี้แล้ว จะเอาไว้แค่ติดต่อโทรให้มัมมารับก็ยังไงอยู่ มีเจมส์ไว้คุยอีกคน นอกจากเอมิลี่ก็ดี คนไทยด้วยกัน เรียนโรงเรียนเดียวกันน่าจะทำความรู้จักกันไว้ เผื่อมีอะไรไม่เข้าใจจะได้คุยกับเจมส์ได้ ตอนนั้นเราคิดแบบนี้คะ ทุกอย่างดูไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติแต่แล้วมันก็เกิดเรื่องจนได้
พักนิ้วแป๊ปคะ เรื่องมันยาวมากกกกกกก
เมื่อเด็กแลกเปลี่ยนแบบฉันเกิดตกหลุมรักขึ้นมา!!!
ตอนนั้นเราไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศนึงที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก สำหรับประเทศนี้แล้ว ทั้งวัฒนธรรมและการกินอยู่ของเค้าค่อนข้างจะแตกต่างกับประเทศไทยมาก ตอนนั้นเราไปกับแฟนของเราคะ แฟนเราชื่อไอซ์ คบกันมาได้เกือบปีนึงแล้ว
ไอซ์เป็นผู้ชายผอม สูง ผิวแทน ถือว่าเป็นคนหน้าตาดีคนนึง แต่สำหรับนิสัยแล้วไอซ์ค่อนข้างเอาแต่ใจ ไม่ชอบเข้าสังคมและไม่ค่อยเป็นผู้นำเท่าไหร่ เพื่อนๆในกลุ่มของเราไม่ค่อยชอบไอซ์และไอซ์ก็ไม่ค่อยชอบเพื่อนในกลุ่มเราเหมือนกัน อาจเพราะนิสัยที่ไม่ลงรอยกันทำให้เราต้องคอยแยกไอซ์กับเพื่อนตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงหลังเรากับไอซ์มีปัญหากันบ่อยมากขึ้น
ก่อนหน้าที่เราจะได้มาแลกเปลี่ยน เราทะเลาะกับไอซ์หนักมากเพราะว่าไอซ์ไม่อยากให้เราไปแลกเปลี่ยนจนในที่สุดไอซ์ก็ให้เราไปแต่มีข้อตกลงว่าไอซ์จะไปสอบด้วย ถ้าได้ทุนไอซ์จะให้เราไปแต่ถ้าไม่ได้ เราจะต้องเรียนที่ไทยต่อกับไอซ์ซึ่ง หลังจากนั้นไม่นานการประกาศผลก็บอกว่า เราได้ทุนไปเรียนต่อซึ่งไอซ์ก็ได้ด้วย ประเทศเดียวกัน แต่คนละเมือง เรากับไอซ์ก็ตกลงกันว่าจะไปด้วยกัน
หลังจากที่ดำเนินเอกสารต่างๆเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาออกเดินทาง ในใจเราตอนนั้นตื่นเต้นมากคะ มันเป็นประสบการ์ณครั้งแรกของเราที่ได้ไปต่างประเทศโดยปราศจากผู้ใหญ่คอยแนะนำ เรียกได้ว่าตลอดการเดินทางเราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองหมดเลย พอถึงที่หมาย เรากับไอซ์ก็ต้องแยกกันเพราะไอซ์จะต้องไปต่อเครื่องอีกที จนในตอนนั้นเราก็เจอกับโฮสต์แฟมิลี่ของเรา ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวใหญ่มาก นอกจากพ่อแม่และลูกสาวลูกชายอีกหลายคน ยังมีสัตว์เลี้ยงอีกหลายตัวอาศัยอยู่ในบ้านด้วย
หลังจากใช้เวลาปรับตัวและปรับเวลาสักพัก เราก็เริ่มเข้ากับครอบครัวนี้ได้เป็นอย่างดี มัมเป็นคนดูแลทุกอย่างในบ้าน ทั้งอาหารการกิน การเดินทาง เกือบทุกๆอย่างมัมจะเป็นคนทำทั้งหมด ส่วนแด๊ดของเราจะกลับมาแค่เฉพาะตอนกลางคืนและออกไปทำงานตอนเช้าตรู่ เรียกได้ว่า ถ้าไม่ใช่เสาร์อาทิตย์เราไม่มีทางเจอแด๊ดแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สนิทกับแด๊ดพอสมควรเหมือนกัน
พอเริ่มปรับตัวได้ มัมเราก็พาเราที่โรงเรียนเพื่อสมัครเรียน โรงเรียนที่เราไปเรียนไม่ไกลจากบ้านมากเท่าไหร่ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 20 นาทีก็ถึงแล้ว และเรื่องทุกอย่างก็เกิดขึ้นการจากไปโรงเรียนนี่แหละคะ
