สวัสดีครับ ก่อนอื่นผมต้องขอแนะนำตัวเองก่อน ปัจจุบัน จขกท. อายุ 24 ทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ 2 แห่ง และมีรายได้จากการเทรดหุ้นบางส่วน ผมขออนุญาต ไม่โฟกัสเรื่องรายได้นะครับ เพราะไม่อยากให้เป็นประเด็น
สำหรับใครที่ไม่อยากอ่านเรื่องราว สามารถข้ามไปที่ความเห็นที่ 4 ผมจะทำการสรุปแนวคิดที่ผมได้รับไว้นะครับ
ผมมีความคิดที่อยากจะมาแชร์แนวคิดและบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง เนื่องมาจากว่าช่วงนี้ได้มีคุยกับคนหลายๆคน ซึ่งเกือบทุกคนนั้น จะมีปัญหาเรื่อง เป้าหมายในการใช้ชีวิต ชีวิตไม่รู้จะทำอะไร หรือไม่มีแรงบรรดาลใจในการทำอะไร ผมคิดว่าแนวการใช้ชีวิตของผมอาจจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อย จึงได้ใช้เวลาว่างวันนี้ที่มีอยู่ ลองเรียบเรียงสิ่งต่างๆมาบอกเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านกันตามนี้ครับ
ครอบครัวผมมีกันอยู่ 3 คน มี ผม แม่ และ พี่ บ้านผมอยู่กันที่คอนโดเล็กๆแห่งหนึ่ง ชีวิตผมต้นเรื่องมาจาก การที่คุณแม่ผมคอยส่งเสียเลี้ยงดูผมคนเดียวเนื่องจาก การเสียชีวิตของคุณพ่อตั้งแต่ผมอยู่ ป.5 ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการพยายามเอาตัวรอดของครอบครัวผม คุณแม่ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นแต่แม่บ้าน ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อส่งเสียเลี้ยงผมและพี่ รถที่มีอยู่คันเดียวก็ต้องขายเพื่อนำมาทำทุน เราลองกันหลายอย่าง ทั้งขายของตลาดนัด ขายผลไม้ ขายเสื้อผ้า ขายตรง แต่มันก็ไม่ดีสักอย่าง จนแม่ผมได้ไปอบรมอาชีพ มีทั้งช่างตัดผม และนวดแผนโบราณ และคุณแม่ก็ใช้อาชีพที่ท่านเรียนมา คอยส่งเสียเลี้ยงดูผมและพี่มาเรื่อยๆ
ซึ่งจากบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ ทำให้ผมเป็นคนค่อนข้างประหยัด อดออม และไม่ค่อยซื้อของสิ้นเปลืองเลย ไม่ใช้ของใหม่ อะไรที่มีและใช้ได้ผมก็จะใช้ไปจนมันไม่ไหวจริงๆ และอีก 1 อย่างที่ฝังความคิดให้ผมคือ “ผมอยากรวย”
จนเมื่อผมเข้ามัธยม เนื่องจากแม่ผมท่านก็ทำงาน ผมจะได้เจอคุณแม่แค่ตอนช่วงเช้า ก่อนไปโรงเรียนเท่านั้น กับบางครั้งถ้าผมนอนดึกมากจริงๆ มีบ้างที่ผมเริ่มเกเร ด้วยความยังเด็ก รวมทั้งติดเกมส์ การเรียนของผมตกลง จากที่ผมสอบเข้าโรงเรียนได้อันดับ 2 ของนักเรียนที่มาสอบทั้งหมด กลายเป็นคะแนนอันดับบ๊วยของห้องเรียน ในปีแรก แต่สิ่งที่ทำให้ผมกลับมาในช่วงเวลา ปีที่ 2 และ 3 คือ เพื่อนๆครับ สภาพแวดล้อมเป็นส่วนสำคัญจริงๆในการเรียน เนื่องจากผลสอบเข้าของผมดี ผมจึงได้อยู่ในห้องคิง และกลุ่มเพื่อนๆก็ดี คอยช่วยกันเรียน ช่วยกันเล่นบ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครทิ้งกัน ผมจบ ม.2 ด้วยคะแนน 3.84(อังกฤษ เกรด 3) และ ม.3 ด้วยเกรด 4.00 ซึ่งอย่างที่เห็นคือ ผมเกลียดวิชาภาษาอังกฤษมากกกก แต่สุดท้ายผมก็ใช้วิธีท่องจำ พยายามดิ้นรนจนสำเร็จมาได้
จากบทเรียนเหตุการณ์นี้คือ สิ่งแวดล้อมรอบตัวของเราเป็นสิ่งสำคัญและมีผลมาก การที่จะทำอะไรออกมาให้ดีหรือไม่ดีได้นั้น หากเรานำตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ความสำเร็จก็ย่อมมีได้ง่ายกว่า
