สวัสดีครับ ...
(ผมพยายามจะไล่ตอบให้ครบทุกข้อความนะครับ ตอบกันเยอะกว่าที่คิด ขอบคุณทุกความคิดเห็นทั้งตำหนิและให้กำลังใจนะครับ)
ขอยกย่อหน้าสุดท้ายขึ้นมาเตือนสติก่อนอ่านนะครับ
"อยากเตือนคนที่มีความรักดีๆ อยู่กับตัว อย่าเผลอไผลหลงลืมความสำคัญของคนรักของคุณ เราไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ ขอให้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และเมื่อทำดีที่สุดแล้ว ผลจะเป็นอย่างไร ก็ขอให้ทำใจรับมันให้ได้"
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นการตั้งกระทู้พันทิปครั้งแรกในชีวิต และเรื่องจริงล้วนๆ แต่ขออนุญาตปิดบังชื่อตัวละครและองค์กร เพื่อไม่ให้กระทบกับตัวบุคคล
ผมกับเธอ (เธอในที่นี้หมายถึงแฟนครับ) คบกันมาถึงปัจจุบันเป็นเวลา 9 ปี ตั้งแต่เราเรียนมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ผมอายุ 20 ตอนนั้นเธออายุ 22
ขอแนะนำพื้นฐานส่วนตัวของเราก่อนนะครับ
- พื้นฐานของเราค่อนข้างต่างกัน เธอโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุข ที่บ้านอยู่กันชิวๆ สบายๆ เป็นบ้านที่คุณจะได้ยินเสียงหัวเราะจากวงกินข้าว ชีวิตไม่มีความกดดันอะไรมากนัก ส่วนผมโตมาในครอบครัวเจ้าระเบียบ พ่อแม่ปู่ย่าตายายคาดหวังอะไรต่างๆ นานามากมาย วิถีชีวิตจึงเคร่งเครียด หาความสุขจากภายในบ้านได้ไม่มากนัก
เมื่อเรามาเจอกัน และตกลงปลงใจเป็นแฟนกัน ชีวิตของผมช่วงนั้นมีแต่ความสุข ถึงขั้นออกปากกับเธอตั้งแต่คบกันสองสามวันแรกว่า "ผมจะแต่งงานกับคุณ" แม้มีปัญหาระหองระแหงระหว่างทางตามประสา แต่ไม่เคยรุนแรงอะไร เธอเป็นคนน่ารัก ทำให้มีทั้งชายหนุ่มและเฒ่าหัวงูเข้ามาขายขนมจีบมากมาย แต่ก็ไม่เคยหวั่นไหว และผมก็ไม่เคยคลางแคลงใจเรื่องนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้นิสัยส่วนตัวเธอก็น่ารัก ใครก็ตามที่อยู่ใกล้ตัวมักจะหลงรักเธอ เธอจริงใจ พูดตรง เด็ดขาด และกินง่าย (เธอสามารถกินขนมจีนคลุกน้ำปลา หรือข้าวไข่เจียวติดต่อกันหลายๆ วันได้โดยไม่บ่น) เธอยังชอบประดิษฐ์ประดอย ชอบวงดนตรีญี่ปุ่น ชอบข้าวของสไตล์ญี่ปุ่น และใฝ่ฝันว่าสักวันจะได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น (รูปร่างเธอก็ตัวเล็ก ผิวขาว หน้าใส ญี่ปุ่นดีๆ นี่เอง)
ส่วนนิสัยส่วนตัวของผม ผมเป็นทั้งคนปากหวาน และปากหมา ดูเหมือนเจ้าความคิด แต่ขี้รำคาญ และขี้เบื่อ และที่สำคัญ เรียกได้ว่า "คอสุรา" ที่มีเพื่อนในวงเหล้ามากมาย ถ้าเทียบให้เห็นความต่างชัดขึ้นหน่อย อาจยกตัวอย่างเรื่องวงดนตรีที่ฟังก็ได้ เธอชอบลาร์กอองเซล และเอ็กซ์เจแปน ส่วนผมชอบหงา คาราวาน กับบ็อบ มาร์เลย์
มรสุมลูกแรกของความรักประมาณปีที่ 4-5
ช่วงนั้นผมทำงานให้องค์กรหนึ่งซึ่งต้องเข้างานเป็นกะ เริ่มงานเที่ยง เลิกสามทุ่ม หยุดวันเสาร์แต่ต้องทำวันอาทิตย์ ขณะที่เธอหยุดวันอาทิตย์วันเดียว เวลาของเราสวนทางกันไปมา จนผมเริ่มนอกลู่นอกทาง ผมนอกใจเธอไปคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งรู้จักผ่านทาง MSN อย่างที่ผู้หญิงชอบพูดกันว่า
