ตอนที่ 2 ครับ
http://ppantip.com/topic/33719500
สวัสดีครับ ช่วงนี่ดราม่าจักรยานกันเยอะมาก เลยลังเลที่จะลงรีวิวอยู่พักนึง ก็ถือว่ามาดูอะไรที่มันเบาๆสมองกันบ้างละกันครับ
เนื่องจากปีที่แล้วไปเที่ยวช่วงสงกรานต์ที่โอซาก้าลองเช่าจักรยานแม่บ้านปั่นเที่ยวแล้วติดใจ แต่ปัญหาคือเวลาที่ต้องคืนจักรยาน บางเมืองให้คืน 5 โมง ทำให้เที่ยวได้ไม่เต็มที่นัก (แต่ก็ดีกว่าเดินเยอะเลย) เลยวางแผนกับแฟนใว้ตั้งแต่ปีที่แล้วว่าจะขนจักรยานไปปั่นที่ญี่ปุ่นกันในปีต่อมา วันนี้เลยจะมาขอรีวิวการขนจักรยานพับไปปั่นที่ญี่ปุ่น 10 วัน โดยแผนหลักๆคือนั่งเครื่องไปลงโตเกียว ขึ้นรถทัวร์ไปทะเลสาบคาวากุจิ จากนั้นปั่นเที่ยวรอบทะเลสาปทั้ง 5 ของภูเขาไฟฟูจิ แล้วปั่นกลับโตเดียวเพื่อเที่ยวต่อ โดยผมจะแบ่งเป็น 2 ตอนดังนี้
1. ปั่นรอบ 4 ทะเลสาบรอบภูเขาไฟฟูจิ, ปั่นจากฟูจิ ไป ฮาโกเน่, ฮาโกเน่ ไปโยโกฮาม่า
2. ปั่นจากโยโกฮาม่า มุ่งหน้า โตเกียว, ปั่นเที่ยวโตเกียว พิพิธภัณฑ์โดราเอม่อน กับ พิพิธภัณฑ์ Ghibli
รูปอาจไม่ค่อยสวยงามนะครับ เพราะใช้ iPhone เป็นหลักและมีใช้กล้องบ้างเนื่องจากเน้นเส้นทางปั่นและดำเนินตามแผนที่วางใว้เป็นหลักครับ
ทริปนี้ 10 วัน 9 คืนรวมเดินทางใช้งบประมาณต่อคนประมาณ 45,000 ครับรวมทุกอย่างแล้ว
ปล. ผมไม่ใช่นักรีวิวมืออาชีพนะครับ แค่หวังว่าจะเป็นแนวทางให้คนที่อยากไปปั่นเที่ยวต่างประเทศครับ
ว่าแล้วก็เริ่มกันเลยครับ
Day 1: จากบ้านสู่โตเกียว
เริ่มจากทำการแพ๊คจักรยานลงกระเป๋าเดินทางโดยเลือกเอา Bike Friday เพราะเป็นจักรยานที่สามารถพับใส่ลงใสกระเป๋าเดินทางขนาด 32" ได้ ข้อดีคือเอาขนย้ายง่ายครับ เอาขึ้นรถไฟ รถสาธรณะสะดวก เคยเอาประเป๋าจักรยานไปสิงคโปร ปรากฏว่าเขาไมให้เอาขึ้นรถไฟใต้ดินเพราะใบใหญ่เกิน กลัวว่าจะไปทำความลำบากให้ผู้โดยสารท่านอื่น ต้องใช้ Taxi สถานเดียว ส่วนเสื้อผ้าก็ใส่เป้หลังใบยักษ์แบบฝรั่ง Backpacker ใช้กัน จากนั้นก็เดินทางไปขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิปลายทางสนามบินนาริตะ โตเกียว ระหว่างทางไปบนทางด่วน นึกได้ว่าลืมตั๋วเข้า พิพิธภัณฑ์โดราเอม่อนกับพิพิธภัณฑ์ Ghibli เลยต้องวนรถกลับไปเอาอีก -_-" ดีที่เผื่อเวลาใว้เยอะ เมื่อถึงสุวรรณภูมิก็ลากกระเป๋าไปเช็คอินซึ่งผมใช้สายการบิน China Eastern ออกจากกรุงเทพ ตี 1 โดยต้องไปรอ ต่อเครื่องที่เซี่ยงไฮ้ประมาณ 1ชั่วโมงไม่นานมากก็มากสำหรับกระเป๋าที่ใส่จักรยาน ทางเจ้าหน้าที่เช็คิอินก็ติดสติ๊กกอร์ Fragile ให้และให้ไปโหลดที่ช่อง Oversize