มัธยมปลายเป็นช่วงเวลาที่ผมค่อนข้างไม่เป็นชิ้นเป็นอันอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากผมเลือกสายวิทย์ คณิต และเพื่อนกลุ่มเดิมโดนแยกย้ายไปหมด ใช้เวลานั่งเรียนทั้งวันเพื่อรอเพียง จะไปเล่นกับเพื่อนตอนเลิกเรียน บางครั้งพักไม่ตรงกัน ก็โดดเรียนไปเล่นบาสเล่นบอลกับเพื่อน ใช้ชีวิตได้ไม่ค่อยสนใจอะไรสักเท่าไร ไม่ได้คิดถึงอนาคตเลยด้วยซ้ำว่าจะเรียนอะไรต่อ คณะอะไร มหาลัยไหน จุดเปลี่ยนของผมมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อผมอยู่ช่วง ม.5 ผมได้ทำกิจกรรมรับน้องของโรงเรียน และได้ร่วมทำงานหลายๆอย่าง ซึ่งผมรู้สึกได้ว่าผมชอบเรื่องแบบนี้มากๆ ผมชอบการทำงานที่ได้วางแผน ได้พูดคุยกับผู้คน ได้แก้ปัญหา และได้เป็นคนสำคัญ หลายๆอย่างปลูกฝังแนวคิดให้ผมอีกครั้ง และผมมีปัญหาตามประสาวัยรุ่นก็คือเรื่องความรัก จนทำให้ผมคิดอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ทั้งหมด จากแต่เดิม ผมเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออก ไม่ค่อยพูด ไม่ออกความเห็น ไม่ฮา ซีเรียส เครียด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้น ทำให้ผมตัดสินใจเลือกเริ่มต้นใหม่ ในมหาลัยที่ไกล และแยกออกไปจากเพื่อนๆทุกคน เพื่อเริ่มต้นใหม่ สุดท้าย ผมเลือกเรียน คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันแถวสนามบินสุวรรณภูมิ และทิ้งทุกอย่างที่ผมเป็นไว้ด้านหลัง เพื่อเริ่มต้นใหม่ กับ ชีวิตใหม่
ย้อนกลับมาช่วง ม.6 จุดเปลี่ยนอย่างที่ 2 ของผมคือ การได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง ถึงเรื่อง การลงทุนในหุ้น และบุคคลชื่อดังคนหนึ่งคือ คุณวอเรน บัฟเฟต์ ผมได้อ่านชีวประวัติเขา และแนวคิดของเขา ซึ่งกระตุ้นความรู้สึกแรกที่ผมเคยบอกไว้ก็คือ ผมอยากรวย ผมคิดว่านี่แหละ คือสิ่งที่ผมค้นหามา นี่แหละที่ผมต้องเดินทางไป ผมเลยตัดสินใจเริ่มศึกษาการลงทุนทุกอย่างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเริ่มหาทุน โดยการเริ่มทำงาน เซเว่น เป็นพาร์ทไทม์ เพื่อเก็บเงิน และไม่อยากลำบากครอบครัว (ผมเริ่มกู้กยศ ตอน ม.4-ม.5 ทำให้บ้านผมค่อนข้างเบาเรื่องรายจ่ายค่าเรียนไปค่อนข้างมาก รวมทั้งผมคิดว่ามันจะมีประโยชน์อย่างมากตอนที่ผมเข้าเรียนมหาลัย เพราะผมจะไม่ต้องไปขอยื่นใหม่ แย่งกับคนจำนวนมาก)
จากบทสรุปของช่วงนี้คือ
- ผมคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนาตัวเองเสียใหม่ทุกๆอย่าง การเข้าสังคม การเป็นคนที่มีคนจดจำ ผมไม่อยากเป็นแค่ใครคนหนึ่งที่ผ่านมาและผ่านไปในสถานที่แห่งหนึ่ง โดยที่เวลาผ่านไปแล้วไม่มีใครจำได้เลย
- ผมเริ่มคิดจะเข้าไปในโลกของการลงทุน และเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ถึงหนทางที่จะทำให้ผมมีรายได้ที่ผมสามารถทำอะไรหลายๆอย่างได้
และก็มาถึงช่วงผมเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงนี้มีบทเรียนให้ผมเยอะมาก และทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองไปอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งจนบางครั้งผม
กลับมาเจอเพื่อนเก่า หลายๆคนยังทักว่า ผมไม่เหมือนเดิมเลย แต่หลายๆอย่างมีที่มาครับ และหลายๆอย่างต้องใช้เวลา
