http://ppantip.com/topic/30360461 ตอนแรก
http://ppantip.com/topic/30418202 ตอน 2
-------------------
[เรื่องสั้นจากชีวิตจริง] บางกอกบู๊ลิ้ม : (จบ) มหานครผู้เปลี่ยนคนให้เป็นปีศาจ
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 21.00 น.
มันเป็นเพียงอีกวันหนึ่งเท่านั้น วันแห่งการจราจรที่ติดขัดซ้ำซาก รถเมล์บางสายมีมากจนบางคันต้องจอดแช่ป้ายหากต้องการได้จำนวนผู้โดยสารที่คุ้มกับค่าเช่ารถและค่าเชื้อเพลิง ตรงข้ามกับบางสายที่ชั่วโมงหนึ่งอาจจะมาเพียงคันเดียวก็ได้ และหากโชคร้าย เมื่อคุณไปช้า คุณอาจจะไม่มีรถกลับบ้าน
ผมเดินอยู่บนสกายวอล์คฝั่งวิคตอรี่มอลล์ เป้าหมายของผมคือป้ายรถเมล์ฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี และผมต้องการรถเมล์สักคันที่สามารถพาผมข้ามจากฝั่งพระนครไปยังฝั่งธนบุรีได้ อย่าถามว่าทำไมผมถึงไม่นั่งรถไฟฟ้า เพราะเร็วและสะดวกกว่ามาก เพราะคุณต้องไม่ลืมว่า ผมเป็นเพียง
“ยาจกกลางเมืองหลวง” เท่านั้น แม้จะมีปริญญาตรี 1 ใบ และกำลังเรียนปริญญาตรีเพิ่มอีก 1 ใบก็ตาม แต่รายได้ของผมนั้นยังไม่ถึงหมื่นห้าต่อเดือน ขืนรากหญ้าอย่างผมใช้รถไฟฟ้าก็ดี รถตู้ก็ดี แท็กซี่ก็ดีบ่อยๆ คงไม่มีเงินเหลือเป็นแน่
“โทษนะครับ..รถตู้ไปบางแคขึ้นทางไหนครับ” ผมเดินลงบันได ณ ฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี แล้วเดินไปถามวินรถตู้แถวนั้น ทว่าคำตอบที่ได้ มันช่างสะเทือนใจยิ่งนัก
“หมดแล้วครับ”
ใช่..คำตอบสั้นๆ นี่แหละ แต่มันทำให้ผมแทบจะทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นราวกับสิ้นหวังแล้วในชีวิต หลังจากที่ผมเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ปวดร้าวมาเมื่อชั่วโมงเศษๆ ก่อนหน้า เมื่อผมลงรถเมล์ผิดป้าย จากที่ต้องลง ณ ป้ายสำนักงานใหญ่ธนาคารทหารไทย แต่เพราะตอนอยู่บนรถเมล์ ผมมิได้กดกริ่งบริเวณป้ายดังกล่าว เนื่องจากเข้าใจว่าผู้โดยสารที่มายืนรอ ณ ประตูรถนั้นได้กดไปแล้ว และคงลงที่ป้ายนี้เช่นกัน ความผิดพลาดดังกล่าว ทำให้ผมต้องไปลงที่ป้ายรถไฟฟ้าหมอชิต-สวนจตุจักร แล้วต้องเดินย้อนกลับมาเป็นระยะทางหลายร้อยเมตร
“ไม่...........!!!”