ถอดจักรยานแพ๊คลงกระเป๋าเดินทาง
และแล้วเราก็มาถึงสนามบินนาริตะ เริ่มแรกเราก็มุ่งปยัง Post Counter เพื่อรับ Pocket WiFi (อุปกรณ์สำคัญในการเดินทางเลย) ซึ่งได้ทำการเช่า online จาก Japan Wireless ใว้ เดินมาอีกหน่อยก็มาเจอร้าน Uniqlo ในสนามบิน ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรงเข้าไปเพื่อหาซื้อชุด Heat Tech กับ เสื้อ Ultra-light down ทันที เพราตอนนี้อยู่ในสนามบินก็เย็นสุดๆแล้ว มาแบบมีแต่เสื้อยืด-กางเกงยีนส์,ชุดปั่น และเสื้อกันลมเท่านั้น กะมาหาซื้อที่นี่อยู่แล้ว จากนั้นเราเลือกการเดินทางเข้าเมืองด้วยรถไฟซี่งสามารถขึ้นได้ที่ชั้นใต้ดินของสนามบินเลย โดยเลือกรถไฟ NEX (Narita Express)ไปยังสถานีอิเคบูกุโระโดยใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
กระเป๋า 2 ใบ ข้างในมีแต่จักรยาน
หาซื้ออุปกรณ์ทำให้อุ่นซักหน่อย
รถไฟ NEX (Narita Express) ที่นั่งกว้างขวาง สบาย มีที่ให้เก็บกระเป๋าพร้อมสายล๊อคแบบใช้ระหัส แต่เนื่องจากประเป๋าใบใหญ่เกินกว่าจะใส่เข้าไปได้ เลยต้องเอามาวางใว้ข้างๆที่นั่ง
เมื่อมาถึงสถานีปลายทางพบว่าฝนตก แต่ไม่มีทาเลือกก็เลยต้องลากกระเป๋าฝ่าฝนจากสถานีไปอีกราวๆ 650 เมตร ผ่าฝนปรอยๆไปยัง House Ikebukuro ซึ่งเป็นบ้านพักแบบห้องน้ำรวม เวลาตอนนั้นประมาณ 5:30 ได้
อากาศกำลังสบาย แต่ฝนตกเนี่ยซิ
เมื่อมาถึงก็เจอปัญหาแรกเลยคือไม่มีชื่อจองห้องพักเราก็ยืนยันว่าเมล์มาจอง คอนเฟิร์มแล้วอย่างแข็งขัน ค้นเมล์ มาให้ดู ปรากฏว่าจองผิดวัน โดยจองเขาใว้วันที่ 9 เมย. แต่…เราเดินทางมาถึงวันที่ 10 เมย. -_-“ โดยทางเจ้าของบ้านบอกว่า ห้องพักคืนนี้เต็มหมดแล้ว (เริ่มเครียด จะต้องไปนอนกับมนุษย์กล่องตามสถานีรถไฟไหมเนี่ย) ซักพักทางคุณเจ้าของก็บอกว่า มีอยู่ห้องนึง แต่เล็กมากนะ ปรกติให้ Staff นอนเดี๋ยวพาไปดู สนใจไหม (ณ. เวลานั้น ห้องไหนก็ได้แล้วครัช)