อย่างที่เกริ่นให้ตั้งแต่ต้น จากปัญหาหลายๆอย่างทำให้ผมตัดสินใจ ฉีกตัวเองออกมาจากกลุ่มสังคมเดิม กลุ่มเพื่อนกลุ่มเดิม ผมไม่ยื่นคะแนนวิศวะเข้า ม.เกษตร ทั้งที่หากผมยื่น ผมสามารถเข้าเรียนได้เลย เพราะผมตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า หากผมจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ผมต้องหลุดออกมาจากสิ่งเดิมๆให้ได้เท่านั้น ผมเริ่มต้นมาเรียนที่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ครับ และมาอยู่หอที่นี่ สังคมลาดกระบังเป็นสังคมที่คนส่วนใหญ่มักจะมาอยู่หอ ทำให้เราได้เจอเพื่อนๆกันแทบทุกวันครับ ทำให้ผมใช้เวลาไม่นานก็ได้เจอกลุ่มเพื่อน และค่อนข้างกลบความเหงาที่แยกจากกลุ่มเพื่อนเก่าๆมาได้ค่อนข้างเร็ว เวลาอยู่ที่นี่มันไกลครับ นานๆมากถึงจะมีโอกาสได้กลับบ้านไปทีหนึ่ง
ที่นี่มีสิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจ นั่นคือกิจกรรมเชียร์ ใช่ครับ กิจกรรมเชียร์ที่หลายๆคนอาจมองว่ามันไม่ดี มันบังคับ มันจำกัดสิทธิ หลายๆอย่าง แต่สำหรับผม ผมมองว่านี่มันคือสถานการณ์ หรือ สิ่งที่ทำให้ผมสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ดีที่สุดครับ คนทุกคนต้องเคยเกิดคำว่า “ไม่กล้า” ในทุกคนครับ ผมใช้เวทีนี้เป็นตัวขจัดคำว่า “ไม่กล้า” ของผมออกไปครับ ผมไม่ทราบว่าที่อื่นเป็นอย่างไร แต่ที่ลาดกระบัง หลายครั้งที่เขาจะเรียกให้รุ่นน้องยืนขึ้นเพื่อตอบค่าถามต่างๆ บางทีเป็นคำถามง่ายๆเช่น “ได้ตามงานที่พี่มอบหมายให้หรือเปล่า” หรือคำถามที่ต้องคิดว่า “เราจะทำอย่างไรเพื่อให้เราชวนเพื่อนมาได้” ผมจะไม่ลังเลที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อ ตอบคำถามทุกครั้งที่มีโอกาส แม้ครั้งแรกจะเกร็งและกลัว แต่จนถึงวันหนึ่งผมก็ไม่มีความเกร็ง และกลัวอีกต่อไป มันทำให้ผมได้มีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรต่างๆ และมีความมั่นใจในการพูดต่อหน้าผู้คนเยอะๆ
จากบทเรียนข้อนี้ ทำให้ทุกวันนี้ผมสามรถพรีเซ้นต์งานต่อหน้าคนเยอะๆได้โดยไม่มีอาการประหม่า ไม่เขิน และรู้วิธีที่จะพูดอย่างไร เพื่อให้ผู้คนสนใจในการพูดต่อหน้าคนเยอะๆ แม้มันอาจจะไม่ดีมากเท่าคนที่พูดเก่งๆ แต่มันก็ทำให้เรานิ่งพอ ที่จะทำงานต่อไปได้ครับ
ผมมีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง โดยที่ผมจะไม่รอ เพราะสิ่งที่เข้ามา โอกาสที่เข้ามามีเพียงไม่มาก ผมไม่ได้บอกว่าแนวคิดนี้คือสิ่งที่ถูก แต่หากมีอะไรเข้ามา ผมก็จะก้าวเข้าไปรับไว้ก่อน ส่วนวิธีการ เดี๋ยวมันจะตามมาจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมาแล้วเองครับ
“อยากให้มองทุกอย่างคือโอกาสที่เข้ามาในชีวิตครับ มองหลายๆมุมให้เห็นถึงโอกาสของมัน และคุณจะไม่พลาดในการพัฒนาตัวเองครับ”
“INCOME แรก”
ช่วงมหาลัย เป็นช่วงที่ผมใช้เวลาที่มีในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และควบคู่ไปกับการเริ่มต้น ลงทุนครั้งแรกในชีวิตครับ และแน่นอนว่าอย่างที่เคยได้เล่าให้ฟังเรื่อง การศึกษาการลงทุน ผมเริ่มต้นเทรดหุ้นจำลอง ใน Click2win ครับ จนรู้ระบบการเทรดต่างๆ และเมื่อผมอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ ผมก็เริ่มเปิดพอร์ตหุ้นของตัวเองทันทีครับ และใช้เงินทุนที่ได้จากการทำงานมาก้อนแรกประมาณ 2 หมื่นบาท และแน่นอนครับว่า เละครับ!! ตลาดหุ้นในยามศึกษา และการเทรดจริงนั้นคนละเรื่องเลยครับ ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก บรรยากาศ อินเตอร์เน็ต หลายๆอย่าง