วันแรกที่เรามาโรงเรียน เพื่อนๆก็ทำการต้อนรับเป็นอย่างดี เข้ามาแนะนำตัว ทักทาย เดินไปห้องเรียนเป็นเพื่อน ตอนนั้นเราได้รู้จักกับเอมิลี่ เพื่อนสาวชาวออสเตรเลียที่เป็นคนแนะนำและช่วยเหลือเรื่องทุกๆอย่างให้เรา เอมิลี่บอกเราว่าที่โรงเรียนนี้มีคนไทยอยู่คนนึงเหมือนกัน เอมิลี่ไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่แต่ก็อยากให้เรารู้จักกับคนนี้ไว้เพราะคนชาติเดียวกันน่าจะเข้าใจกันมากที่สุด
‘เจมส์’ คือ คนนั้น ผู้ชายร่างสูง ตาตี่ ผิวขาว ท่าทางดูเป็นคนเงียบๆ เอมิลี่เล่าให้เราฟังว่า ที่เจมส์มาเรียนต่อที่ต่างประเทศเพราะว่าพ่อแม่ของเจมส์แยกทางกัน แม่ของเจมส์เลยย้ายมาอยู่ที่นี่ก่อนจะพาเจมส์ตามมาด้วย เจมส์อยู่ที่นี่มาเกือบสิบปีแล้วและแทบไม่เคยได้กลับประเทศไทยเลย เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเจมส์จะพูดไทยได้ อ่านไทยออก แต่ถ้าให้เขียนภาษาไทยละก็จะเขียนไม่ค่อยถูกเท่าไหร่
แม้ว่าเอมิลี่จะพาเรามารู้จักกับเจมส์ในช่วงแรกๆเรากับเจมส์ก็แทบไม่เคยคุยกันเลยอยู่ดี มีบ้างที่เวลาเจอกันก็ทักทายกันเป็นภาษาไทยแต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่เคยคุยกัน จนมีอยู่วันนึง เอมิลี่และเดอะแก๊งค์ชวนเราไปเที่ยวในวันหยุด โดยเอมิลี่มีแพลนว่าจะพาเรานั่งรถไฟเข้าเมืองไปช๊อปปิ้งเปิดหูเปิดตาและพาไปเที่ยวสถานที่สำคัญๆ ตอนนั้นเราก็ดีใจมากๆที่จะได้ไปเที่ยวกับเพื่อนข้างนอก แต่เราก็แอบกังวลเรื่องภาษาอยู่ดี เอมิลี่เลยชวนเจมส์
ให้ไปเป็นเพื่อนเราด้วย เผื่อเวลาที่เราไม่เข้าใจหรือต้องการอะไรแล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้จะได้มีเจมส์ไว้คอยช่วย ซึ่งเจมส์ก็ตกลงมาอย่างง่ายๆโดยให้เหตุผลว่า อยู่บ้านไม่มีอะไรทำ
ในทริปนั้นเราไปกันประมาณ 6 คน เรากับเจมส์เรียกได้ว่าแทบไม่ได้คุยกันเลยตลอดทั้งทริป เจมส์เอาแต่คุยกับเบรค(เพื่อนผู้ชายในแก๊งค์ของเอมิลี่) ส่วนเราก็เอาแต่คุยกับเอมิลี่เหมือนกัน เที่ยวกันไปได้ครึ่งวันเอมิลี่ก็พาเราไปซื้อซิมมือถือ เจมส์ทำหน้าที่อธิบายทุกอย่างให้เราฟังและช่วยเลือกว่าจะใช้แบบไหน ซึ่งเจมส์ก็เลือกแบบที่ส่งข้อความได้เยอะๆเพราะว่าคนที่นี่ชอบส่ง text กันมากกว่าโทรคุย หลังจากซื้อซิมเสร็จ เราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เอมิลี่พาเรามาส่งที่สถานีรถไฟเพื่อรอมัมมารับ เจมส์เลยอาสาอยู่เป็นเพื่อนเราก่อนเพราะบ้านเจมส์อยู่ใกล้สถานีรถไฟ เราเลยได้คุยกับเจมส์มากขึ้นกว่าเดิม
เรา : เจมส์ ขอเบอร์หน่อยดิ เผื่อเวลามีเหตุอะไรฉุกเฉินหรือไม่เข้าใจภาษาอังกฤษยังไงจะได้ให้เจมส์ช่วย
เจมส์ : ได้ๆ (หยิบโทรศัพท์เราไปก่อนจะกดเซฟชื่อเองเรียบร้อย)
เรา : ถ้าส่ง text ได้เป็นพันข้อความแบบนี้นี่ สงสัยกลับไทยไปก็คงใช้ไม่หมดเนอะ
เจมส์ : ถ้าเจนกลัวใช้ไม่หมด เจนส่ง text มาหาเราก็ได้นะ เอาไว้คุยเล่นกันจะได้ฝึกภาษาไปด้วย คุ้มค่าตังค์ที่เสียไปอีก
เรา : อ่อ โอเค ได้ๆ งั้นเดี๋ยวเราจะลองส่ง text ไปดู
เจมส์ : งั้น คืนนี้อย่าลืมส่ง text มานะ เดี๋ยวเราจะรอ
เราก็ตกลงโอเคไปคะ ในใจก็คิดว่าดีแล้วนะ ไหนๆค่าซิมก็แพงตั้งขนาดนี้แล้ว จะเอาไว้แค่ติดต่อโทรให้มัมมารับก็ยังไงอยู่ มีเจมส์ไว้คุยอีกคน นอกจากเอมิลี่ก็ดี คนไทยด้วยกัน เรียนโรงเรียนเดียวกันน่าจะทำความรู้จักกันไว้ เผื่อมีอะไรไม่เข้าใจจะได้คุยกับเจมส์ได้ ตอนนั้นเราคิดแบบนี้คะ ทุกอย่างดูไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติแต่แล้วมันก็เกิดเรื่องจนได้
พักนิ้วแป๊ปคะ เรื่องมันยาวมากกกกกกก