ระหว่างที่กำลังเดินนั้นเอง ภาพที่ทำให้ผมแทบน้ำตาไหลและสิ้นเรี่ยวแรง มันคือรถเมล์สาย 509 และ 157 ซึ่งเป็น 2 สายที่จะพาผมหนีจากฝั่งพระนครกลับบ้านที่ฝั่งธนบุรี แล่นผ่านผมไปอย่างช้าๆ โดยเฉพาะสาย 157 ที่ผมอุตส่าห์อยู่ห่างป้ายรถเมล์แค่ 30 เมตรเท่านั้น และพยายามโบก แต่ดูเหมือนคนขับจะไม่เห็น หรือเห็นแต่ไม่เปิดประตูให้ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจกระโดดขึ้นสาย 77 ที่ตามมาติดๆ มาลง ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
“เป็นเพราะเราไม่เด็ดขาดพอ ถ้าเป็นเมื่อก่อน จังหวะนี้เราคงโดดขวางรถเมล์แล้ว”
ผมคิดในใจ ใช่ครับ..จังหวะที่รถเมล์ยังออกไม่พ้นจากป้ายเต็มตัว ยังทำความเร็วไม่เต็มที่ บางครั้งผมใช้วิธีบ้าบิ่นเช่นนั้นจริงๆ ด้วยการกระโดดลงไปขวางเอาดื้อๆ แต่วันนี้ผมคงแก่แล้ว อายุเข้าเลขสามแล้ว ความระห่ำเช่นนั้นเลยหายไปด้วย
หลังจาก
“มึน” ไปชั่วขณะ ด้วยสภาวะจิตที่
“จมจ่อม” กับความผิดหวังที่ไม่มีรถตู้หลงเหลืออีกแล้ว ผมเหลือบไปเห็นสาย 509 ที่กำลังติดไฟแดงอยู่ ณ ฝั่งสนามเป้า ทำให้ผมต้องรีบปลุกใจให้ตื่นตัวอีกครั้ง เพราะ 509 คันนี้ไม่ใช่รถเมล์ธรรมดาทั่วไป แต่มันคือ
“โอกาสสุดท้าย” ที่จะทำให้ผมได้กลับบ้านในค่ำคืนนี้
ด้านหน้าของผมมีรถเมล์ 2 คันจอดขวางอยู่ มีเพียงรูลอดเล็กๆ ที่ต้องตะแคงตัวเข้าไปเท่านั้น ขณะที่ด้านซ้ายและขวา ผู้คนจำนวนมากเล็งไปที่รถเมล์สาย 509 คันเดียวกับผม ถ้าหากผมวิ่งไปทางซ้ายและขวา ผมคงไม่ทันพวกเขาแน่ๆ
“มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าขึ้นรถเมล์ได้แต่ไม่ได้นั่ง” เพราะเส้นทางที่ผมไป มันไม่ใช่ใกล้ๆ เอาเสียเลย
“ตายเป็นตาย..อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดวะ”
ในจังหวะที่ฝั่งสนามเป้าปล่อยสัญญาณไฟเขียว รถเมล์สาย 509 พุ่งทะยานเลี้ยวขวามาทางขวาเตรียมจะมาจอดยังฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี ผู้คนจำนวนมากเตรียมกรูกันไปที่จุดจอดรถ ผมตัดสินใจเสี่ยงอันตรายอีกครั้ง ด้วยการวิ่งไปยังช่องว่างเล็กๆ ที่รถเมล์ 2 คันจอดต่อกัน พร้อมพลิกตัวให้ด้านข้างสอดเข้าไป
“ฮ่าห์..........!”
ผมเปล่งเสียงระเบิดลมหายใจออกทางปาก พร้อมกับเร่งฝีเท้าราวกับเป็นการออกแรงครั้งสุดท้ายในชีวิต สายตาและสภาวะจิตของผม มีเป้าหมายเดียวเท่านั้นคือประตูหน้ารถ ผมวิ่งแซงคนเหล่านั้นก่อนหักตัวเลี้ยวซ้ายไปถึงประตูรถได้ก่อนใคร จากนั้นเต้นฟุตเวิร์คพร้อมมองซ้ายขวา ระแวดระวังไม่ให้ใครสอดแทรกมาแย่งขึ้นก่อนผมได้ และเมื่อผู้โดยสารลงจากรถเรียบร้อย ผมก็รีบเบี่ยงตัวโดดขึ้นไปบนรถ และวิ่งไปนั่งยังเบาะที่ใกล้ที่สุดทันที
“แฮ่ก...แฮ่ก”
แม้ผมจะหอบหายใจและหมดแรงไปพักใหญ่ แต่นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าคุ้ม ผมไม่รู้หรอกว่าเมื่อกี้ผมทำได้ยังไง และถ้าจังหวะที่ผมลอดผ่านช่องแคบๆ เกิดรถเมล์เบียดกันเข้ามา ผมอาจจะถูกชนจนบาดเจ็บก็ได้ แต่ ณ วินาทีนั้น ผมไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก..ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และมันคงไม่ใช่ชีวิตของผมคนเดียวเท่านั้น!!!
