ใครได้ฟังสปอตโฆษณา "เที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร" ต้องนึกถึงรายการกระจกหกด้าน เพราะผู้บรรยายคือคนเดียวกัน น้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของ สุชาดี มณีวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริลเลี่ยนส์ แอนด์ ทรีไลอ้อนส์
สุชาดี ในวัย 69 ปี ยังคงแข็งแรงและกระฉับกระเฉง เล่าย้อนถึงที่มาของรายการสารคดี "กระจกหกด้าน" ที่อยู่คู่สังคมไทยมาถึง 32 ปี
"เราผ่านงานหนังสือพิมพ์ ทำวิทยุ รายการเพลง รับจ้างเป็นผู้จัดละคร สมัย 30 ปีก่อน รายการสารคดีมีน้อย จึงคิดทำรายการประเภทนี้ขึ้นมา แล้วไปเสนอกับคุณสุรางค์ ช่อง 7 เขาชอบใจ ก็ได้ทำมาตลอด"
จุดเด่นของรายการสารคดีกระจกหกด้าน คือ ภาพสวย เพลงเพราะ และมีคำบรรยายที่กระชับ ข้อมูลต้องถูกต้อง 99.99%
ยุคแรกของรายการกระจกหกด้าน เนื้อหาของรายการจะเน้นหนักในเรื่องธรรมะ แต่ปัจจุบัน พยายามนำเสนอให้ครอบคลุม 6 ด้าน สิ่งแวดล้อม สุขภาพและความงาม อาหาร ศิลปวัฒนธรรม การแพทย์และเทคโนโลยี เอาใจคนทุกกลุ่ม ทุกวัย
สุชาดี กล่าวว่า รายการกระจกหกด้านถูกย้ายเวลาจากช่วงเย็น ปัจจุบันอยู่ช่วงก่อนข่าวเที่ยง ของช่อง 7 แต่ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่เวลาใดยังมีคนดู และถือเป็นรายการสารคดีที่มีเรตติ้งสูงสุดถึงระดับ 4 ที่สำคัญ ยังอยู่มาได้ตลอดกว่า 30 ปี ไม่เคยถูกถอดจากผังรายการของช่อง 7 เลย
"เรามีสปอนเซอร์สนับสนุนรายการมาโดยตลอด แม้เราจะขายแพง"
สุชาดี เล่าว่า วิธีการทำงานของเราไม่ค่อยตามใจสปอนเซอร์ ไม่มีของแถม ไม่มีโฆษณาแฝง ทำงานด้วยอุดมการณ์ เรื่องเงินเรื่องเล็ก ทุกวันนี้ทำงานกินเงินเดือนหลักหมื่นของกงสี ลูกก็เช่นเดียวกัน แม้จะจบดอกเตอร์เราก็จ่ายในราคาถูกหมด ถ้าอยากมีกำไร ก็ทำให้มีรายได้มากกว่ารายจ่ายเท่านั้น และเราก็ทำอย่างเดียวมาตลอด
แม้การเกิดขึ้นของทีวีดิจิทัลอีกมากมายหลายช่อง ก็ไม่ได้ทำให้รายการกระจกหกด้านได้รับผลกระทบ ยังคงยืนหยัดอยู่ในที่มั่น
"ธุรกิจโทรทัศน์ทุกวันนี้สู้กันดุเดือดจริงๆ แต่เราไม่กลัว เพราะเราแจ๋ว เราทำเองกับมือ เหมือนลูกที่เลี้ยงมา ทำหน้าที่สื่ออย่างเพียบพร้อม ไม่สอนคนดู เรานำเสนออย่างเดียว แล้วให้ผู้ชมเป็นคนตัดสินใจ" สุชาดี กล่าว
ขณะที่การแข่งขันในตลาดสูง มีคนมากมายติดต่อรายการกระจกหกด้านให้ไปทำสารคดี แต่สุดท้ายก็เงียบหายไป เพราะเราตั้งราคาสูง ของเราแพง และ
ที่สำคัญอยู่ในวงการเราต้องมีมารยาท ซึ่งที่ผ่านมาทางช่อง 7 ไม่เคยเข้ามาแทรกแซง ให้นโยบายชัดเจนว่าไม่ยุ่งเรื่องการเมือง เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