ห้องที่พาไปดู เป็นเหมือนห้องเก็บของ (ตอนแรกมีพวกผ้าเช็ดตัวตากอยู่ด้วย แค่เขาเคลียห้องให้เรียบร้อย) เป็นเตียง 2 ชั้น แบบว่า เหมือนที่นอนโดเรม่อนเลย เห็นปุ๊บตอบตกลงปั๊บ อยากนอนแบบโดเรม่อนมานานแระ 55
ห้องแค่นี้ครับ แต่อุปกรณ์ครบครับแ แถมถูกกว่าห้องปรกติตั้ง 30% อิอิ
ห้องอาหาร เอากระเป๋าฝากใว้ตรงนี้ หยิบแต่ของที่จำเป็นไป
ห้องอาหารอุปกรณ์ครบ มีเครื่องกดน้ำ/ชา/กาแฟ แต่กินแล้วต้องล้างจานชามเก็บให้เรียบร้อยเอง ให้ฝากกระเป๋าเอาใว้ได้ ส่วนในห้องน้ำก็มีสบู่ แชมพู โฟมล้างหน้าครบ
พอเคลียเรื่องห้องพักได้ ก็จัดแจงประกอบจักรยานแบบยังไม่ประกอบแร็คหลังเพราะวันรุ่งขึ้นต้องออกเดินทางแต่เช้าไปขึ้นรถทัวร์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็เรียบร้อย โดยได้ขอที่จอดเขาใว้ด้านหลังของบ้าน เสียวๆเหมือนกันเพราะรั้วเตี้ยๆไม่ได้ล๊อค แต่เขาว่าที่ญี่ปุ่นปลอดภัยๆ ก็ทำใจร่มๆจอดไป
ประกอบร่างเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้ติดตะแกรงหลังเพราะต้องเอาใส่กระเป๋าจักรยานอีกในวันรุ่งขึ้น
ที่จอดหลังบ้าน กลัวรถไม่สบายเลยกางร่มให้ซะหน่อย
แล้วก็เดินออกไปยังปากซอยเพื่อหาอะไรกินเลยตัดสินใจเลือกร้านข้าว Matsuya ฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นร้านแบบต้องกดเลือกเมนูที่ตู้จ่ายเงินให้เรียบร้อก่อน แล้วจึงเอาตั๋วไปให้พ่อครัว ปรากฏว่าพอใส่แบงค์ไป ตู้ร้องลั่นร้านไม่หยุด (ในใจคิด ทำไมปัญหาเยอะจริงวุ้ยชักลางไม่ดีแระทริปนี้) พนักงานก็เดินมาเพื่อเปิดตู้เพื่อรีเซ็ตให้แล้วดึงเงินออกมาให้ซื้อตั๋วใหม่ ใส่แบงค์ใบเดิมไปคราวนี้ได้แฮะ (เมื่อกี้ใส่แบงค์ผิดมุมใช่ไหม) ก็ได้เซ็ตเบคอนทอดอิ่มสบายกลับที่พักอาบน้ำเตรียมของพรอ้มสำหรับการเริ่มผจญภัย
ยืมรูปหน้าร้านจาก Google นะครับ ไม่ได้ถ่ายใว้
มื้อแรกในญี่ปุ่น อิ่มอร่อย
Day 2 : จากโตเกียว - ทะเลสาบคาวากุจิ
แผนวันนี้คือเอาจักรยานขันรถบัสไปที่พักที่คาวากุจิ แล้วปั่นเล่นใกล้ๆที่พัก
ตื่นเช้ามาก็ฝนตกโปรยๆเลย แต่เราไม่ย่อท้อ มาถึงที่นี่แระเราเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ 6 โมงเช้า โดยใช่ Google Map ให้นำทางไปยังจุดขึ้นรถทัวร์ที่สถานีชินจูกุ โดยได้ทำการจองตั๋วรอบ 7:00 ใว้ผ่านเว็บนี้