( มีต่อ )
[เรื่องสั้นจากชีวิตจริง] บางกอกบู๊ลิ้ม : (จบ) มหานครผู้เปลี่ยนคนให้เป็นปีศาจ
http://ppantip.com/topic/30418202 ตอน 2
-------------------
[เรื่องสั้นจากชีวิตจริง] บางกอกบู๊ลิ้ม : (จบ) มหานครผู้เปลี่ยนคนให้เป็นปีศาจ
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 21.00 น.
มันเป็นเพียงอีกวันหนึ่งเท่านั้น วันแห่งการจราจรที่ติดขัดซ้ำซาก รถเมล์บางสายมีมากจนบางคันต้องจอดแช่ป้ายหากต้องการได้จำนวนผู้โดยสารที่คุ้มกับค่าเช่ารถและค่าเชื้อเพลิง ตรงข้ามกับบางสายที่ชั่วโมงหนึ่งอาจจะมาเพียงคันเดียวก็ได้ และหากโชคร้าย เมื่อคุณไปช้า คุณอาจจะไม่มีรถกลับบ้าน
ผมเดินอยู่บนสกายวอล์คฝั่งวิคตอรี่มอลล์ เป้าหมายของผมคือป้ายรถเมล์ฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี และผมต้องการรถเมล์สักคันที่สามารถพาผมข้ามจากฝั่งพระนครไปยังฝั่งธนบุรีได้ อย่าถามว่าทำไมผมถึงไม่นั่งรถไฟฟ้า เพราะเร็วและสะดวกกว่ามาก เพราะคุณต้องไม่ลืมว่า ผมเป็นเพียง “ยาจกกลางเมืองหลวง” เท่านั้น แม้จะมีปริญญาตรี 1 ใบ และกำลังเรียนปริญญาตรีเพิ่มอีก 1 ใบก็ตาม แต่รายได้ของผมนั้นยังไม่ถึงหมื่นห้าต่อเดือน ขืนรากหญ้าอย่างผมใช้รถไฟฟ้าก็ดี รถตู้ก็ดี แท็กซี่ก็ดีบ่อยๆ คงไม่มีเงินเหลือเป็นแน่
“โทษนะครับ..รถตู้ไปบางแคขึ้นทางไหนครับ” ผมเดินลงบันได ณ ฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี แล้วเดินไปถามวินรถตู้แถวนั้น ทว่าคำตอบที่ได้ มันช่างสะเทือนใจยิ่งนัก
“หมดแล้วครับ”
ใช่..คำตอบสั้นๆ นี่แหละ แต่มันทำให้ผมแทบจะทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นราวกับสิ้นหวังแล้วในชีวิต หลังจากที่ผมเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ปวดร้าวมาเมื่อชั่วโมงเศษๆ ก่อนหน้า เมื่อผมลงรถเมล์ผิดป้าย จากที่ต้องลง ณ ป้ายสำนักงานใหญ่ธนาคารทหารไทย แต่เพราะตอนอยู่บนรถเมล์ ผมมิได้กดกริ่งบริเวณป้ายดังกล่าว เนื่องจากเข้าใจว่าผู้โดยสารที่มายืนรอ ณ ประตูรถนั้นได้กดไปแล้ว และคงลงที่ป้ายนี้เช่นกัน ความผิดพลาดดังกล่าว ทำให้ผมต้องไปลงที่ป้ายรถไฟฟ้าหมอชิต-สวนจตุจักร แล้วต้องเดินย้อนกลับมาเป็นระยะทางหลายร้อยเมตร
“ไม่...........!!!”