"มีเซนต์" เธอรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง และจับตามองผมอย่างใกล้ชิด ถึงขนาดล็อกอินเข้าดูตอนที่ผมคุยกับผู้หญิงคนนั้นทาง MSN ทุกคำพูด ทุกคำโอ้โลมปฏิโลม เธอเห็นทั้งหมดแบบเรียลไทม์ เธอเก็บข้อมูล บันทึกหลักฐาน และเล่นงานผมชนิดที่ไม่มีอะไรให้แก้ตัว เหตุการณ์ครั้งนั้นจบลงโดยผมต้องโทรไปหาผู้หญิงคนนั้น แล้วพูดว่า "ต่อไปอย่าโทรมาอีกนะ" ต่อหน้าเธอ
ผ่านกรณีผู้หญิงคนแรกมา เธอพยายามปรับปรุงตัว (อันนี้เธอมาเล่าให้ผมฟังตอนหลัง) มองหาข้อบกพร่องของตัวเอง พยายามแต่งตัวให้สวยขึ้น และแต่งหน้าทาปาก (ก่อนหน้านี้ เธอไม่ค่อยแต่งตัว ไม่แต่งหน้า อย่างที่บอกครับ เธอเป็นคนชิวๆ) และพยายามบ่นผมเรื่องกินเหล้าให้น้อยลง จากการที่ผมชอบไปกินเหล้าเมายำเปกับเพื่อนฝูงจนลืมเธอบ่อยครั้ง
มรสุมลูกสองของความรักในปีที่ 7
กระทั่งผมได้ทำงานกับบริษัทแห่งใหม่ เงินเดือนมั่นคง แต่งานเลิกไม่ค่อยเป็นเวลา และอยู่ไกลจากที่พักมาก ถ้าขึ้นแท็กซี่ก็เฉลี่ยเที่ยวละ 150 บาท งานใหม่นี่ทำให้ผมได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ที่ชอบดื่มเหมือนกัน หลังเลิกงานซึ่งดึกอยู่แล้วก็ยังมีการนั่งสังสรรค์กันต่อ และที่สำคัญคือการได้เจอกับผู้หญิงคนใหม่ ผู้หญิงคนนี้เธออายุมากกว่าผมเกือบหนึ่งรอบ แต่เป็นคนที่สวยและเก่งมาก ผมนับถือความเก่งและวิธีคิดในการทำงานของเธอ จนเรามีโอกาสได้คุยกัน เป็นการคุยที่ถูกคอเหลือเกิน หลังเลิกงานบ่อยครั้งที่เราแอบไปหาที่นั่งคุยกัน (ที่ต้องแอบก็เพราะไม่อยากให้คนในบริษัทรู้) ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรเกินไปกว่านั้น แค่คุยด้วยสนุก สบายใจ และด้วยความเห็นแก่ตัวที่คิดว่า ยังไงซะเธอ (แฟน) ก็ไม่ไปไหน
เรื่องทำนองนี้ดำเนินไปเป็นเดือนๆ และเป็นอีกครั้งที่ "เซนต์เธอทำงาน" เธอแอบส่องข้อความ เก็บข้อมูลอะไรต่างๆ จนมั่นใจแล้วผมทำชั่วซ้ำสองอีกแล้ว ครั้งนี้เธอเด็ดขาดกว่าเดิม เมื่อเริ่มหมดรักที่มีต่อผม เธอเปิดใจคุยกับผู้ชายคนใหม่ ผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนที่ทำงานของเธอ ผิวขาว หน้าตาดี เทคแคร์ผู้หญิงเก่ง จากภายนอก ดูเหมาะกับเธอมากกว่าผม
แล้ววันหนึ่งผมเมากลับบ้าน เธอปลุกผมให้ตื่นในตอนเช้า พร้อมกับบอกว่า "เลิกกันเถอะ" ผมส่ายศีรษะด้วยความมึนงงผสมฤทธิ์เหล้าที่ยังไม่จาง สืบสาวราวเรื่อง เธอก็พูดตรงๆ ออกมาว่า เธอคุยกับคนอื่นอยู่ คนที่ดูแลเธอได้ดีกว่าผม คนที่ทำให้เธอไม่เหงา ... สถานการณ์ตึงเครียดและผมไม่ยอมแน่นอน แต่เธอมีเหตุผลและยกตัวอย่างกรณีต่างๆ ที่ผมทำเธอเสียใจมาพรรณนามากมาย ผมไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับความผิดนั้นๆ ผมได้แต่ร้องขอโอกาสให้ผมได้ปรับปรุงตัว ช่วงเวลานั้นชีวิตผมเต็มไปด้วยความทรมาน เจ็บที่สุดเท่าที่เคยเป็น ชีวิตไม่เคยอกหัก (เธอเป็นแฟนคนแรกและคนเดียว) จนมีเหตุที่ทำให้ผมออกจากบริษัทนั้น และเลิกติดต่อผู้หญิงคนนั้น ตอนนั้นคิดจะรับงานฟรีแลนซ์ที่บ้าน ผมจะไม่ไปไหน จะอยู่ง้อเธอจนกว่าเธอจะใจอ่อน