แต่แน่นอนว่าผมก็ไม่ยอมแพ้ และเทรดต่อไปเรื่อยๆ ศึกษาทุกวัน ผมจริงจังมาก ผมนั่งอ่านกราฟทุกวันถึงตี 2 ตี 3 ย้ำว่าทุกวัน ผมหาหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับการลงทุน ที่ผมควรจะต้องรู้ ช่วงนั้นผมมีหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับหุ้น จนผมค่อยๆปรับระบบให้เป็นของตัวเอง และหลายๆอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ทำให้ผมเริ่มมีรายได้จากการเทรดหุ้นเมื่อเข้าสู่ปีที่ 2 ซึ่งนั่นคือรายได้แรกของผม และมันก็ค่อยๆสร้างรายได้ให้ผมจนทุกวันนี้
ผมคงไม่ลงรายละเอียดตรงนี้มากนะครับ หรือใครอยากให้เล่าคงจะแยกความเห็นออกไปอีกที ผมเทรดเยอะครับ เริ่มมจาก เทรดหุ้นธรรมดา เริ่มเทรด DW และมาเทรด Future ผมยังทำงานพาร์ทไทม์เรื่อยๆครับ เพื่อเพิ่มเงินไปเรื่อยๆจนหยุดทำเมื่อขึ้นปีที่ 3 ของการเรียนมหาลัยครับ ขออนุญาตไม่แจ้งมุลค่าพอร์ตนะครับ แต่สามารถนำบัญชีหุ้นค้ำประกัน เพื่อเปิดบัญชี TFEX ได้ครับ
ช่วงเวลานั้นมีหนังสือหลายเล่มอยากจะแนะนำเพื่อนๆ พี่ๆให้ได้อ่านกันครับ หากใครสนใจในการลงทุน เนื่องจากทุกวันนี้ผมไม่แน่ใจว่ามีหนังสือไหนที่น่าสนใจกว่าเล่มพวกนี้หรือเปล่า ขอแนะนำไว้เป็นทางเลือกนะครับ
- พ่อรวยสอนลูก (แน่นอนครับ เล่มนี้ สอนหลายๆอย่างในการคิด และการลงทุน)
- ตีแตก ชอง ดร. นิเวศน์ (แนวคิดเริ่มต้นสำหรับการเทรดหุ้น ให้มองภาพกว้างๆ และให้ความรู้ดีครับ)
- กลยุทธ์ หุ้นห่านทองคำ (เล่มสีดำๆ ผมเน้นตั้งแต่เล่ม 3 เป็นต้นไปนะครับ เล่ม 1-2 เป็นเกริ่น แต่หากใครสนใจอ่านหมดก็ดีครับ)
- มหัศจรรย์หุ้นเทคนิค (เป็นหนังสือสอนการเทรดโดยใช้ indicator ที่ดีเล่มหนึ่งครับ ผมซื้อมาใหม่จนโดนเพื่อนยืมไป 2-3 รอบละไม่คืน เลยเลิกซื้อแล้วครับ)
ช่วงเวลานี้ค่อนข้างเครียดจริงๆครับ ลองหลายอย่าง หลายแบบ จนคิดว่าที่ผ่านมาเราคิดผิดมาหรือเปล่า มันจะมีทางเหรอ ถ้ามันได้จริงๆคนก็ทำได้
กันหมดแล้วมั้ง เสียเยอะทีก็เครียดไปนานครับ แต่ก็มีแรงฮึดมาใหม่เรื่อยๆครับ
และนอกจากนั้น ผมได้มีพี่คนหนึ่งเอาเกมส์มาให้เล่นครับ ก็คือ Cash Flow ชวนเล่นกันสนุกๆเฉยๆนะครับ ไม่ได้ชวนไปทำขายตรง ซึ่งผมได้รับบทเรียนจากเกมส์นี้และนำมาใช้ทุกวันนี้คือ การสร้าง income ให้มากๆขึ้น เพื่อวันหนึ่งจะออกจากวงล้อหนูครับ
บทเรียนที่ได้จากช่วงนี้คือ
- ผมได้เริ่มต้นทำในสิ่งที่ต้องการจะทำสักทีครับ คือเทรดหุ้น ผมว่ามันสำคัญมากเลยคือหากเราคิดจะทำ หรือเริ่มต้นอะไร ให้เริ่มไปเลยครับ เริ่มยังไงก็ได้ให้รู้ว่าเราเริ่ม หลายๆคนมีข้ออ้างมากมายครับ
o ไม่มีเวลา ผมก็ไม่มีครับ มาศึกษาช่วงตอนเลิกเรียน และเลิกกิจกรรม จนถึงดึกทุกคืน
o ไม่มีเงิน ก็หาพาร์ทไทม์ทำ และขยันอดออม ครับ
o ไม่มีความรู้ ก็ศึกษาครับ หนังสือมี how to มี อินเตอร์เน็ต มี ใช้ให้เป็นประโยชน์ครับ เราโชคดีมากครับที่เกิดมาในยุคที่มีพร้อมทุกอย่างแบบนี้
- ผมได้แนวคิดเรื่องการเพิ่ม income ครับ นำทุนที่มีไปลงทุนเพื่อให้เกิด income และมาต่อยอดเรื่อยๆครับ
- ผมไม่ยอมแพ้ครับ แม้มันจะต้องล้ม จะต้องเหนื่อย จะท้อสักกี่ครั้ง ผมก็จะมุ่งไปครับ จะทำให้มันสำเร็จให้ได้
- ผมใช้คำว่า income ไม่ใช่ passive income เพราะว่า ผมยังต้องทำงานครับ ถึงจะได้ income ผมต้องเทรดหุ้นถึงจะได้เงิน ผมต้องปรับพอร์ตหุ้นทุกไตรมาส เพื่อหาหุ้นที่มีปันผลดีและเติบโตเหมาะสม