ระหว่างที่กำลังเดินนั้นเอง ภาพที่ทำให้ผมแทบน้ำตาไหลและสิ้นเรี่ยวแรง มันคือรถเมล์สาย 509 และ 157 ซึ่งเป็น 2 สายที่จะพาผมหนีจากฝั่งพระนครกลับบ้านที่ฝั่งธนบุรี แล่นผ่านผมไปอย่างช้าๆ โดยเฉพาะสาย 157 ที่ผมอุตส่าห์อยู่ห่างป้ายรถเมล์แค่ 30 เมตรเท่านั้น และพยายามโบก แต่ดูเหมือนคนขับจะไม่เห็น หรือเห็นแต่ไม่เปิดประตูให้ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจกระโดดขึ้นสาย 77 ที่ตามมาติดๆ มาลง ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
“เป็นเพราะเราไม่เด็ดขาดพอ ถ้าเป็นเมื่อก่อน จังหวะนี้เราคงโดดขวางรถเมล์แล้ว”
ผมคิดในใจ ใช่ครับ..จังหวะที่รถเมล์ยังออกไม่พ้นจากป้ายเต็มตัว ยังทำความเร็วไม่เต็มที่ บางครั้งผมใช้วิธีบ้าบิ่นเช่นนั้นจริงๆ ด้วยการกระโดดลงไปขวางเอาดื้อๆ แต่วันนี้ผมคงแก่แล้ว อายุเข้าเลขสามแล้ว ความระห่ำเช่นนั้นเลยหายไปด้วย
หลังจาก “มึน” ไปชั่วขณะ ด้วยสภาวะจิตที่ “จมจ่อม” กับความผิดหวังที่ไม่มีรถตู้หลงเหลืออีกแล้ว ผมเหลือบไปเห็นสาย 509 ที่กำลังติดไฟแดงอยู่ ณ ฝั่งสนามเป้า ทำให้ผมต้องรีบปลุกใจให้ตื่นตัวอีกครั้ง เพราะ 509 คันนี้ไม่ใช่รถเมล์ธรรมดาทั่วไป แต่มันคือ “โอกาสสุดท้าย” ที่จะทำให้ผมได้กลับบ้านในค่ำคืนนี้
ด้านหน้าของผมมีรถเมล์ 2 คันจอดขวางอยู่ มีเพียงรูลอดเล็กๆ ที่ต้องตะแคงตัวเข้าไปเท่านั้น ขณะที่ด้านซ้ายและขวา ผู้คนจำนวนมากเล็งไปที่รถเมล์สาย 509 คันเดียวกับผม ถ้าหากผมวิ่งไปทางซ้ายและขวา ผมคงไม่ทันพวกเขาแน่ๆ “มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าขึ้นรถเมล์ได้แต่ไม่ได้นั่ง” เพราะเส้นทางที่ผมไป มันไม่ใช่ใกล้ๆ เอาเสียเลย
“ตายเป็นตาย..อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดวะ”
ในจังหวะที่ฝั่งสนามเป้าปล่อยสัญญาณไฟเขียว รถเมล์สาย 509 พุ่งทะยานเลี้ยวขวามาทางขวาเตรียมจะมาจอดยังฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี ผู้คนจำนวนมากเตรียมกรูกันไปที่จุดจอดรถ ผมตัดสินใจเสี่ยงอันตรายอีกครั้ง ด้วยการวิ่งไปยังช่องว่างเล็กๆ ที่รถเมล์ 2 คันจอดต่อกัน พร้อมพลิกตัวให้ด้านข้างสอดเข้าไป
“ฮ่าห์..........!”
ผมเปล่งเสียงระเบิดลมหายใจออกทางปาก พร้อมกับเร่งฝีเท้าราวกับเป็นการออกแรงครั้งสุดท้ายในชีวิต สายตาและสภาวะจิตของผม มีเป้าหมายเดียวเท่านั้นคือประตูหน้ารถ ผมวิ่งแซงคนเหล่านั้นก่อนหักตัวเลี้ยวซ้ายไปถึงประตูรถได้ก่อนใคร จากนั้นเต้นฟุตเวิร์คพร้อมมองซ้ายขวา ระแวดระวังไม่ให้ใครสอดแทรกมาแย่งขึ้นก่อนผมได้ และเมื่อผู้โดยสารลงจากรถเรียบร้อย ผมก็รีบเบี่ยงตัวโดดขึ้นไปบนรถ และวิ่งไปนั่งยังเบาะที่ใกล้ที่สุดทันที
“แฮ่ก...แฮ่ก”
แม้ผมจะหอบหายใจและหมดแรงไปพักใหญ่ แต่นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าคุ้ม ผมไม่รู้หรอกว่าเมื่อกี้ผมทำได้ยังไง และถ้าจังหวะที่ผมลอดผ่านช่องแคบๆ เกิดรถเมล์เบียดกันเข้ามา ผมอาจจะถูกชนจนบาดเจ็บก็ได้ แต่ ณ วินาทีนั้น ผมไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก..ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และมันคงไม่ใช่ชีวิตของผมคนเดียวเท่านั้น!!!
( มีต่อ )