เธอก็เอาคืนผมอย่างเจ็บแสบโดยคุยกับผู้ชายคนนั้นโดยไม่เกรงใจผม ผมต้องทนฟังเธอคุยโทรศัพท์กับผู้ชายคนนั้น ผมนอนข้างๆ ตอนเธอคุยไลน์กับผู้ชายคนนั้น ผมต้องกลับกลายเป็นฝ่ายรอคนรักกลับบ้าน (ช่วงนั้นเธอออกเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนที่ทำงาน ก๊วนของผู้ชายคนนั้น) ส่วนผมก็คิดค้นสารพัดวิธีง้องอน จนกระทั่งได้พาเธอไปสถานที่เที่ยวที่สัญญาไว้ ซึ่งตอนนั้นคิดว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย เธอเห็นใจและยอมให้โอกาสผมแก้ตัว แต่ก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะกลับมารักเหมือนเดิมได้หรือไม่ ช่วงเวลา 3 เดือนตรงนั้นมันยาวนานและเจ็บปวดเหลือเกิน
จนกระทั่งวันที่เธอยอมคืนดีแบบเต็มร้อย เกิดขึ้นหลังจากผมไปลงแข่งมาราธอนงานหนึ่ง ผมตั้งใจให้เป็นเหมือนสัญลักษณ์การเริ่มต้นใหม่ เธอตามไปถ่ายรูปให้ผม เหตุการณ์ผ่านไปได้ด้วยดี จนกลับถึงบ้าน ผมขอดูรูปที่ถ่าย เธอส่งกล้องมาให้ ผมเลื่อนดูไปได้เพียงสองสามรูป กลับเจอรูปเธอกับคนอื่น เธอเห็นผมผิดสังเกตเลยคว้ากล้องกลับไปดู ไม่มีคำพูดแก้ตัวใดๆ หลุดออกจากมาปากเธอ ผมโกรธและแค้นจนไม่รู้จะบรรยายยังไง ผมจำไม่ได้ว่าโวยวายอะไรออกไปรึเปล่า ความทรงจำสำหรับเรื่องนั้นมันขาดหายเป็นห้วงๆ มารู้ตัวอีกครั้ง เราก็กลับมาดีกัน เธอรู้สึกผิดและขอบอกขอบใจผมที่ไม่ทิ้งกันไปไหน เธอบอกว่า "อยากให้อยู่กันแบบนี้ไปนานๆ" ผมเจ็บและทำใจยอมรับ ผมรักผู้หญิงคนนี้มาก และมันอาจเป็นกรรมที่ผมทำกับเธอก่อน
ตั้งแต่วันนั้นความสัมพันธ์ของเราก็ค่อยๆ ฟื้นและกลับมาเป็นคู่รักที่หวาวแว๋วเหมือนข้าวใหม่ปลามัน
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญมรสุมลูกที่สามในปีที่ 8-9
หลังจากคืนดีกันและมั่นใจในความรักมากขึ้น ผมเริ่มวางแผนอนาคตอย่างจริงจัง ผมเกริ่นกับเธอหลายครั้งว่าผมจะไม่อยู่กรุงเทพฯ แล้ว ผมจะกลับไปที่บ้านเกิด (เรามาจากจังหวัดเดียวกัน) เพื่อสร้างกิจการของตัวเอง (ตอนนั้นงานฟรีแลนซ์อยู่ตัว และผมอยากขยับขยาย) แน่นอนว่าเธอไม่พอใจ ทั้งๆ ที่เพิ่งกลับมารักกัน ทำไมถึงจะทิ้งกันไป เหตุผลของผมก็คือ ผมต้องการสร้างฐานะที่มั่นคง ปูทางให้เธอกลับไป แต่งงาน มีครอบครัวที่เราวาดฝันไว้ด้วยกัน ซึ่งมันเป็นไปได้ยากในกรุงเทพฯ และแล้วผมก็จากเธอไปเพื่อสร้างอนาคตในช่วงปีที่ 8 ทุกอย่างลงตัว ผมกลายเป็นเจ้าของกิจการ งานเยอะขึ้นๆ และมีเพื่อนเยอะขึ้นๆ จุดพลิกผันอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างปีที่ 8 และ 9 ผมมีโอกาสได้เข้าไปทดลองทำงานวิชาการงานหนึ่ง ซึ่งจะแสดงทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ผมสนุกกับมันจนเผลอลืมเธอ ผมเอาใจใส่เธอน้อยลง อย่างที่บอกไปว่าผมมีเพื่อนมากขึ้น นั่นหมายถึงการกินเหล้าบ่อยขึ้น การรับรู้ปัญหาของเพื่อนมากขึ้น และตามคอยแก้ปัญหาให้เพื่อนยามเดือดร้อน (เธอเคยบอกว่าผมจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่นๆ โดยทิ้งเรื่องของเธอไว้เป็นลำดับสุดท้าย) และผมไม่มีเวลาขึ้นมาหาเธอที่กรุงเทพฯ ผมลืมวันสำคัญ ทว่า เราก็ยังคุยกันทุกวัน เธอไม่เคยโวยวาย ทำให้ผมชะล่าใจ และปล่อยให้เธอเหงาอย่างเดียวดายและเจ็บปวด