https://www.highwaybus.com/rs-web01-prd-rel/gp/foreign/frgSelectLine?lang=en โดยระยะทางจากที่พักประมาณ 6 กม. เท่านั้น
เนื่องจากฝนตกกว่าจะมาถึงสถานีชินจูกุ ก็ 7:10 แล้ว เลยซื้อตั๋วรถทัวร์รอบ 7:40 และพับจักรยานใส่ประเป๋าจักรยาน เพื่อขึ้นรถทัวร์ การเดินทางด้วยรถสาธรณะที่นี่ตามกฏ จักรยานจะต้องใส่กระเป๋าทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ทำความเดือนร้อนให้ผู้โดยสารท่านอื่น เมื่อใส่กระเป๋าเรียบร้อยก็ขนไปใส่ใว้ในช่องเก็บกระเป๋าใต้รถทัวร์เพื่อออกเดินทางไปยังสถานีคาวากุจิโกะ
ปั่นมานิดหน่อยต้องแพ๊คลงถุงจักรยานซะแระ
ระหว่างทางมีแต่ฝนและหมอก มองไม่เห็นอะไรเลย
เมื่อมาถึงสถานีคาวากุจิประมาณ 9:30 ฝนยังไม่หยุดตก แต่ก็ทำการกางจักรยานและประกอบแร็คหลังเพื่อติดกระเป๋าและปั่นไปยังที่พัก โดยเราจะพักกันที่ K’house Mt.Fuji
ห้องนอนแบบเสื่อ tatami
ที่พักคืนนี้ K’s House Mt.Fuji ห่างจาสถานีประมาณ 1.3 กม. เป็นบ้านพักแบบห้องน้ำรวมรวม เราพักห้องแบบเสื้อทาทามิ มีครัว มีห้องให้ทานข้าว มีไมโครเวฟ เตาอบ เตาย่าง จาน ชาม แก้ว ให้ใช้ แต่ใช้แล้วต้องล้างและเช็ดจานเก็บให้เรียบร้อยนะจ๊ะ ข้าวพนักงานก็เป็นกันเองมากๆ
เมื่อเก็บของเสร็จฝนหยุดตกพอดี เราก็ออกไปปั่นเล่น โดยลองไปปั่นรอบทะเลสาบคาวากุจิเพื่อให้ชินกับถนนหนทางแถวนี้ก่อน โดยระยะทางรอบทะเลสาปประมาณ 20 กม. ทางปันค่อนข้างดี มีถนนขระขระบ้างเป็นบางช่วง เรายังคงเน้นปั่นบนทางเท้ากเป็นส่วนใหญ่ เพราะยังไม่ชินกับรถที่ณี่ปุ่น เนื่องจากวันนี้ฝนตก ฟ้าปิดทำให้มองไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิเลย แอบคิดในใจ สงสัยรอบนี้จะชวดไม่ได้เห็นฟูจิซังซะแล้ว
ทางปั่นดี มีซากุระตลอดทาง เสียดายหิมะตกวันก่อน ไม่อย่างนั้นคงบานทั่วทั้งทะเลสาบ
เจอต้นซากุระตูมๆก็ขอซักรูป
เห็นเขาแวะถ่ายกันจังพุ่มกลมๆเนี่ย เลยจัดซักรูป
อากาศกำลังปั่นสบายๆเลย แต่เย็นมือมาก
เวลาปั่นไปมีอุโมงค์ข้างหน้า จะมีถนนแยกออกมาอ้อมเขาเสมอเพื่อให้จักรยานและคนเดินเท้าซึ่งปลอดภัยกว่าเข้าไปในอุโมงค์
ที่ใดมีซากุระเยอะๆ ที่นั้นมีตลาดนัด
เมฆเยอะมาก สงสัยรอบนี้อดเห็นฟูจิ
[CR] รีวิวสั้นๆขนจักรยานพับไปปั่นที่ญี่ปุ่น จากภูเขาไฟฟูจิสู่โตเกียว 10 วัน 9 คืน สุข เศร้าเคล้าดราม่า ตอนที่ 1
