[CR] เทใจ ไปปากเซ 3คืน 4วัน แบบผู้หญิงลุยเดี่ยว

สะบายดี ^^

ทริปนี้เป็นการเที่ยวคนเดียวครั้งแรก กับกล้องตัวแรก และบันทึกเป็นกระทู้ครั้งแรก


เริ่มแรก เราอยากจะขอขอบคุณ เจ้าของกระทู้ที่เราใช้เป็น references (ที่ถึงกับต้องปริ้นซ์ แล้วยัดใส่กระเป๋าไปลาวด้วย)
1.    http://ppantip.com/topic/32289526 เจ้าของกระทู้เป็นแรงบันดาลใจให้เรากล้าไปคนเดียวค่ะ ไม่มีคุณนำทางไปเสี่ยงก่อน เราคงไม่กล้า ^^
2.    http://www.teawmun.com เราลอกเลียนตารางการเดินทาง จากเว็บนี้เลยค่ะ ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ ไม่มีคุณ เราคงไม่ได้ไปครบทุกที่ ตามที่ตั้งใจไว้

เราได้รับประโยชน์อย่างมาก จากกระทู้ดังกล่าว เราเลยอยากจะเขียนบันทึกเรื่องราวที่เราไปเจอ มันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง จะได้อัพเดตข้อมูล ให้เป็นประโยชน์แก่นักเดินทางต่อๆไปค่ะ

ตารางการเดินทาง 3คืน 4วัน
วันที่1
9.30น. ขึ้นอินเตอร์บัส จาก บขส.อุบล ไป ปากเซ
13.30น. ถึงโรงแรม (Phi dao hotel)
14.40น. เดินทางไปวัดพู (ด้วยมอไซค์)
วันที่2
08.30น. เดินทางไปท่าเรือ นากะสัง (ด้วยรถบัส)
12.30น. เดินทางไปคอนพะเพ็ง จากท่าเรือนากะสัง (ด้วยตุ๊กตุ๊ก)
14.00น. เดินทางไป ดอนคอน
14.30น. ถึงที่พักที่ดอนคอน (Pan’s resident)
16.00น. เดินทางไป หลี่ผี (ด้วยจักรยาน)
วันที่3
10.30น. เดินทางกลับปากเซ
14.30น. ถึงโรงแรม (Phi dao hotel)
16.00น เที่ยววัดหลวง วัดพูสะเหลา (ด้วยมอไซค์)
วันที่4
07.30น. เดินทางไปน้ำตกตาดเยื้อง ตาดฟาน และผาส้วม (ด้วยมอไซค์)
14.00น. กลับถึงปากเซ เตรียมตัวกลับ

กระทู้นี้เน้นข้อมูลนะคะ โปรดอย่าถามหาความสวยงามจากรูปเลยค่ะ (เทคนิคไม่มี อ่านคู่มือไม่เข้าหัว)


ขาเข้าลาว
ใครที่ไปคนเดียว และไปลาวครั้งแรกเหมือนเรา เราแนะนำให้ไปกับรถอินเตอร์บัสนะ เพราะยังไงผู้โดยสารส่วนใหญ่จะต้องผ่านช่องแม็ก คือเราจะได้เดินตามๆเค้าไปได้ หรือไม่ก็ ตีซี้คนที่นั่งข้างเราไปเลยค่ะ แต่ถ้านั่งไปกับรถตู้ จากบขส.ไปช่องแม็ก พอรถตู้จอด ทุกคนจะแยกย้ายกันไปหมด ที่นี่ก็ไม่รู้จะแอบตามใครไปได้