ที่ผ่านมาทำให้รายการได้รับความไว้วางใจในการเข้าไปถ่ายทำในสถานที่สำคัญๆ ของประเทศ
"บริษัทเคยได้รับการติดต่อจากเพนตากอน หน่วยงานกลาโหมของสหรัฐอเมริกา เข้ามาขอลิขสิทธิ์รายการ บอกว่าจะนำไปใช้ในเรื่องการเรียนการสอนความรู้เกี่ยวกับประเทศไทย ซึ่งเราก็ปฏิเสธไป"
อย่างไรก็ตาม เราให้รายการไปออกอากาศฟรีทางสถานีโทรทัศน์ทางไกลผ่านดาวเทียม ช่องธรรมะ วัด โรงเรียนต่างๆ ใครขอมาเราให้ฟรี แต่บริษัท ห้างร้านต่างๆ ก็คิดราคาไม่แพง ซึ่งล่าสุดยูทูบก็เข้ามาติดต่อขอรายการเราไปออกอากาศ
ทุกวันนี้ในวัย 69 ปี สุชาดี ยังคงทำหน้าที่บรรณาธิการ คัดเลือกเรื่อง ตั้งชื่อเรื่อง เรียบเรียง อัดเสียงเอง แก้ไขในกระบวนการตัดต่อ เพื่อทำให้รายการสารคดีกระจกหกด้านออกมาสมบูรณ์ที่สุด รวมไปถึงทำหน้าที่ดูเรื่องโฆษณา การหารายได้ พบลูกค้าปีละ 1-2 ครั้ง
"เคล็ดลับในการทำรายการให้สำเร็จ ไม่มีอะไรมาก คุณภาพสำคัญที่สุด ให้ใจกับมัน ใส่วิญญาณ ความรู้สึกลงไป ข้อมูลต้องถูกต้อง เพลงประกอบที่ไพเราะ ภาพที่สวยงาม บทบรรยายที่ผิดไม่ได้ เราไม่ฉาบฉวย ต้องจับใจคน"
ทีวีทุกวันนี้มีหลายช่องก็จริง แต่ขายของมากเกินไป โฆษกก็ทำตัวประหลาดๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่จีรังยั่งยืน ผู้ชมเขาชื่นชอบความเป็นตัวคุณ ความเป็นธรรมชาติ ธรรมดา
"อย่างน้ำเสียงของเราซึ่งเป็นเอกลักษณ์ เสียงแข็งๆ แต่เป็นราคาที่แพงที่สุดในตลาด เพราะเราขายคุณภาพ ถ้าไม่ดีเราปรับแก้ไขให้ด้วย"
และนี่คือจุดสำคัญของ สุชาดี มณีวงศ์ เจ้าของและผู้บรรยายรายการกระจกหกด้าน รายการที่มีเสียงเป็นเอกลักษณ์อยู่ในใจคนไทย
ชื่อกระจกหกด้าน
สุชาดี เล่าว่า ก่อนจะมาถึงชื่อรายการกระจกหกด้าน ได้คัดเลือกชื่อรายการเป็นร้อยชื่อส่งให้สถานีพิจารณา แล้วคุณแดง-สุรางค์ เปรมปรีดิ์ อดีตกรรมการผู้จัดการช่อง 7 ก็เลือกชื่อนี้
ที่มาของชื่อ "กระจกหกด้าน" เป็นคำนิยามที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ให้ไว้เป็นข้อคิดสำหรับศิษยานุศิษย์ เพื่อเตือนให้หมั่นส่องกระจกให้รอบ แม้แต่ในกายตนทั้งหกด้าน มิใช่เอาแต่ส่องกระจกเงาที่ตั้งข้างหน้าแต่ด้านเดียว ซึ่งจะมองเห็นเฉพาะเงาสะท้อนของตนเองแค่คนเดียว ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างว่ายังมีมนุษย์เหมือนกับเราอยู่อีกรอบข้างเท่ากับการพิจารณาความเป็นจริงของชีวิต และทบทวนความประพฤติให้อยู่ในกรอบของความพอดี ด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ว่าเขานั้นจะเป็นใคร