สวัสดีครับ ช่วงนี่ดราม่าจักรยานกันเยอะมาก เลยลังเลที่จะลงรีวิวอยู่พักนึง ก็ถือว่ามาดูอะไรที่มันเบาๆสมองกันบ้างละกันครับ
เนื่องจากปีที่แล้วไปเที่ยวช่วงสงกรานต์ที่โอซาก้าลองเช่าจักรยานแม่บ้านปั่นเที่ยวแล้วติดใจ แต่ปัญหาคือเวลาที่ต้องคืนจักรยาน บางเมืองให้คืน 5 โมง ทำให้เที่ยวได้ไม่เต็มที่นัก (แต่ก็ดีกว่าเดินเยอะเลย) เลยวางแผนกับแฟนใว้ตั้งแต่ปีที่แล้วว่าจะขนจักรยานไปปั่นที่ญี่ปุ่นกันในปีต่อมา วันนี้เลยจะมาขอรีวิวการขนจักรยานพับไปปั่นที่ญี่ปุ่น 10 วัน โดยแผนหลักๆคือนั่งเครื่องไปลงโตเกียว ขึ้นรถทัวร์ไปทะเลสาบคาวากุจิ จากนั้นปั่นเที่ยวรอบทะเลสาปทั้ง 5 ของภูเขาไฟฟูจิ แล้วปั่นกลับโตเดียวเพื่อเที่ยวต่อ โดยผมจะแบ่งเป็น 2 ตอนดังนี้
1. ปั่นรอบ 4 ทะเลสาบรอบภูเขาไฟฟูจิ, ปั่นจากฟูจิ ไป ฮาโกเน่, ฮาโกเน่ ไปโยโกฮาม่า
2. ปั่นจากโยโกฮาม่า มุ่งหน้า โตเกียว, ปั่นเที่ยวโตเกียว พิพิธภัณฑ์โดราเอม่อน กับ พิพิธภัณฑ์ Ghibli
รูปอาจไม่ค่อยสวยงามนะครับ เพราะใช้ iPhone เป็นหลักและมีใช้กล้องบ้างเนื่องจากเน้นเส้นทางปั่นและดำเนินตามแผนที่วางใว้เป็นหลักครับ
ทริปนี้ 10 วัน 9 คืนรวมเดินทางใช้งบประมาณต่อคนประมาณ 45,000 ครับรวมทุกอย่างแล้ว
ปล. ผมไม่ใช่นักรีวิวมืออาชีพนะครับ แค่หวังว่าจะเป็นแนวทางให้คนที่อยากไปปั่นเที่ยวต่างประเทศครับ
ว่าแล้วก็เริ่มกันเลยครับ
Day 1: จากบ้านสู่โตเกียว
เริ่มจากทำการแพ๊คจักรยานลงกระเป๋าเดินทางโดยเลือกเอา Bike Friday เพราะเป็นจักรยานที่สามารถพับใส่ลงใสกระเป๋าเดินทางขนาด 32" ได้ ข้อดีคือเอาขนย้ายง่ายครับ เอาขึ้นรถไฟ รถสาธรณะสะดวก เคยเอาประเป๋าจักรยานไปสิงคโปร ปรากฏว่าเขาไมให้เอาขึ้นรถไฟใต้ดินเพราะใบใหญ่เกิน กลัวว่าจะไปทำความลำบากให้ผู้โดยสารท่านอื่น ต้องใช้ Taxi สถานเดียว ส่วนเสื้อผ้าก็ใส่เป้หลังใบยักษ์แบบฝรั่ง Backpacker ใช้กัน จากนั้นก็เดินทางไปขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิปลายทางสนามบินนาริตะ โตเกียว ระหว่างทางไปบนทางด่วน นึกได้ว่าลืมตั๋วเข้า พิพิธภัณฑ์โดราเอม่อนกับพิพิธภัณฑ์ Ghibli เลยต้องวนรถกลับไปเอาอีก -_-" ดีที่เผื่อเวลาใว้เยอะ เมื่อถึงสุวรรณภูมิก็ลากกระเป๋าไปเช็คอินซึ่งผมใช้สายการบิน China Eastern ออกจากกรุงเทพ ตี 1 โดยต้องไปรอ ต่อเครื่องที่เซี่ยงไฮ้ประมาณ 1ชั่วโมงไม่นานมากก็มากสำหรับกระเป๋าที่ใส่จักรยาน ทางเจ้าหน้าที่เช็คิอินก็ติดสติ๊กกอร์ Fragile ให้และให้ไปโหลดที่ช่อง Oversize