ไปถึงตม. ฝั่งไทย ก็ต้องไปหยิบแบบฟอร์ม มากรอกก่อนเลยค่ะ ฝั่งไทยไม่มีไรมาก ยื่นเสร็จก็ เดินตามๆ คนอื่นไปเรื่อยๆ จนถึง ตม. ฝั่งลาว ให้ไปที่ช่องหมายเลข 6 (จะอยู่ข้างหลัง) กรอกแบบฟอร์มเหมือนเดิมค่ะ (เดินไปหยิบเองได้เลย ที่โต๊ะเจ้าหน้าที่) กรอกเสร็จ แนบไปกับพาสปอร์ต พร้อมสอดแบงค์ร้อย ให้เห็นแพร่มๆ ด้วยนะคะ แล้วเอาไปสอดตรงช่องที่โต๊ะเจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ เค้าจะหยิบไปเอง เราก็รอแถวๆนั้นเลยค่ะ เค้าจะเรียกชื่อเราให้ไปรับพาสปอร์ตคืน ณ จุดนี้ การต่อแถวไม่มีความหมายเลยค่ะ คือใครพร้อมก่อน ก็ยื่นก่อนได้เลย

เพราะฉะนั้น พกปากกาติดตัวไปด้วย ชีวิตจะสบายขึ้นเยอะเลยค่ะ

เราถามพี่ๆคนไทย (ที่เราแอบเดินตามเค้ามา) เค้ายืนยันว่า จ่ายร้อยหนึ่งค่ะ คือเหมือนซื้อความสบายน่ะ ถ้าให้น้อยกว่านี้ เราอาจจะได้เป็นคิวหลังๆ เค้าจะไม่รีบทำให้ แต่ขาออกจ่ายแค่ 40บาท

แบบฟอร์มฝั่งไทย


แบบฟอร์มฝั่งลาว


ขาเข้าลาว (ช่อง6)


การเดินทางไปวัดพู
เราเลือกเดินทางไปวัดพู ตั้งแต่วันแรกเลยค่ะ เพราะว่าเราไปถึงโรงแรมประมาณบ่ายโมงครึ่ง เก็บของ หาข้าวกิน ซื้อซิมลาว เช่ามอไซค์ ทุกอย่างทำได้รวดเร็ว เพราะร้านต่างๆอยู่ข้างๆ โรงแรมนี่เองค่ะ เราเลือกเช่าฟีโน้ ซึ่งราคาเช่าจะสูงกว่าฮอนด้า เรารู้ตัวเองว่าขี่รถไม่เก่ง ครั้งสุดท้ายที่ขี่ ก็หวิดตกข้างทางที่เกาะกูดเมื่อสามปีที่แล้ว ฟีโน้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ค่ะ


เราออกเดินทางจากโรงแรมประมาณบ่ายสองครึ่ง ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งถึงวัดพู(47km) จริงๆถ้าขี่แบบคนปกติทั่วไป ชั่วโมงเดียวก็ถึงค่ะ^^ ทางที่ไปวัดพูเราไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูเลยค่ะ  เพราะมั่วแต่กังวลเรื่องขี่มอไซค์ แต่วาดแผนที่ไว้ให้ตามรูป (ที่เหมือนมันจะไม่ค่อยช่วยอะไร) ไปไม่ยากเลย ออกจากโรงแรมทางขวามือ เจอสเตเดียมเลี้ยวขวา ตรงไปผ่านสะพานลาวญี่ปุ่น เจอป้ายวัดพู ก็เลี้ยวซ้าย ขี่ตรงไปยาวๆ 40km ถนนไปวัดพูเค้าปรับปรุงใหม่ขี่สบาย แต่ด้วยความที่ข้างทางเป็นทุ่งนา ทุ่งหญ้า และลมแรงมาก เศษดินเศษหญ้าจะปลิวเข้าตาเราตลอดเวลาเลยค่ะ ต้องสวมแว่นกันแดดนะคะ ไม่งั้นขี่ไปไม่ถึงแน่ ถ้าเกิดว่าลืมพกไปจริงๆ แนะนำว่าให้ขอหมวกกันน็อคที่มีที่บังตาจากร้านเช่าไปด้วยค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