หลวงปู่ปรารถนาดีต่อศิษย์ จึงยกอุทาหรณ์เป็น "กระจกหกด้าน" ขยายความให้เข้าใจง่ายขึ้นถึงธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแก่สิงคาลกมาณพ ซึ่งไหว้ทิศทั้ง 6 อย่างไม่รู้ความหมาย เป็นการทำตามๆ กันมาจากรุ่นบรรพบุรุษ พระพุทธองค์จึงทรงให้โอวาทว่า ผู้จะประสบชัยชนะในโลกนี้และโลกหน้าจะต้องรู้จักไหว้ทิศทั้ง 6 อย่างถูกวิธี ด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบต่อบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ทางสังคมดุจทิศรอบตัว
1.ทิศเบื้องหน้า หรือด้านตะวันออก ได้แก่ บิดา มารดา ผู้มีอุปการคุณ
2.ทิศเบื้องขวา หรือทิศใต้ ได้แก่ ครูอาจารย์ ผู้ควรแก่การบูชาคุณ
3.ทิศเบื้องหลัง หรือทิศตะวันตก ได้แก่ บุตร-ภรรยา ผู้เป็นกำลังสนับสนุน
4.ทิศเบื้องซ้าย หรือทิศเหนือ ได้แก่ มิตรสหาย ผู้ช่วยให้ข้ามพ้นอุปสรรค
5.ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ คนรับใช้และคนงาน ผู้ช่วยทำการงานให้ลุล่วง
6.ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณะผู้สูงด้วยคุณธรรม
เมื่อส่องกระจกมองเห็นทั้ง 6 ด้าน แล้วพึงปฏิบัติต่อบุคคลที่อยู่ทิศ 6 ทิศนั้น อย่างถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกันในทางที่ดีงาม จะถือได้ว่าเป็นอริยสาวกแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.posttoday.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9/363573/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%87-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-32-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99
"ของแพง" อยู่ได้...32 ปี กระจกหกด้าน....
สุชาดี ในวัย 69 ปี ยังคงแข็งแรงและกระฉับกระเฉง เล่าย้อนถึงที่มาของรายการสารคดี "กระจกหกด้าน" ที่อยู่คู่สังคมไทยมาถึง 32 ปี
"เราผ่านงานหนังสือพิมพ์ ทำวิทยุ รายการเพลง รับจ้างเป็นผู้จัดละคร สมัย 30 ปีก่อน รายการสารคดีมีน้อย จึงคิดทำรายการประเภทนี้ขึ้นมา แล้วไปเสนอกับคุณสุรางค์ ช่อง 7 เขาชอบใจ ก็ได้ทำมาตลอด"
จุดเด่นของรายการสารคดีกระจกหกด้าน คือ ภาพสวย เพลงเพราะ และมีคำบรรยายที่กระชับ ข้อมูลต้องถูกต้อง 99.99%
ยุคแรกของรายการกระจกหกด้าน เนื้อหาของรายการจะเน้นหนักในเรื่องธรรมะ แต่ปัจจุบัน พยายามนำเสนอให้ครอบคลุม 6 ด้าน สิ่งแวดล้อม สุขภาพและความงาม อาหาร ศิลปวัฒนธรรม การแพทย์และเทคโนโลยี เอาใจคนทุกกลุ่ม ทุกวัย
สุชาดี กล่าวว่า รายการกระจกหกด้านถูกย้ายเวลาจากช่วงเย็น ปัจจุบันอยู่ช่วงก่อนข่าวเที่ยง ของช่อง 7 แต่ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่เวลาใดยังมีคนดู และถือเป็นรายการสารคดีที่มีเรตติ้งสูงสุดถึงระดับ 4 ที่สำคัญ ยังอยู่มาได้ตลอดกว่า 30 ปี ไม่เคยถูกถอดจากผังรายการของช่อง 7 เลย