ผมเพิ่งลงมากรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเรียบร้อย เธอเรียกชื่อผมซ้ำๆ เบาๆ สามครั้ง ผมรู้เลยว่าสิ่งที่จะพูดไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน และตามคาด เป็นครั้งที่สองที่ผมได้ยินคำว่า "เลิกกันเถอะ" ผมไม่ได้โวยวาย แต่ถามหาเหตุผล ซึ่งเธอบรรยายแต่ละฉาก แต่ละเหตุการณ์ที่ถูกผมทิ้งไว้อย่างแสบสัน ยิ่งฟังผมยิ่งรู้สึกผิด ผมทำอะไรพลาดไปหลายๆ อย่างซ้ำๆ ผมละเลยเรื่องของเธอ ผมสนใจเรื่องอื่นก่อนเสมอ ผมคิดว่าผมทำเพื่อเธอ แต่มองย้อนไปมันเหมือนผมทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น
อย่างที่บอกว่าเธอเป็นคนตรงเสมอ เธอบอกผมช่วงปลายคืนนั้นว่า เธอกำลังคุยกับผู้ชายคนใหม่ ผู้ชายคนนี้รู้จักกันทางเฟสบุ๊ก และคุยกันในฐานะเพื่อนมานานสองสามปี ก่อนที่จะมาเริ่มเปิดใจเมื่อสี่ห้าเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเริ่มทำงานวิชาการในวันเสาร์-อาทิตย์ทำให้ไม่ได้มาหาเธอเลย ผู้ชายคนนี้แสดงความเป็นห่วงเป็นใยยามเธอเหงา เป็นเพื่อนกินข้าวยามเธอไม่มีใคร ขณะที่ผมอยู่ไกลออกไป 700 กิโล เธอบอกว่าเธออยากได้คนที่จะเดินไปพร้อมกัน ไม่ใช่คนที่ทิ้งเธอไว้ข้างหลัง แล้วไปยืนรออยู่ข้างหน้า เธออยากได้คนที่พูดจาภาษาเดียวกัน ไม่ใช่พูดเรื่องยากๆ ที่เธอไม่เข้าใจ และยังไปบังคับให้เธอเข้าใจ เมื่อเปรียบเทียบจากมุมของเธอแล้ว ผมด้อยกว่าในทุกๆ ด้านที่เธอต้องการ
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ต้องการบ้านหลังใหญ่ เธอแค่ต้องการบ้านที่อบอุ่น ทุกคนอยู่พร้อมหน้า
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ต้องการรถคันโต เธอแค่ต้องการคนที่นั่งรถเมล์ไปกับเธอทุกเช้า
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ต้องการเงินกองโต เธอแค่ต้องการคนที่ร่วมกันใช้หนี้ ร่วมกันสร้างทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่ทิ้งกันไป
ผมมักมาเข้าใจอะไรอย่างถ่องแท้เมื่อสายเสมอ ผมรู้ว่าสำหรับเธอวัตถุภายนอกเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ เท่านั้น แต่สำคัญที่ใจที่ยังห่วงหาอาทร ผมไม่รู้ตัวว่ามองเรื่องวัตถุก่อนจิตใจไปตั้งแต่เมื่อไร แต่ความผิดพลาดเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าเสมอ
*** ตามข้อหัวเรื่องนี้ "ขอเวลา 5 เดือน ผมจะเอา 9 ปีของเราคืนมา" ***
เธอบอกให้ผมตัดใจแล้วเดินต่อไปซะ เธอก็พูดเหมือนครั้งก่อนที่เกิดเรื่อง จากแววตา จากน้ำเสียง และจากการกระทำ ผมรู้ว่าเธอยังรักผมอยู่แม้มันจะเจือจางลงมากก็ตาม ผมขอโอกาสเธอเป็นครั้งที่ 3 (เธอยังไม่ได้รับปากว่าจะให้ เพราะเธอต้องการเดินไปข้างหน้า) ครั้งนี้ผมสำนึกผิดและจะทุ่มสุดกำลังที่มีในการทำตามสัญญา โดยขอเวลาเธอ 5 เดือน ในการปรับปรุงตัวตามสัญญา 5 ข้อที่ผมบอกเธอไป (ขอไม่ลงรายละเอียด) เมื่อครบ 5 เดือน ก็ประจวบเหมาะกับช่วงตุลาคม ซึ่งผมวางแผนไว้ว่าจะขอเธอแต่งงานอยู่แล้ว (วางแผนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ขอให้มันยังทันเถอะ) ผมเป็นคนที่ทำอะไรด้วยความมุ่งมั่นเกินร้อย และจะทำให้ดีที่สุด ทั้งนี้ สุดท้ายผลจะออกมาเป็นแบบไหน ผมก็จะไม่เสียใจเลย เพราะผมได้ทำมันเต็มที่แล้ว
---------------------------------------
ขอบคุณสมาชิกพันทิปทุกท่านที่อ่านและแสดงความคิดเห็น
รักคุณนะ ก.