วัดพูปิดประมาณหกโมงเย็น ค่าเข้าชม 50,000kip (+ค่าที่จอดรถ 5,000kip) เราใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงที่นั่น ขี่กลับออกมาตอนหกโมงเย็น ตอนนี้ถึงได้รู้สึกตัวว่า นรกมาเยือนตรูแล้ว เพราะเริ่มมืดลงเรื่อยๆ ถนนไม่มีไฟข้างทางเลยค่ะ แถมไฟหน้าฟีโน้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ยังดีที่มีเส้นสีขาวกั้นขอบถนนไว้ เราเลยไม่ขี่ตกข้างทาง ขาไปเราเจอเศษดินเศษหญ้าว่าลำบากแล้ว แต่ขากลับนอกจากเศษดินเศษหญ้าแล้ว เรายังเจอแมลงทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ บางตัวใหญ่มาก ปลิวมากแปะที่หน้าผากนี่มีสะดุ้งนะคะ

ย้ำอีกครั้งว่าแว่นกันแดด หรือที่บังตาที่หมวกกันน็อคสำคัญมาก เพราะแมลงเยอะมากจริงๆ ขี่ไปเรื่อยๆจะได้ยินเสียงแปะๆๆที่แว่นตาค่ะ (แมลงมันปลิวมาชนแว่น) ขี่รถขากลับบอกตรงๆเรากลัวมากๆๆๆเลยค่ะ มันมืดมาก อันตรายมากจริงๆ ไม่แนะนำให้ขี่คนเดียวตอนกลางคืนค่ะ พยายามจัดตารางให้วัดพูอยู่ช่วงกลางวันนะคะ ขอร้อง! เราใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงขี่ถึงตัวเมืองปากเซ แล้วมาตกม้าตายหลงทางหาทางกลับโรงแรมไม่เจอ ชีวิตตรู!
รูปวัดพูค่ะ










การเดินทางไปคอนพะเพ็ง และดอนคอน
เราเลือกที่จะจองรถกับเรือไปดอนคอนจากโรงแรมPhidaoเลยค่ะ70.000กีบ (1,000kip ประมาณ4บาท วิธีคิดง่ายๆ ตัดศูนย์สามตัวหลัง แล้วคูณ4ค่ะ) ประมาณ8.00น.จะมีคนมารับจากหน้าโรงแรมไปรถบัสที่จอดรอไว้ที่หน้าบริษัททัวร์ (จิงๆเราคิดว่าจะได้ไปกับรถแวนเหมือนกระทู้referenceซะอีก เพราะราคาก็70,000kipเท่ากัน)

เราถึงท่าเรือประมาณเที่ยง ยังไม่ต้องลงเรือนะคะเพราะเราจะหารถไปเที่ยวคอนพะเพ็งก่อนค่อยกลับมาลงเรือ เราก็เดินวนอยู่แถวๆนั้นเพื่อหารถไปคอนพะเพ็ง แต่ไม่เจอเลยค่ะ ถามคนแถวนั้นเค้าก็บอกให้เดินไปที่บริษัททัวร์ พอเราไปถามที่ทัวร์ เค้าเรียกเก็บเงินเราตั้งแสนกีบ(ประมาณ400บาท) คุณพระ! ถามว่าไปมั้ย ตอบเลยว่าไปค่ะ มันไม่มีทางเลือกอื่น ที่ทัวร์เค้าจะโทรเรียกรถตุ๊กตุ๊กมารับเราค่ะ เห็นหน้าคนขับรถตุ๊กตุ๊ก เราว่าเราคุ้นๆเหมือนจะเคยเห็นในรีวิวของคุณteawmun คุยไปคุยมา พี่เค้าชื่อพี่โอเลค่ะ เค้าบอกว่าที่ท่าเรือมีรถตุ๊กตุ๊กแกคันเดียว ถ้าเรียกแกโดยตรงโดยไม่ผ่านบริษัททัวร์ พี่แกเรียกแค่ 70,000kip ค่ะ (ยังคงเป็นราคาเดิมเหมือนในรีวิวคุณteawmun) พี่แกยังเล่าว่า บริษัททัวร์นั้นอาจจะให้พี่โอเลแค่50,000kip จากแสนกีบที่เรียกจากเราไป คือทัวร์ได้ไปฟรีๆโดยไม่ออกแรงเลย 50,000kip โลกช่างยุติธรรม!