"เรามีสปอนเซอร์สนับสนุนรายการมาโดยตลอด แม้เราจะขายแพง"
สุชาดี เล่าว่า วิธีการทำงานของเราไม่ค่อยตามใจสปอนเซอร์ ไม่มีของแถม ไม่มีโฆษณาแฝง ทำงานด้วยอุดมการณ์ เรื่องเงินเรื่องเล็ก ทุกวันนี้ทำงานกินเงินเดือนหลักหมื่นของกงสี ลูกก็เช่นเดียวกัน แม้จะจบดอกเตอร์เราก็จ่ายในราคาถูกหมด ถ้าอยากมีกำไร ก็ทำให้มีรายได้มากกว่ารายจ่ายเท่านั้น และเราก็ทำอย่างเดียวมาตลอด
แม้การเกิดขึ้นของทีวีดิจิทัลอีกมากมายหลายช่อง ก็ไม่ได้ทำให้รายการกระจกหกด้านได้รับผลกระทบ ยังคงยืนหยัดอยู่ในที่มั่น
"ธุรกิจโทรทัศน์ทุกวันนี้สู้กันดุเดือดจริงๆ แต่เราไม่กลัว เพราะเราแจ๋ว เราทำเองกับมือ เหมือนลูกที่เลี้ยงมา ทำหน้าที่สื่ออย่างเพียบพร้อม ไม่สอนคนดู เรานำเสนออย่างเดียว แล้วให้ผู้ชมเป็นคนตัดสินใจ" สุชาดี กล่าว
ขณะที่การแข่งขันในตลาดสูง มีคนมากมายติดต่อรายการกระจกหกด้านให้ไปทำสารคดี แต่สุดท้ายก็เงียบหายไป เพราะเราตั้งราคาสูง ของเราแพง และที่สำคัญอยู่ในวงการเราต้องมีมารยาท ซึ่งที่ผ่านมาทางช่อง 7 ไม่เคยเข้ามาแทรกแซง ให้นโยบายชัดเจนว่าไม่ยุ่งเรื่องการเมือง เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
ที่ผ่านมาทำให้รายการได้รับความไว้วางใจในการเข้าไปถ่ายทำในสถานที่สำคัญๆ ของประเทศ
"บริษัทเคยได้รับการติดต่อจากเพนตากอน หน่วยงานกลาโหมของสหรัฐอเมริกา เข้ามาขอลิขสิทธิ์รายการ บอกว่าจะนำไปใช้ในเรื่องการเรียนการสอนความรู้เกี่ยวกับประเทศไทย ซึ่งเราก็ปฏิเสธไป"
อย่างไรก็ตาม เราให้รายการไปออกอากาศฟรีทางสถานีโทรทัศน์ทางไกลผ่านดาวเทียม ช่องธรรมะ วัด โรงเรียนต่างๆ ใครขอมาเราให้ฟรี แต่บริษัท ห้างร้านต่างๆ ก็คิดราคาไม่แพง ซึ่งล่าสุดยูทูบก็เข้ามาติดต่อขอรายการเราไปออกอากาศ
ทุกวันนี้ในวัย 69 ปี สุชาดี ยังคงทำหน้าที่บรรณาธิการ คัดเลือกเรื่อง ตั้งชื่อเรื่อง เรียบเรียง อัดเสียงเอง แก้ไขในกระบวนการตัดต่อ เพื่อทำให้รายการสารคดีกระจกหกด้านออกมาสมบูรณ์ที่สุด รวมไปถึงทำหน้าที่ดูเรื่องโฆษณา การหารายได้ พบลูกค้าปีละ 1-2 ครั้ง
"เคล็ดลับในการทำรายการให้สำเร็จ ไม่มีอะไรมาก คุณภาพสำคัญที่สุด ให้ใจกับมัน ใส่วิญญาณ ความรู้สึกลงไป ข้อมูลต้องถูกต้อง เพลงประกอบที่ไพเราะ ภาพที่สวยงาม บทบรรยายที่ผิดไม่ได้ เราไม่ฉาบฉวย ต้องจับใจคน"
ทีวีทุกวันนี้มีหลายช่องก็จริง แต่ขายของมากเกินไป โฆษกก็ทำตัวประหลาดๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่จีรังยั่งยืน ผู้ชมเขาชื่นชอบความเป็นตัวคุณ ความเป็นธรรมชาติ ธรรมดา