ขอเวลา 5 เดือน ผมจะเอา 9 ปีของเราคืนมา
(ผมพยายามจะไล่ตอบให้ครบทุกข้อความนะครับ ตอบกันเยอะกว่าที่คิด ขอบคุณทุกความคิดเห็นทั้งตำหนิและให้กำลังใจนะครับ)
ขอยกย่อหน้าสุดท้ายขึ้นมาเตือนสติก่อนอ่านนะครับ
"อยากเตือนคนที่มีความรักดีๆ อยู่กับตัว อย่าเผลอไผลหลงลืมความสำคัญของคนรักของคุณ เราไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ ขอให้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และเมื่อทำดีที่สุดแล้ว ผลจะเป็นอย่างไร ก็ขอให้ทำใจรับมันให้ได้"
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นการตั้งกระทู้พันทิปครั้งแรกในชีวิต และเรื่องจริงล้วนๆ แต่ขออนุญาตปิดบังชื่อตัวละครและองค์กร เพื่อไม่ให้กระทบกับตัวบุคคล
ผมกับเธอ (เธอในที่นี้หมายถึงแฟนครับ) คบกันมาถึงปัจจุบันเป็นเวลา 9 ปี ตั้งแต่เราเรียนมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ผมอายุ 20 ตอนนั้นเธออายุ 22
ขอแนะนำพื้นฐานส่วนตัวของเราก่อนนะครับ
- พื้นฐานของเราค่อนข้างต่างกัน เธอโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุข ที่บ้านอยู่กันชิวๆ สบายๆ เป็นบ้านที่คุณจะได้ยินเสียงหัวเราะจากวงกินข้าว ชีวิตไม่มีความกดดันอะไรมากนัก ส่วนผมโตมาในครอบครัวเจ้าระเบียบ พ่อแม่ปู่ย่าตายายคาดหวังอะไรต่างๆ นานามากมาย วิถีชีวิตจึงเคร่งเครียด หาความสุขจากภายในบ้านได้ไม่มากนัก
เมื่อเรามาเจอกัน และตกลงปลงใจเป็นแฟนกัน ชีวิตของผมช่วงนั้นมีแต่ความสุข ถึงขั้นออกปากกับเธอตั้งแต่คบกันสองสามวันแรกว่า "ผมจะแต่งงานกับคุณ" แม้มีปัญหาระหองระแหงระหว่างทางตามประสา แต่ไม่เคยรุนแรงอะไร เธอเป็นคนน่ารัก ทำให้มีทั้งชายหนุ่มและเฒ่าหัวงูเข้ามาขายขนมจีบมากมาย แต่ก็ไม่เคยหวั่นไหว และผมก็ไม่เคยคลางแคลงใจเรื่องนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มรสุมลูกแรกของความรักประมาณปีที่ 4-5
ช่วงนั้นผมทำงานให้องค์กรหนึ่งซึ่งต้องเข้างานเป็นกะ เริ่มงานเที่ยง เลิกสามทุ่ม หยุดวันเสาร์แต่ต้องทำวันอาทิตย์ ขณะที่เธอหยุดวันอาทิตย์วันเดียว เวลาของเราสวนทางกันไปมา จนผมเริ่มนอกลู่นอกทาง ผมนอกใจเธอไปคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งรู้จักผ่านทาง MSN อย่างที่ผู้หญิงชอบพูดกันว่า "มีเซนต์" เธอรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง และจับตามองผมอย่างใกล้ชิด ถึงขนาดล็อกอินเข้าดูตอนที่ผมคุยกับผู้หญิงคนนั้นทาง MSN ทุกคำพูด ทุกคำโอ้โลมปฏิโลม เธอเห็นทั้งหมดแบบเรียลไทม์ เธอเก็บข้อมูล บันทึกหลักฐาน และเล่นงานผมชนิดที่ไม่มีอะไรให้แก้ตัว เหตุการณ์ครั้งนั้นจบลงโดยผมต้องโทรไปหาผู้หญิงคนนั้น แล้วพูดว่า "ต่อไปอย่าโทรมาอีกนะ" ต่อหน้าเธอ
ผ่านกรณีผู้หญิงคนแรกมา เธอพยายามปรับปรุงตัว (อันนี้เธอมาเล่าให้ผมฟังตอนหลัง) มองหาข้อบกพร่องของตัวเอง พยายามแต่งตัวให้สวยขึ้น และแต่งหน้าทาปาก (ก่อนหน้านี้ เธอไม่ค่อยแต่งตัว ไม่แต่งหน้า อย่างที่บอกครับ เธอเป็นคนชิวๆ) และพยายามบ่นผมเรื่องกินเหล้าให้น้อยลง จากการที่ผมชอบไปกินเหล้าเมายำเปกับเพื่อนฝูงจนลืมเธอบ่อยครั้ง