ถอดจักรยานแพ๊คลงกระเป๋าเดินทาง
และแล้วเราก็มาถึงสนามบินนาริตะ เริ่มแรกเราก็มุ่งปยัง Post Counter เพื่อรับ Pocket WiFi (อุปกรณ์สำคัญในการเดินทางเลย) ซึ่งได้ทำการเช่า online จาก Japan Wireless ใว้ เดินมาอีกหน่อยก็มาเจอร้าน Uniqlo ในสนามบิน ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรงเข้าไปเพื่อหาซื้อชุด Heat Tech กับ เสื้อ Ultra-light down ทันที เพราตอนนี้อยู่ในสนามบินก็เย็นสุดๆแล้ว มาแบบมีแต่เสื้อยืด-กางเกงยีนส์,ชุดปั่น และเสื้อกันลมเท่านั้น กะมาหาซื้อที่นี่อยู่แล้ว จากนั้นเราเลือกการเดินทางเข้าเมืองด้วยรถไฟซี่งสามารถขึ้นได้ที่ชั้นใต้ดินของสนามบินเลย โดยเลือกรถไฟ NEX (Narita Express)ไปยังสถานีอิเคบูกุโระโดยใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
กระเป๋า 2 ใบ ข้างในมีแต่จักรยาน
หาซื้ออุปกรณ์ทำให้อุ่นซักหน่อย
รถไฟ NEX (Narita Express) ที่นั่งกว้างขวาง สบาย มีที่ให้เก็บกระเป๋าพร้อมสายล๊อคแบบใช้ระหัส แต่เนื่องจากประเป๋าใบใหญ่เกินกว่าจะใส่เข้าไปได้ เลยต้องเอามาวางใว้ข้างๆที่นั่ง
เมื่อมาถึงสถานีปลายทางพบว่าฝนตก แต่ไม่มีทาเลือกก็เลยต้องลากกระเป๋าฝ่าฝนจากสถานีไปอีกราวๆ 650 เมตร ผ่าฝนปรอยๆไปยัง House Ikebukuro ซึ่งเป็นบ้านพักแบบห้องน้ำรวม เวลาตอนนั้นประมาณ 5:30 ได้
อากาศกำลังสบาย แต่ฝนตกเนี่ยซิ
เมื่อมาถึงก็เจอปัญหาแรกเลยคือไม่มีชื่อจองห้องพักเราก็ยืนยันว่าเมล์มาจอง คอนเฟิร์มแล้วอย่างแข็งขัน ค้นเมล์ มาให้ดู ปรากฏว่าจองผิดวัน โดยจองเขาใว้วันที่ 9 เมย. แต่…เราเดินทางมาถึงวันที่ 10 เมย. -_-“ โดยทางเจ้าของบ้านบอกว่า ห้องพักคืนนี้เต็มหมดแล้ว (เริ่มเครียด จะต้องไปนอนกับมนุษย์กล่องตามสถานีรถไฟไหมเนี่ย) ซักพักทางคุณเจ้าของก็บอกว่า มีอยู่ห้องนึง แต่เล็กมากนะ ปรกติให้ Staff นอนเดี๋ยวพาไปดู สนใจไหม (ณ. เวลานั้น ห้องไหนก็ได้แล้วครัช)