"อย่างน้ำเสียงของเราซึ่งเป็นเอกลักษณ์ เสียงแข็งๆ แต่เป็นราคาที่แพงที่สุดในตลาด เพราะเราขายคุณภาพ ถ้าไม่ดีเราปรับแก้ไขให้ด้วย"
และนี่คือจุดสำคัญของ สุชาดี มณีวงศ์ เจ้าของและผู้บรรยายรายการกระจกหกด้าน รายการที่มีเสียงเป็นเอกลักษณ์อยู่ในใจคนไทย
ชื่อกระจกหกด้าน
สุชาดี เล่าว่า ก่อนจะมาถึงชื่อรายการกระจกหกด้าน ได้คัดเลือกชื่อรายการเป็นร้อยชื่อส่งให้สถานีพิจารณา แล้วคุณแดง-สุรางค์ เปรมปรีดิ์ อดีตกรรมการผู้จัดการช่อง 7 ก็เลือกชื่อนี้
ที่มาของชื่อ "กระจกหกด้าน" เป็นคำนิยามที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ให้ไว้เป็นข้อคิดสำหรับศิษยานุศิษย์ เพื่อเตือนให้หมั่นส่องกระจกให้รอบ แม้แต่ในกายตนทั้งหกด้าน มิใช่เอาแต่ส่องกระจกเงาที่ตั้งข้างหน้าแต่ด้านเดียว ซึ่งจะมองเห็นเฉพาะเงาสะท้อนของตนเองแค่คนเดียว ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างว่ายังมีมนุษย์เหมือนกับเราอยู่อีกรอบข้างเท่ากับการพิจารณาความเป็นจริงของชีวิต และทบทวนความประพฤติให้อยู่ในกรอบของความพอดี ด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ว่าเขานั้นจะเป็นใคร
หลวงปู่ปรารถนาดีต่อศิษย์ จึงยกอุทาหรณ์เป็น "กระจกหกด้าน" ขยายความให้เข้าใจง่ายขึ้นถึงธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแก่สิงคาลกมาณพ ซึ่งไหว้ทิศทั้ง 6 อย่างไม่รู้ความหมาย เป็นการทำตามๆ กันมาจากรุ่นบรรพบุรุษ พระพุทธองค์จึงทรงให้โอวาทว่า ผู้จะประสบชัยชนะในโลกนี้และโลกหน้าจะต้องรู้จักไหว้ทิศทั้ง 6 อย่างถูกวิธี ด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบต่อบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ทางสังคมดุจทิศรอบตัว
1.ทิศเบื้องหน้า หรือด้านตะวันออก ได้แก่ บิดา มารดา ผู้มีอุปการคุณ
2.ทิศเบื้องขวา หรือทิศใต้ ได้แก่ ครูอาจารย์ ผู้ควรแก่การบูชาคุณ
3.ทิศเบื้องหลัง หรือทิศตะวันตก ได้แก่ บุตร-ภรรยา ผู้เป็นกำลังสนับสนุน
4.ทิศเบื้องซ้าย หรือทิศเหนือ ได้แก่ มิตรสหาย ผู้ช่วยให้ข้ามพ้นอุปสรรค
5.ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ คนรับใช้และคนงาน ผู้ช่วยทำการงานให้ลุล่วง
6.ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณะผู้สูงด้วยคุณธรรม
เมื่อส่องกระจกมองเห็นทั้ง 6 ด้าน แล้วพึงปฏิบัติต่อบุคคลที่อยู่ทิศ 6 ทิศนั้น อย่างถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกันในทางที่ดีงาม จะถือได้ว่าเป็นอริยสาวกแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้