มรสุมลูกสองของความรักในปีที่ 7
กระทั่งผมได้ทำงานกับบริษัทแห่งใหม่ เงินเดือนมั่นคง แต่งานเลิกไม่ค่อยเป็นเวลา และอยู่ไกลจากที่พักมาก ถ้าขึ้นแท็กซี่ก็เฉลี่ยเที่ยวละ 150 บาท งานใหม่นี่ทำให้ผมได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ที่ชอบดื่มเหมือนกัน หลังเลิกงานซึ่งดึกอยู่แล้วก็ยังมีการนั่งสังสรรค์กันต่อ และที่สำคัญคือการได้เจอกับผู้หญิงคนใหม่ ผู้หญิงคนนี้เธออายุมากกว่าผมเกือบหนึ่งรอบ แต่เป็นคนที่สวยและเก่งมาก ผมนับถือความเก่งและวิธีคิดในการทำงานของเธอ จนเรามีโอกาสได้คุยกัน เป็นการคุยที่ถูกคอเหลือเกิน หลังเลิกงานบ่อยครั้งที่เราแอบไปหาที่นั่งคุยกัน (ที่ต้องแอบก็เพราะไม่อยากให้คนในบริษัทรู้) ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรเกินไปกว่านั้น แค่คุยด้วยสนุก สบายใจ และด้วยความเห็นแก่ตัวที่คิดว่า ยังไงซะเธอ (แฟน) ก็ไม่ไปไหน
เรื่องทำนองนี้ดำเนินไปเป็นเดือนๆ และเป็นอีกครั้งที่ "เซนต์เธอทำงาน" เธอแอบส่องข้อความ เก็บข้อมูลอะไรต่างๆ จนมั่นใจแล้วผมทำชั่วซ้ำสองอีกแล้ว ครั้งนี้เธอเด็ดขาดกว่าเดิม เมื่อเริ่มหมดรักที่มีต่อผม เธอเปิดใจคุยกับผู้ชายคนใหม่ ผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนที่ทำงานของเธอ ผิวขาว หน้าตาดี เทคแคร์ผู้หญิงเก่ง จากภายนอก ดูเหมาะกับเธอมากกว่าผม
แล้ววันหนึ่งผมเมากลับบ้าน เธอปลุกผมให้ตื่นในตอนเช้า พร้อมกับบอกว่า "เลิกกันเถอะ" ผมส่ายศีรษะด้วยความมึนงงผสมฤทธิ์เหล้าที่ยังไม่จาง สืบสาวราวเรื่อง เธอก็พูดตรงๆ ออกมาว่า เธอคุยกับคนอื่นอยู่ คนที่ดูแลเธอได้ดีกว่าผม คนที่ทำให้เธอไม่เหงา ... สถานการณ์ตึงเครียดและผมไม่ยอมแน่นอน แต่เธอมีเหตุผลและยกตัวอย่างกรณีต่างๆ ที่ผมทำเธอเสียใจมาพรรณนามากมาย ผมไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับความผิดนั้นๆ ผมได้แต่ร้องขอโอกาสให้ผมได้ปรับปรุงตัว ช่วงเวลานั้นชีวิตผมเต็มไปด้วยความทรมาน เจ็บที่สุดเท่าที่เคยเป็น ชีวิตไม่เคยอกหัก (เธอเป็นแฟนคนแรกและคนเดียว) จนมีเหตุที่ทำให้ผมออกจากบริษัทนั้น และเลิกติดต่อผู้หญิงคนนั้น ตอนนั้นคิดจะรับงานฟรีแลนซ์ที่บ้าน ผมจะไม่ไปไหน จะอยู่ง้อเธอจนกว่าเธอจะใจอ่อน
เธอก็เอาคืนผมอย่างเจ็บแสบโดยคุยกับผู้ชายคนนั้นโดยไม่เกรงใจผม ผมต้องทนฟังเธอคุยโทรศัพท์กับผู้ชายคนนั้น ผมนอนข้างๆ ตอนเธอคุยไลน์กับผู้ชายคนนั้น ผมต้องกลับกลายเป็นฝ่ายรอคนรักกลับบ้าน (ช่วงนั้นเธอออกเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนที่ทำงาน ก๊วนของผู้ชายคนนั้น) ส่วนผมก็คิดค้นสารพัดวิธีง้องอน จนกระทั่งได้พาเธอไปสถานที่เที่ยวที่สัญญาไว้ ซึ่งตอนนั้นคิดว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย เธอเห็นใจและยอมให้โอกาสผมแก้ตัว แต่ก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะกลับมารักเหมือนเดิมได้หรือไม่ ช่วงเวลา 3 เดือนตรงนั้นมันยาวนานและเจ็บปวดเหลือเกิน