ห้องที่พาไปดู เป็นเหมือนห้องเก็บของ (ตอนแรกมีพวกผ้าเช็ดตัวตากอยู่ด้วย แค่เขาเคลียห้องให้เรียบร้อย) เป็นเตียง 2 ชั้น แบบว่า เหมือนที่นอนโดเรม่อนเลย เห็นปุ๊บตอบตกลงปั๊บ อยากนอนแบบโดเรม่อนมานานแระ 55
ห้องแค่นี้ครับ แต่อุปกรณ์ครบครับแ แถมถูกกว่าห้องปรกติตั้ง 30% อิอิ
ห้องอาหาร เอากระเป๋าฝากใว้ตรงนี้ หยิบแต่ของที่จำเป็นไป
ห้องอาหารอุปกรณ์ครบ มีเครื่องกดน้ำ/ชา/กาแฟ แต่กินแล้วต้องล้างจานชามเก็บให้เรียบร้อยเอง ให้ฝากกระเป๋าเอาใว้ได้ ส่วนในห้องน้ำก็มีสบู่ แชมพู โฟมล้างหน้าครบ
พอเคลียเรื่องห้องพักได้ ก็จัดแจงประกอบจักรยานแบบยังไม่ประกอบแร็คหลังเพราะวันรุ่งขึ้นต้องออกเดินทางแต่เช้าไปขึ้นรถทัวร์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็เรียบร้อย โดยได้ขอที่จอดเขาใว้ด้านหลังของบ้าน เสียวๆเหมือนกันเพราะรั้วเตี้ยๆไม่ได้ล๊อค แต่เขาว่าที่ญี่ปุ่นปลอดภัยๆ ก็ทำใจร่มๆจอดไป
ประกอบร่างเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้ติดตะแกรงหลังเพราะต้องเอาใส่กระเป๋าจักรยานอีกในวันรุ่งขึ้น
ที่จอดหลังบ้าน กลัวรถไม่สบายเลยกางร่มให้ซะหน่อย
แล้วก็เดินออกไปยังปากซอยเพื่อหาอะไรกินเลยตัดสินใจเลือกร้านข้าว Matsuya ฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นร้านแบบต้องกดเลือกเมนูที่ตู้จ่ายเงินให้เรียบร้อก่อน แล้วจึงเอาตั๋วไปให้พ่อครัว ปรากฏว่าพอใส่แบงค์ไป ตู้ร้องลั่นร้านไม่หยุด (ในใจคิด ทำไมปัญหาเยอะจริงวุ้ยชักลางไม่ดีแระทริปนี้) พนักงานก็เดินมาเพื่อเปิดตู้เพื่อรีเซ็ตให้แล้วดึงเงินออกมาให้ซื้อตั๋วใหม่ ใส่แบงค์ใบเดิมไปคราวนี้ได้แฮะ (เมื่อกี้ใส่แบงค์ผิดมุมใช่ไหม) ก็ได้เซ็ตเบคอนทอดอิ่มสบายกลับที่พักอาบน้ำเตรียมของพรอ้มสำหรับการเริ่มผจญภัย
ยืมรูปหน้าร้านจาก Google นะครับ ไม่ได้ถ่ายใว้
มื้อแรกในญี่ปุ่น อิ่มอร่อย
Day 2 : จากโตเกียว - ทะเลสาบคาวากุจิ
แผนวันนี้คือเอาจักรยานขันรถบัสไปที่พักที่คาวากุจิ แล้วปั่นเล่นใกล้ๆที่พัก
ตื่นเช้ามาก็ฝนตกโปรยๆเลย แต่เราไม่ย่อท้อ มาถึงที่นี่แระเราเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ 6 โมงเช้า โดยใช่ Google Map ให้นำทางไปยังจุดขึ้นรถทัวร์ที่สถานีชินจูกุ โดยได้ทำการจองตั๋วรอบ 7:00 ใว้ผ่านเว็บนี้ https://www.highwaybus.com/rs-web01-prd-rel/gp/foreign/frgSelectLine?lang=en โดยระยะทางจากที่พักประมาณ 6 กม. เท่านั้น