“และผมก็ได้ income แรกจากการเทรดหุ้นครับ”
ขอแชร์แนวคิด และบอกเล่า จากเด็กอายุ 24 ปี ที่มี income 5 ทาง
สำหรับใครที่ไม่อยากอ่านเรื่องราว สามารถข้ามไปที่ความเห็นที่ 4 ผมจะทำการสรุปแนวคิดที่ผมได้รับไว้นะครับ
ผมมีความคิดที่อยากจะมาแชร์แนวคิดและบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง เนื่องมาจากว่าช่วงนี้ได้มีคุยกับคนหลายๆคน ซึ่งเกือบทุกคนนั้น จะมีปัญหาเรื่อง เป้าหมายในการใช้ชีวิต ชีวิตไม่รู้จะทำอะไร หรือไม่มีแรงบรรดาลใจในการทำอะไร ผมคิดว่าแนวการใช้ชีวิตของผมอาจจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อย จึงได้ใช้เวลาว่างวันนี้ที่มีอยู่ ลองเรียบเรียงสิ่งต่างๆมาบอกเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านกันตามนี้ครับ
ครอบครัวผมมีกันอยู่ 3 คน มี ผม แม่ และ พี่ บ้านผมอยู่กันที่คอนโดเล็กๆแห่งหนึ่ง ชีวิตผมต้นเรื่องมาจาก การที่คุณแม่ผมคอยส่งเสียเลี้ยงดูผมคนเดียวเนื่องจาก การเสียชีวิตของคุณพ่อตั้งแต่ผมอยู่ ป.5 ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการพยายามเอาตัวรอดของครอบครัวผม คุณแม่ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นแต่แม่บ้าน ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อส่งเสียเลี้ยงผมและพี่ รถที่มีอยู่คันเดียวก็ต้องขายเพื่อนำมาทำทุน เราลองกันหลายอย่าง ทั้งขายของตลาดนัด ขายผลไม้ ขายเสื้อผ้า ขายตรง แต่มันก็ไม่ดีสักอย่าง จนแม่ผมได้ไปอบรมอาชีพ มีทั้งช่างตัดผม และนวดแผนโบราณ และคุณแม่ก็ใช้อาชีพที่ท่านเรียนมา คอยส่งเสียเลี้ยงดูผมและพี่มาเรื่อยๆ
ซึ่งจากบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ ทำให้ผมเป็นคนค่อนข้างประหยัด อดออม และไม่ค่อยซื้อของสิ้นเปลืองเลย ไม่ใช้ของใหม่ อะไรที่มีและใช้ได้ผมก็จะใช้ไปจนมันไม่ไหวจริงๆ และอีก 1 อย่างที่ฝังความคิดให้ผมคือ “ผมอยากรวย”
จนเมื่อผมเข้ามัธยม เนื่องจากแม่ผมท่านก็ทำงาน ผมจะได้เจอคุณแม่แค่ตอนช่วงเช้า ก่อนไปโรงเรียนเท่านั้น กับบางครั้งถ้าผมนอนดึกมากจริงๆ มีบ้างที่ผมเริ่มเกเร ด้วยความยังเด็ก รวมทั้งติดเกมส์ การเรียนของผมตกลง จากที่ผมสอบเข้าโรงเรียนได้อันดับ 2 ของนักเรียนที่มาสอบทั้งหมด กลายเป็นคะแนนอันดับบ๊วยของห้องเรียน ในปีแรก แต่สิ่งที่ทำให้ผมกลับมาในช่วงเวลา ปีที่ 2 และ 3 คือ เพื่อนๆครับ สภาพแวดล้อมเป็นส่วนสำคัญจริงๆในการเรียน เนื่องจากผลสอบเข้าของผมดี ผมจึงได้อยู่ในห้องคิง และกลุ่มเพื่อนๆก็ดี คอยช่วยกันเรียน ช่วยกันเล่นบ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครทิ้งกัน ผมจบ ม.2 ด้วยคะแนน 3.84(อังกฤษ เกรด 3) และ ม.3 ด้วยเกรด 4.00 ซึ่งอย่างที่เห็นคือ ผมเกลียดวิชาภาษาอังกฤษมากกกก แต่สุดท้ายผมก็ใช้วิธีท่องจำ พยายามดิ้นรนจนสำเร็จมาได้
จากบทเรียนเหตุการณ์นี้คือ สิ่งแวดล้อมรอบตัวของเราเป็นสิ่งสำคัญและมีผลมาก การที่จะทำอะไรออกมาให้ดีหรือไม่ดีได้นั้น หากเรานำตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ความสำเร็จก็ย่อมมีได้ง่ายกว่า
