ร่วมกันรณรงค์คนไทยมีจิตสำนึกในการขับขี่ ใช้ไฟเลี้ยวทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน

ผมขับรถยนต์ในกทม.นี่มาก็ร่วมๆ 7-8 เดือนแล้ว (ประสบการณ์ขับรถยนต์ผมมีมาตั้งแต่ 20 ปีก่อนแล้ว) เมื่อก่อนขับรถปิ๊กอัพของคุณแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด นานๆ เข้า กทม. บ้าง แต่ปัจจุบันมาอยู่ กทม. ได้ร่วมๆ 12 ปีแล้ว ช่วงแรกๆ ก็โดยสารรถสาธารณะอยู่ 3-4 ปี ช่วงนั้นก็จะไม่ค่อยเห็นปัญหาอะไรเรื่องการใช้ท้องถนนร่วมกันระหว่างรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน (เมื่อก่อนไม่ค่อยมีคนปั่น)

          อยู่ กทม. เข้าสู่ปีที่ 5 ที่ทำงานเดิมอยู่ไกลจากบ้านพอสมควร จึงตัดสินใจออกรถจักรยานยนต์ Honda Phantom ตัว 200 cc. มาขี่ เพราะทุนในตอนนั้นมีอยู่ราวๆ นั้น แล้วก็เป็นคนตัวใหญ่ เลยอยากได้รถใหญ่หน่อย ครั้นจะออก Big Bike ทางเลือก ณ เวลานั้นก็ไม่เยอะ แถมกฎหมายก็ไม่เปิดกว้างให้รถจักรยนต์คนใหญ่เหมือนปัจจุบัน แต่ก็โอเค แฟนธ่อมก็สวยโดนใจใช้ได้ (ผมเป็นคนรักการขี่จักรยานยนต์มาก) ขี่มาจนเมื่อปีที่แล้วนี่แหละถึงตัดสินใจออกรถเก๋งมือสอง Nissan Cefiro a32 นั่นก็เพราะที่ทำงานอีกเช่นเคย อยู่ไกลขึ้นจะให้บิดเจ้าแฟนธ่อมข้ามจังหวัดก็กระไรอยู่

          ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เมื่อก่อนตอนผมขี่จักรยานยนต์ 2-3 ปีแรก รู้สึกว่ารถใน กทม. มันไม่เยอะเหมือนปัจจุบัน แล้วพฤติกรรมคนขับรถยนต์เมื่อก่อนก็ดูโอเค คือ ค่อนข้างทำตามกฎ (แม้พวกรถซิ่งจะไม่เคยหายไปไหนจนปัจจุบัน) แต่คนใช้ถนนทั่วไปก็ทำตามกฎเล็กๆ น้อยๆ อาทิ จะเลี้ยว-จะเปลี่ยนเลน ก็ตีไฟเลี้ยว จะเหยียบแซงก็ตีไฟเลี้ยวเป็นสัญญาณ (ส่วนผมตอนขี่รถจักรยานยนต์จะเปิดไฟเลี้ยวตลอด) ซึ่งนั่นคือ "พื้นฐาน" การใช้งานรถที่เราได้จากการอบรมใบขับขี่มา ซึ่งเป็นหลักการสากลที่ถูกต้อง และที่สำคัญไฟเลี้ยวมันคือสัญญาณความปลอดภัยของเราและเพื่อนร่วมทางที่เป็นการแสดงเจตนาในการใช้ถนนของเราๆ ท่านๆ (ไม่งั้นเขาจะทำไฟเลี้ยวมาทำแป๊ะอะไร จริงมั้ยครับ ^^) ส่วนพฤติกรรมคนขี่จักรยานยนต์ส่วนใหญ่ก็คือ ไม่ค่อยใส่ใจกับไฟเลี้ยวมากนัก ขับตามใจเป็นหลัก ผมเองขี่จักรยานยนต์ยังรู้สึกไม่พอใจจักรยานยนต์ด้วยกันบ่อยๆ (แต่คนขี่ดีๆ ก็มีเยอะนะครับ แต่สัดส่วนมันจะน้อยมากเมื่อเทียบกับพวกขี่ตามใจฉัน)