เนื่องจากฝนตกกว่าจะมาถึงสถานีชินจูกุ ก็ 7:10 แล้ว เลยซื้อตั๋วรถทัวร์รอบ 7:40 และพับจักรยานใส่ประเป๋าจักรยาน เพื่อขึ้นรถทัวร์ การเดินทางด้วยรถสาธรณะที่นี่ตามกฏ จักรยานจะต้องใส่กระเป๋าทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ทำความเดือนร้อนให้ผู้โดยสารท่านอื่น เมื่อใส่กระเป๋าเรียบร้อยก็ขนไปใส่ใว้ในช่องเก็บกระเป๋าใต้รถทัวร์เพื่อออกเดินทางไปยังสถานีคาวากุจิโกะ
ปั่นมานิดหน่อยต้องแพ๊คลงถุงจักรยานซะแระ
ระหว่างทางมีแต่ฝนและหมอก มองไม่เห็นอะไรเลย
เมื่อมาถึงสถานีคาวากุจิประมาณ 9:30 ฝนยังไม่หยุดตก แต่ก็ทำการกางจักรยานและประกอบแร็คหลังเพื่อติดกระเป๋าและปั่นไปยังที่พัก โดยเราจะพักกันที่ K’house Mt.Fuji
ห้องนอนแบบเสื่อ tatami
ที่พักคืนนี้ K’s House Mt.Fuji ห่างจาสถานีประมาณ 1.3 กม. เป็นบ้านพักแบบห้องน้ำรวมรวม เราพักห้องแบบเสื้อทาทามิ มีครัว มีห้องให้ทานข้าว มีไมโครเวฟ เตาอบ เตาย่าง จาน ชาม แก้ว ให้ใช้ แต่ใช้แล้วต้องล้างและเช็ดจานเก็บให้เรียบร้อยนะจ๊ะ ข้าวพนักงานก็เป็นกันเองมากๆ
เมื่อเก็บของเสร็จฝนหยุดตกพอดี เราก็ออกไปปั่นเล่น โดยลองไปปั่นรอบทะเลสาบคาวากุจิเพื่อให้ชินกับถนนหนทางแถวนี้ก่อน โดยระยะทางรอบทะเลสาปประมาณ 20 กม. ทางปันค่อนข้างดี มีถนนขระขระบ้างเป็นบางช่วง เรายังคงเน้นปั่นบนทางเท้ากเป็นส่วนใหญ่ เพราะยังไม่ชินกับรถที่ณี่ปุ่น เนื่องจากวันนี้ฝนตก ฟ้าปิดทำให้มองไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิเลย แอบคิดในใจ สงสัยรอบนี้จะชวดไม่ได้เห็นฟูจิซังซะแล้ว
ทางปั่นดี มีซากุระตลอดทาง เสียดายหิมะตกวันก่อน ไม่อย่างนั้นคงบานทั่วทั้งทะเลสาบ
เจอต้นซากุระตูมๆก็ขอซักรูป
เห็นเขาแวะถ่ายกันจังพุ่มกลมๆเนี่ย เลยจัดซักรูป
อากาศกำลังปั่นสบายๆเลย แต่เย็นมือมาก
เวลาปั่นไปมีอุโมงค์ข้างหน้า จะมีถนนแยกออกมาอ้อมเขาเสมอเพื่อให้จักรยานและคนเดินเท้าซึ่งปลอดภัยกว่าเข้าไปในอุโมงค์
ที่ใดมีซากุระเยอะๆ ที่นั้นมีตลาดนัด
เมฆเยอะมาก สงสัยรอบนี้อดเห็นฟูจิ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น