จนกระทั่งวันที่เธอยอมคืนดีแบบเต็มร้อย เกิดขึ้นหลังจากผมไปลงแข่งมาราธอนงานหนึ่ง ผมตั้งใจให้เป็นเหมือนสัญลักษณ์การเริ่มต้นใหม่ เธอตามไปถ่ายรูปให้ผม เหตุการณ์ผ่านไปได้ด้วยดี จนกลับถึงบ้าน ผมขอดูรูปที่ถ่าย เธอส่งกล้องมาให้ ผมเลื่อนดูไปได้เพียงสองสามรูป กลับเจอรูปเธอกับคนอื่น เธอเห็นผมผิดสังเกตเลยคว้ากล้องกลับไปดู ไม่มีคำพูดแก้ตัวใดๆ หลุดออกจากมาปากเธอ ผมโกรธและแค้นจนไม่รู้จะบรรยายยังไง ผมจำไม่ได้ว่าโวยวายอะไรออกไปรึเปล่า ความทรงจำสำหรับเรื่องนั้นมันขาดหายเป็นห้วงๆ มารู้ตัวอีกครั้ง เราก็กลับมาดีกัน เธอรู้สึกผิดและขอบอกขอบใจผมที่ไม่ทิ้งกันไปไหน เธอบอกว่า "อยากให้อยู่กันแบบนี้ไปนานๆ" ผมเจ็บและทำใจยอมรับ ผมรักผู้หญิงคนนี้มาก และมันอาจเป็นกรรมที่ผมทำกับเธอก่อน
ตั้งแต่วันนั้นความสัมพันธ์ของเราก็ค่อยๆ ฟื้นและกลับมาเป็นคู่รักที่หวาวแว๋วเหมือนข้าวใหม่ปลามัน
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญมรสุมลูกที่สามในปีที่ 8-9
หลังจากคืนดีกันและมั่นใจในความรักมากขึ้น ผมเริ่มวางแผนอนาคตอย่างจริงจัง ผมเกริ่นกับเธอหลายครั้งว่าผมจะไม่อยู่กรุงเทพฯ แล้ว ผมจะกลับไปที่บ้านเกิด (เรามาจากจังหวัดเดียวกัน) เพื่อสร้างกิจการของตัวเอง (ตอนนั้นงานฟรีแลนซ์อยู่ตัว และผมอยากขยับขยาย) แน่นอนว่าเธอไม่พอใจ ทั้งๆ ที่เพิ่งกลับมารักกัน ทำไมถึงจะทิ้งกันไป เหตุผลของผมก็คือ ผมต้องการสร้างฐานะที่มั่นคง ปูทางให้เธอกลับไป แต่งงาน มีครอบครัวที่เราวาดฝันไว้ด้วยกัน ซึ่งมันเป็นไปได้ยากในกรุงเทพฯ และแล้วผมก็จากเธอไปเพื่อสร้างอนาคตในช่วงปีที่ 8 ทุกอย่างลงตัว ผมกลายเป็นเจ้าของกิจการ งานเยอะขึ้นๆ และมีเพื่อนเยอะขึ้นๆ จุดพลิกผันอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างปีที่ 8 และ 9 ผมมีโอกาสได้เข้าไปทดลองทำงานวิชาการงานหนึ่ง ซึ่งจะแสดงทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ผมสนุกกับมันจนเผลอลืมเธอ ผมเอาใจใส่เธอน้อยลง อย่างที่บอกไปว่าผมมีเพื่อนมากขึ้น นั่นหมายถึงการกินเหล้าบ่อยขึ้น การรับรู้ปัญหาของเพื่อนมากขึ้น และตามคอยแก้ปัญหาให้เพื่อนยามเดือดร้อน (เธอเคยบอกว่าผมจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่นๆ โดยทิ้งเรื่องของเธอไว้เป็นลำดับสุดท้าย) และผมไม่มีเวลาขึ้นมาหาเธอที่กรุงเทพฯ ผมลืมวันสำคัญ ทว่า เราก็ยังคุยกันทุกวัน เธอไม่เคยโวยวาย ทำให้ผมชะล่าใจ และปล่อยให้เธอเหงาอย่างเดียวดายและเจ็บปวด
ผมเพิ่งลงมากรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเรียบร้อย เธอเรียกชื่อผมซ้ำๆ เบาๆ สามครั้ง ผมรู้เลยว่าสิ่งที่จะพูดไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน และตามคาด เป็นครั้งที่สองที่ผมได้ยินคำว่า "เลิกกันเถอะ" ผมไม่ได้โวยวาย แต่ถามหาเหตุผล ซึ่งเธอบรรยายแต่ละฉาก แต่ละเหตุการณ์ที่ถูกผมทิ้งไว้อย่างแสบสัน ยิ่งฟังผมยิ่งรู้สึกผิด ผมทำอะไรพลาดไปหลายๆ อย่างซ้ำๆ ผมละเลยเรื่องของเธอ ผมสนใจเรื่องอื่นก่อนเสมอ ผมคิดว่าผมทำเพื่อเธอ แต่มองย้อนไปมันเหมือนผมทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น