มัธยมปลายเป็นช่วงเวลาที่ผมค่อนข้างไม่เป็นชิ้นเป็นอันอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากผมเลือกสายวิทย์ คณิต และเพื่อนกลุ่มเดิมโดนแยกย้ายไปหมด ใช้เวลานั่งเรียนทั้งวันเพื่อรอเพียง จะไปเล่นกับเพื่อนตอนเลิกเรียน บางครั้งพักไม่ตรงกัน ก็โดดเรียนไปเล่นบาสเล่นบอลกับเพื่อน ใช้ชีวิตได้ไม่ค่อยสนใจอะไรสักเท่าไร ไม่ได้คิดถึงอนาคตเลยด้วยซ้ำว่าจะเรียนอะไรต่อ คณะอะไร มหาลัยไหน จุดเปลี่ยนของผมมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อผมอยู่ช่วง ม.5 ผมได้ทำกิจกรรมรับน้องของโรงเรียน และได้ร่วมทำงานหลายๆอย่าง ซึ่งผมรู้สึกได้ว่าผมชอบเรื่องแบบนี้มากๆ ผมชอบการทำงานที่ได้วางแผน ได้พูดคุยกับผู้คน ได้แก้ปัญหา และได้เป็นคนสำคัญ หลายๆอย่างปลูกฝังแนวคิดให้ผมอีกครั้ง และผมมีปัญหาตามประสาวัยรุ่นก็คือเรื่องความรัก จนทำให้ผมคิดอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ทั้งหมด จากแต่เดิม ผมเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออก ไม่ค่อยพูด ไม่ออกความเห็น ไม่ฮา ซีเรียส เครียด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้น ทำให้ผมตัดสินใจเลือกเริ่มต้นใหม่ ในมหาลัยที่ไกล และแยกออกไปจากเพื่อนๆทุกคน เพื่อเริ่มต้นใหม่ สุดท้าย ผมเลือกเรียน คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันแถวสนามบินสุวรรณภูมิ และทิ้งทุกอย่างที่ผมเป็นไว้ด้านหลัง เพื่อเริ่มต้นใหม่ กับ ชีวิตใหม่
ย้อนกลับมาช่วง ม.6 จุดเปลี่ยนอย่างที่ 2 ของผมคือ การได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง ถึงเรื่อง การลงทุนในหุ้น และบุคคลชื่อดังคนหนึ่งคือ คุณวอเรน บัฟเฟต์ ผมได้อ่านชีวประวัติเขา และแนวคิดของเขา ซึ่งกระตุ้นความรู้สึกแรกที่ผมเคยบอกไว้ก็คือ ผมอยากรวย ผมคิดว่านี่แหละ คือสิ่งที่ผมค้นหามา นี่แหละที่ผมต้องเดินทางไป ผมเลยตัดสินใจเริ่มศึกษาการลงทุนทุกอย่างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเริ่มหาทุน โดยการเริ่มทำงาน เซเว่น เป็นพาร์ทไทม์ เพื่อเก็บเงิน และไม่อยากลำบากครอบครัว (ผมเริ่มกู้กยศ ตอน ม.4-ม.5 ทำให้บ้านผมค่อนข้างเบาเรื่องรายจ่ายค่าเรียนไปค่อนข้างมาก รวมทั้งผมคิดว่ามันจะมีประโยชน์อย่างมากตอนที่ผมเข้าเรียนมหาลัย เพราะผมจะไม่ต้องไปขอยื่นใหม่ แย่งกับคนจำนวนมาก)
จากบทสรุปของช่วงนี้คือ
- ผมคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนาตัวเองเสียใหม่ทุกๆอย่าง การเข้าสังคม การเป็นคนที่มีคนจดจำ ผมไม่อยากเป็นแค่ใครคนหนึ่งที่ผ่านมาและผ่านไปในสถานที่แห่งหนึ่ง โดยที่เวลาผ่านไปแล้วไม่มีใครจำได้เลย
- ผมเริ่มคิดจะเข้าไปในโลกของการลงทุน และเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ถึงหนทางที่จะทำให้ผมมีรายได้ที่ผมสามารถทำอะไรหลายๆอย่างได้
และก็มาถึงช่วงผมเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงนี้มีบทเรียนให้ผมเยอะมาก และทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองไปอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งจนบางครั้งผม
กลับมาเจอเพื่อนเก่า หลายๆคนยังทักว่า ผมไม่เหมือนเดิมเลย แต่หลายๆอย่างมีที่มาครับ และหลายๆอย่างต้องใช้เวลา