พี่โอเล กะ รถคู่ใจ


เพราะฉะนั้น ใครจะไปคอนพะเพ็งจากท่าเรือนากะสัง ให้ตามหาพี่โอเลให้เจอนะคะ ปกติรถพี่แกจะจอดห่างจากจุดที่รถทัวร์จอดประมาณ500เมตร ในทิศที่ต้องเดินย้อนขึ้นไปนะคะ (เดินหันหลังให้ท่าเรืออ่ะคะ) หรือไม่ก็เอาให้ชัวร์ไปเลย คือโทรนัดแนะกะพี่โอเลให้เรียบร้อยจากโรงแรมก่อนออก ถ้าไม่ได้ใช้ซิมลาว ก็ขอยืมโทรศัพท์ที่receptionก็ได้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บริเวณที่จอดรถของพี่โอเล


อ้อ! ค่าเข้าชมคอนพะเพ็ง อัพขึ้นจาก 30,000kip กระโดดเป็น 55,000kip แล้วนะคะ

รูปน้ำตกคอนพะเพ็งค่ะ







เรากลับมาถึงท่าเรือนากะสังอีกครั้ง เวลาประมาณ 14.00น. ที่ท่าเรือไม่มีผู้โดยสารคนอื่นเลย รอสักพัก ก็เริ่มเห็นแววแล้วว่าจะต้องเหมาไปคนเดียว ก็เลยถามเค้าด้วยหน้าตาเศร้าๆ มั่งค่ะ เค้าเลยเก็บเราแค่ 40,000kip (ปกติคือ20,000kipต่อคน) ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงถึง Pan’s resident เราจองเป็นห้องพักธรรมดาไป แต่เกิดข้อผิดพลาดห้องมันเต็ม ทางที่พักเค้าเลยจัดให้เราไปพักบังกะโล (Pan’s bungalow) แทนค่ะ ฮึฮึ

รูปบังกะโล


รูปห้องพักในบังกะโล


วิวหน้าบังกะโล


ก่อนเดินทางไปหลี่ผี เราก็จองตั๋วเรือกับรถกลับไปปากเซ ด้วยราคา 60,000kip ที่ Pan’s travel  (เจ้าของเดียวกับที่พักนั่นแหละค่ะ)

การเดินทางไปหลี่ผี
เราเช่าจักรยาน (10,000kip) ไปหลีผี ทางไปไม่ยากค่ะมีป้ายบอกทาง และไม่ใกล้จากดอนคอนด้วย เสียค่าเข้าชม 35,000kip

เส้นทางไปหลี่ผี




น้ำตกหลี่ผีค่ะ




วันที่สามของการเดินทาง คือวันที่เรากลับไปปากเซ เดินทางนั่งเรือ ขึ้นรถปกติ แต่ที่เราคิดว่าไม่ปกติคือ ตอนเช้าก่อนการเดินทางกลับ คุณพี่ผู้หญิงที่ Pan มาขอโทษเรา บอกว่าหารถแวนให้เรากลับปากเซไม่ได้ เราต้องกลับด้วยรถบัส พร้อมกับคืนเงินให้เรา 10,000kip แล้วขอโทษเราอีกครั้ง (เดี๋ยวๆๆๆ ภาพตอนที่เรายื่นเงิน70,000kip เพื่อมาดอนคอน ที่Phidao ตีกลับเข้าที่หัวเราอย่างจังเลย เค้าควรจะคืนเงินให้เราบ้างซิ...โอเครซึ้ง!)

เราถึงที่พักประมาณบ่ายสองครึ่งค่ะ (จุดที่รถบัสจอดกับโรงแรมPhidao ไม่ห่างกันมาก เดินกลับเองได้ค่ะ)  ตอนแรกเราตั้งใจจะไปน้ำตกต่อเลยนะ แต่ประสบการณ์จากวัดพู เราไม่อยากเสี่ยงขี่รถตอนมืดๆอีก ก็เลยตัดสินใจเที่ยวในตัวปากเซ
ชื่อสินค้า:   Phi dao hotel, Pan's resident
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่