อย่างที่บอกว่าเธอเป็นคนตรงเสมอ เธอบอกผมช่วงปลายคืนนั้นว่า เธอกำลังคุยกับผู้ชายคนใหม่ ผู้ชายคนนี้รู้จักกันทางเฟสบุ๊ก และคุยกันในฐานะเพื่อนมานานสองสามปี ก่อนที่จะมาเริ่มเปิดใจเมื่อสี่ห้าเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเริ่มทำงานวิชาการในวันเสาร์-อาทิตย์ทำให้ไม่ได้มาหาเธอเลย ผู้ชายคนนี้แสดงความเป็นห่วงเป็นใยยามเธอเหงา เป็นเพื่อนกินข้าวยามเธอไม่มีใคร ขณะที่ผมอยู่ไกลออกไป 700 กิโล เธอบอกว่าเธออยากได้คนที่จะเดินไปพร้อมกัน ไม่ใช่คนที่ทิ้งเธอไว้ข้างหลัง แล้วไปยืนรออยู่ข้างหน้า เธออยากได้คนที่พูดจาภาษาเดียวกัน ไม่ใช่พูดเรื่องยากๆ ที่เธอไม่เข้าใจ และยังไปบังคับให้เธอเข้าใจ เมื่อเปรียบเทียบจากมุมของเธอแล้ว ผมด้อยกว่าในทุกๆ ด้านที่เธอต้องการ
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ต้องการบ้านหลังใหญ่ เธอแค่ต้องการบ้านที่อบอุ่น ทุกคนอยู่พร้อมหน้า
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ต้องการรถคันโต เธอแค่ต้องการคนที่นั่งรถเมล์ไปกับเธอทุกเช้า
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ต้องการเงินกองโต เธอแค่ต้องการคนที่ร่วมกันใช้หนี้ ร่วมกันสร้างทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่ทิ้งกันไป
ผมมักมาเข้าใจอะไรอย่างถ่องแท้เมื่อสายเสมอ ผมรู้ว่าสำหรับเธอวัตถุภายนอกเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ เท่านั้น แต่สำคัญที่ใจที่ยังห่วงหาอาทร ผมไม่รู้ตัวว่ามองเรื่องวัตถุก่อนจิตใจไปตั้งแต่เมื่อไร แต่ความผิดพลาดเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าเสมอ
*** ตามข้อหัวเรื่องนี้ "ขอเวลา 5 เดือน ผมจะเอา 9 ปีของเราคืนมา" ***
เธอบอกให้ผมตัดใจแล้วเดินต่อไปซะ เธอก็พูดเหมือนครั้งก่อนที่เกิดเรื่อง จากแววตา จากน้ำเสียง และจากการกระทำ ผมรู้ว่าเธอยังรักผมอยู่แม้มันจะเจือจางลงมากก็ตาม ผมขอโอกาสเธอเป็นครั้งที่ 3 (เธอยังไม่ได้รับปากว่าจะให้ เพราะเธอต้องการเดินไปข้างหน้า) ครั้งนี้ผมสำนึกผิดและจะทุ่มสุดกำลังที่มีในการทำตามสัญญา โดยขอเวลาเธอ 5 เดือน ในการปรับปรุงตัวตามสัญญา 5 ข้อที่ผมบอกเธอไป (ขอไม่ลงรายละเอียด) เมื่อครบ 5 เดือน ก็ประจวบเหมาะกับช่วงตุลาคม ซึ่งผมวางแผนไว้ว่าจะขอเธอแต่งงานอยู่แล้ว (วางแผนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ขอให้มันยังทันเถอะ) ผมเป็นคนที่ทำอะไรด้วยความมุ่งมั่นเกินร้อย และจะทำให้ดีที่สุด ทั้งนี้ สุดท้ายผลจะออกมาเป็นแบบไหน ผมก็จะไม่เสียใจเลย เพราะผมได้ทำมันเต็มที่แล้ว
ขอบคุณสมาชิกพันทิปทุกท่านที่อ่านและแสดงความคิดเห็น
รักคุณนะ ก.