อย่างที่เกริ่นให้ตั้งแต่ต้น จากปัญหาหลายๆอย่างทำให้ผมตัดสินใจ ฉีกตัวเองออกมาจากกลุ่มสังคมเดิม กลุ่มเพื่อนกลุ่มเดิม ผมไม่ยื่นคะแนนวิศวะเข้า ม.เกษตร ทั้งที่หากผมยื่น ผมสามารถเข้าเรียนได้เลย เพราะผมตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า หากผมจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ผมต้องหลุดออกมาจากสิ่งเดิมๆให้ได้เท่านั้น ผมเริ่มต้นมาเรียนที่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ครับ และมาอยู่หอที่นี่ สังคมลาดกระบังเป็นสังคมที่คนส่วนใหญ่มักจะมาอยู่หอ ทำให้เราได้เจอเพื่อนๆกันแทบทุกวันครับ ทำให้ผมใช้เวลาไม่นานก็ได้เจอกลุ่มเพื่อน และค่อนข้างกลบความเหงาที่แยกจากกลุ่มเพื่อนเก่าๆมาได้ค่อนข้างเร็ว เวลาอยู่ที่นี่มันไกลครับ นานๆมากถึงจะมีโอกาสได้กลับบ้านไปทีหนึ่ง
ที่นี่มีสิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจ นั่นคือกิจกรรมเชียร์ ใช่ครับ กิจกรรมเชียร์ที่หลายๆคนอาจมองว่ามันไม่ดี มันบังคับ มันจำกัดสิทธิ หลายๆอย่าง แต่สำหรับผม ผมมองว่านี่มันคือสถานการณ์ หรือ สิ่งที่ทำให้ผมสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ดีที่สุดครับ คนทุกคนต้องเคยเกิดคำว่า “ไม่กล้า” ในทุกคนครับ ผมใช้เวทีนี้เป็นตัวขจัดคำว่า “ไม่กล้า” ของผมออกไปครับ ผมไม่ทราบว่าที่อื่นเป็นอย่างไร แต่ที่ลาดกระบัง หลายครั้งที่เขาจะเรียกให้รุ่นน้องยืนขึ้นเพื่อตอบค่าถามต่างๆ บางทีเป็นคำถามง่ายๆเช่น “ได้ตามงานที่พี่มอบหมายให้หรือเปล่า” หรือคำถามที่ต้องคิดว่า “เราจะทำอย่างไรเพื่อให้เราชวนเพื่อนมาได้” ผมจะไม่ลังเลที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อ ตอบคำถามทุกครั้งที่มีโอกาส แม้ครั้งแรกจะเกร็งและกลัว แต่จนถึงวันหนึ่งผมก็ไม่มีความเกร็ง และกลัวอีกต่อไป มันทำให้ผมได้มีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรต่างๆ และมีความมั่นใจในการพูดต่อหน้าผู้คนเยอะๆ
จากบทเรียนข้อนี้ ทำให้ทุกวันนี้ผมสามรถพรีเซ้นต์งานต่อหน้าคนเยอะๆได้โดยไม่มีอาการประหม่า ไม่เขิน และรู้วิธีที่จะพูดอย่างไร เพื่อให้ผู้คนสนใจในการพูดต่อหน้าคนเยอะๆ แม้มันอาจจะไม่ดีมากเท่าคนที่พูดเก่งๆ แต่มันก็ทำให้เรานิ่งพอ ที่จะทำงานต่อไปได้ครับ
ผมมีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง โดยที่ผมจะไม่รอ เพราะสิ่งที่เข้ามา โอกาสที่เข้ามามีเพียงไม่มาก ผมไม่ได้บอกว่าแนวคิดนี้คือสิ่งที่ถูก แต่หากมีอะไรเข้ามา ผมก็จะก้าวเข้าไปรับไว้ก่อน ส่วนวิธีการ เดี๋ยวมันจะตามมาจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมาแล้วเองครับ
“อยากให้มองทุกอย่างคือโอกาสที่เข้ามาในชีวิตครับ มองหลายๆมุมให้เห็นถึงโอกาสของมัน และคุณจะไม่พลาดในการพัฒนาตัวเองครับ”
“INCOME แรก”
ช่วงมหาลัย เป็นช่วงที่ผมใช้เวลาที่มีในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และควบคู่ไปกับการเริ่มต้น ลงทุนครั้งแรกในชีวิตครับ และแน่นอนว่าอย่างที่เคยได้เล่าให้ฟังเรื่อง การศึกษาการลงทุน ผมเริ่มต้นเทรดหุ้นจำลอง ใน Click2win ครับ จนรู้ระบบการเทรดต่างๆ และเมื่อผมอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ ผมก็เริ่มเปิดพอร์ตหุ้นของตัวเองทันทีครับ และใช้เงินทุนที่ได้จากการทำงานมาก้อนแรกประมาณ 2 หมื่นบาท และแน่นอนครับว่า เละครับ!! ตลาดหุ้นในยามศึกษา และการเทรดจริงนั้นคนละเรื่องเลยครับ ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก บรรยากาศ อินเตอร์เน็ต หลายๆอย่าง แต่แน่นอนว่าผมก็ไม่ยอมแพ้ และเทรดต่อไปเรื่อยๆ ศึกษาทุกวัน ผมจริงจังมาก