          จนมาช่วงปีหลังๆ นี้ ผมยังขี่จักรยานยนต์อยู่ รู้สึกได้เลยว่า รถใน กทม. เยอะขึ้นมากเลยครับทั้งรถยนต์และจักรยานยนต์ ไปตรงไหนก็ติด ไปตรงไหนก็ล้นถนน จะมือใหม่มือเก่าขับกันให้ควัก แล้วสังเกตได้เลยว่า ปัจจุบันคนเราไม่ใส่ใจ-ไม่ให้ความสำคัญในการให้สัญญาณ "ไฟเลี้ยว" ที่เป็นพื้นฐานที่จำเป็นในการขับขี่แม้แต่น้อย บรรดา Taxi ก็เช่นกัน เมื่อก่อนขี่จักรยานยนต์จะสังเกตได้ว่า Taxi นี่จะเลี้ยวจะเปลี่ยนเลนส่วนใหญ่จะให้สัญญาณกันแทบทุกคัน แต่ปัจจุบันกลายเป็นว่า ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถ Taxi ขับขี่กันแบบตามใจฉันมากขึ้น ไม่สนใจ "พื้นฐาน" ที่จะช่วยสร้างความ "ปลอดภัย" ในการขับขี่เลยแม้แต่น้อย

          นึกอยากปาดก็ปาดเลย นึกจะเบียดเปลี่ยนเลนก็แทรกๆ เข้ามาเลย นึกจะเลี้ยวก็เลี้ยวเลย บางทีรถต่อแถวยาวเพื่อรอเลนหรือรอไฟเขียว รอขึ้นสะพานบางคันวิ่งเลนนอกแล้วก็มาเบียดมุดๆ หัวเข้ามา โดยไม่ใส่ใจไม่สนไม่แสดงเจตนากับการใช้ "สัญญาณไฟเลี้ยว" แม้แต่น้อย สัดส่วนปัจจุบันของคนที่ใช้ไฟเลี้ยวมีน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับคนที่ขับตามใจฉัน
          ยิ่งปัจจุบันผมมาใช้รถเก๋ง ยิ่งเห็นพฤติกรรมแบบมักง่ายในการขับขี่เพิ่มขึ้น (แต่เมื่อสังเกตปัจจุบัน พบว่าจักรยานยนต์ใช้ไฟเลี้ยวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน) กลายเป็นว่ารถที่เปิดไฟเลี้ยวเป็นกิจลักษณะคือบรรดารถใหญ่ รถบรรทุก นั่นเอง ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องที่ดีมากครับ

          ผมจึงอยากให้พวกเราผู้ใช้รถใช้ถนนทุกท่านช่วยกันรณรงค์ "เปิดไฟเลี้ยวเป็นสัญญาณทุกครั้งเพื่อแสดงเจตนาในการขับขี่" ครับ อย่างที่สากลโลกเขาทำกัน ผมคิดว่ามันช่วยให้เรา "ขับขี่ได้ปลอดภัย" มากยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็อาจจะช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนลงได้บ้าง ที่สำคัญ มันคือ "พื้นฐานการใช้รถใช้ถนนที่เราๆ ท่านๆ ต่างก็เคยได้รับการอบรมมาแล้ว...ไม่ว่าคุณจะเป็นนักขับมือใหม่ หรือมือเก่า" ที่กำหนดระยะเป็นเมตรๆ ว่าเท่าไหร่ควรจะเปิดมันก็ด้วยจำนวนรถคงจะทำได้ยากหากเปิดตามระยะที่กฎหมายกำหนด แต่อย่างน้อยเราก็ยังได้เปิดแสดงเจตนา เราขับขี่เองย่อมรู้ระยะอยู่แล้วว่าคันอื่นๆ จะเห็นในระยะเท่าไหร่...แล้วทำไมเราไม่นำมาใช้ให้ถูกต้องล่ะครับ

          "ไฟเลี้ยว" ก็อยู่แค่ปลายนิ้วมือสะกิด คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอกครับที่เราจะให้มัน เพื่อให้เป็นไปตามกฏ และเพื่อลดความเสี่ยง เพิ่มความปลอดภัยต่อตัวเองและผู้อื่น เรามาช่วยๆ กันทำให้ถูกต้องเถอะนะครับ ^^

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่