ผมนั่งอ่านกราฟทุกวันถึงตี 2 ตี 3 ย้ำว่าทุกวัน ผมหาหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับการลงทุน ที่ผมควรจะต้องรู้ ช่วงนั้นผมมีหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับหุ้น จนผมค่อยๆปรับระบบให้เป็นของตัวเอง และหลายๆอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ทำให้ผมเริ่มมีรายได้จากการเทรดหุ้นเมื่อเข้าสู่ปีที่ 2 ซึ่งนั่นคือรายได้แรกของผม และมันก็ค่อยๆสร้างรายได้ให้ผมจนทุกวันนี้
ผมคงไม่ลงรายละเอียดตรงนี้มากนะครับ หรือใครอยากให้เล่าคงจะแยกความเห็นออกไปอีกที ผมเทรดเยอะครับ เริ่มมจาก เทรดหุ้นธรรมดา เริ่มเทรด DW และมาเทรด Future ผมยังทำงานพาร์ทไทม์เรื่อยๆครับ เพื่อเพิ่มเงินไปเรื่อยๆจนหยุดทำเมื่อขึ้นปีที่ 3 ของการเรียนมหาลัยครับ ขออนุญาตไม่แจ้งมุลค่าพอร์ตนะครับ แต่สามารถนำบัญชีหุ้นค้ำประกัน เพื่อเปิดบัญชี TFEX ได้ครับ
ช่วงเวลานั้นมีหนังสือหลายเล่มอยากจะแนะนำเพื่อนๆ พี่ๆให้ได้อ่านกันครับ หากใครสนใจในการลงทุน เนื่องจากทุกวันนี้ผมไม่แน่ใจว่ามีหนังสือไหนที่น่าสนใจกว่าเล่มพวกนี้หรือเปล่า ขอแนะนำไว้เป็นทางเลือกนะครับ
- พ่อรวยสอนลูก (แน่นอนครับ เล่มนี้ สอนหลายๆอย่างในการคิด และการลงทุน)
- ตีแตก ชอง ดร. นิเวศน์ (แนวคิดเริ่มต้นสำหรับการเทรดหุ้น ให้มองภาพกว้างๆ และให้ความรู้ดีครับ)
- กลยุทธ์ หุ้นห่านทองคำ (เล่มสีดำๆ ผมเน้นตั้งแต่เล่ม 3 เป็นต้นไปนะครับ เล่ม 1-2 เป็นเกริ่น แต่หากใครสนใจอ่านหมดก็ดีครับ)
- มหัศจรรย์หุ้นเทคนิค (เป็นหนังสือสอนการเทรดโดยใช้ indicator ที่ดีเล่มหนึ่งครับ ผมซื้อมาใหม่จนโดนเพื่อนยืมไป 2-3 รอบละไม่คืน เลยเลิกซื้อแล้วครับ)
ช่วงเวลานี้ค่อนข้างเครียดจริงๆครับ ลองหลายอย่าง หลายแบบ จนคิดว่าที่ผ่านมาเราคิดผิดมาหรือเปล่า มันจะมีทางเหรอ ถ้ามันได้จริงๆคนก็ทำได้
กันหมดแล้วมั้ง เสียเยอะทีก็เครียดไปนานครับ แต่ก็มีแรงฮึดมาใหม่เรื่อยๆครับ
และนอกจากนั้น ผมได้มีพี่คนหนึ่งเอาเกมส์มาให้เล่นครับ ก็คือ Cash Flow ชวนเล่นกันสนุกๆเฉยๆนะครับ ไม่ได้ชวนไปทำขายตรง ซึ่งผมได้รับบทเรียนจากเกมส์นี้และนำมาใช้ทุกวันนี้คือ การสร้าง income ให้มากๆขึ้น เพื่อวันหนึ่งจะออกจากวงล้อหนูครับ
บทเรียนที่ได้จากช่วงนี้คือ
- ผมได้เริ่มต้นทำในสิ่งที่ต้องการจะทำสักทีครับ คือเทรดหุ้น ผมว่ามันสำคัญมากเลยคือหากเราคิดจะทำ หรือเริ่มต้นอะไร ให้เริ่มไปเลยครับ เริ่มยังไงก็ได้ให้รู้ว่าเราเริ่ม หลายๆคนมีข้ออ้างมากมายครับ
o ไม่มีเวลา ผมก็ไม่มีครับ มาศึกษาช่วงตอนเลิกเรียน และเลิกกิจกรรม จนถึงดึกทุกคืน
o ไม่มีเงิน ก็หาพาร์ทไทม์ทำ และขยันอดออม ครับ
o ไม่มีความรู้ ก็ศึกษาครับ หนังสือมี how to มี อินเตอร์เน็ต มี ใช้ให้เป็นประโยชน์ครับ เราโชคดีมากครับที่เกิดมาในยุคที่มีพร้อมทุกอย่างแบบนี้
- ผมได้แนวคิดเรื่องการเพิ่ม income ครับ นำทุนที่มีไปลงทุนเพื่อให้เกิด income และมาต่อยอดเรื่อยๆครับ
- ผมไม่ยอมแพ้ครับ แม้มันจะต้องล้ม จะต้องเหนื่อย จะท้อสักกี่ครั้ง ผมก็จะมุ่งไปครับ จะทำให้มันสำเร็จให้ได้
- ผมใช้คำว่า income ไม่ใช่ passive income เพราะว่า ผมยังต้องทำงานครับ ถึงจะได้ income ผมต้องเทรดหุ้นถึงจะได้เงิน ผมต้องปรับพอร์ตหุ้นทุกไตรมาส เพื่อหาหุ้นที่มีปันผลดีและเติบโตเหมาะสม
“และผมก็ได้ income แรกจากการเทรดหุ้นครับ”