กลุ่มผู้วิจัยจากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และสภากาชาดไทย ให้ความเห็นว่า ปกติทันตแพทย์จะไม่รู้ว่าผู้ป่วยมีเชื้อเอชไอวีหรือไม่ หากผู้ปวยไม่บอก หรือไม่มีอาการแสดงทางร่างกายหรือในช่องปากที่ชัดเจน ดังนั้น การประเมินฟันเพื่อวินิจฉัยโรคก็จะเหมือนกับผู้ป่วยทั่วไปทุกราย หากต้องถอนฟัน และผู้ป่วยปฏิเสธโรคประจำตัวใดๆ ก็จะถอนตามปกติ หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวที่ต้องระวังอาการแทรกซ้อนจากการทำฟัน หรือถอนฟัน ทันตแพทย์ก็จะขอประเมินเพิ่มเติม
“หากผู้ป่วยเป็นเอชไอวี ก็ขึ้นกับว่าทันตแพทย์มีความรู้เกี่ยวกับการติดเชื้อมากเพียงใด โดยทั่วไป ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับประทานยา มีค่าไวรัสสูงๆ ค่า CD4 ต่ำ ทันตแพทย์อาจไม่มีความมั่นใจในการทำฟันให้ และอาจแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อน แต่กรณีผู้ป่วยทานยาแล้ว และควบคุมโรคได้ดี ทันตแพทย์ก็ควรจะทำฟันให้ได้ตามปกติ” กลุ่มผู้วิจัยกล่าวและว่า ขึ้นกับว่าทันตแพทย์จะทำหรือไม่ บางรายอาจยังไม่มีความมั่นใจ กลัวคนไข้จะเจ็บป่วยมากขึ้น หรือกลัวการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งถ้าไวรัสไม่สูง ก็ไม่น่าต้องกังวล กลัวการทำงานที่อาจผิดพลาด เช่น เข็ม หรือมีดตำ หรือกลัวการติดเชื้อแทรกซ้อนอื่นๆ ที่ผู้ป่วยอาจมี เช่น วัณโรค ไวรัสตับอักเสบ รวมไปถึงภาวะเลือดจาง เกล็ดเลือดต่ำ
นอกจากนี้ กลุ่มผู้วิจัยฯ ยังให้ข้อมูลอีกว่า จากการวิจัยในกลุ่มเล็กๆ ที่เขาเคยทำ มีข้อน่าสังเกตว่า ผู้ป่วยเอชไอวีกว่า 80% เลือกที่จะปิดบังประวัติความเจ็บป่วยเอชไอวีต่อทันตแพทย์ เพราะกลัวว่าจะไม่ได้รับการรักษาเท่าเทียมกับคนอื่น หรือโดนปฏิเสธการรักษา ทั้งๆ ที่ผู้ปวยก็เชื่อว่าทันตแพทย์มีจรรยาบรรณสูง ควรจะให้การรักษาที่เท่าเทียมกัน และมีความรู้ที่ถูกต้อง
“เมื่อพบผู้ป่วยเอชไอวี จะให้คำแนะนำว่าให้แจ้งทันตแพทย์ถึงความเป็นไปของโรค ภาวะโรคแทรกซ้อน การได้รับยา ฯลฯ เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้วางแผนการรักษาให้เหมาะสม เช่น ป้องกันการติดเชื้อลุกลามจากการถอนฟัน จัดเตรียมอุปกรณ์ห้ามเลือด” กลุ่มผู้วิจัยฯ กล่าว
ทั้งนี้ หากสังคมไทยเป็นสังคมที่เคารพใน “ความเท่าเทียม” ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นใคร จะมีเชื้อเอชไอวีหรือไม่ ก็ไม่ควรถูกเลือกปฏิบัติ จาก “อคติ” ของความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ การรังเกียจ ที่สังคมยึดติด เพียงเพราะเขามีผลเลือดต่าง?!?
ที่มา LIV Capsule
การจัดฟัน/ทำฟันสำหรับผู้มี H
“หากผู้ป่วยเป็นเอชไอวี ก็ขึ้นกับว่าทันตแพทย์มีความรู้เกี่ยวกับการติดเชื้อมากเพียงใด โดยทั่วไป ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับประทานยา มีค่าไวรัสสูงๆ ค่า CD4 ต่ำ ทันตแพทย์อาจไม่มีความมั่นใจในการทำฟันให้ และอาจแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อน แต่กรณีผู้ป่วยทานยาแล้ว และควบคุมโรคได้ดี ทันตแพทย์ก็ควรจะทำฟันให้ได้ตามปกติ” กลุ่มผู้วิจัยกล่าวและว่า ขึ้นกับว่าทันตแพทย์จะทำหรือไม่ บางรายอาจยังไม่มีความมั่นใจ กลัวคนไข้จะเจ็บป่วยมากขึ้น หรือกลัวการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งถ้าไวรัสไม่สูง ก็ไม่น่าต้องกังวล กลัวการทำงานที่อาจผิดพลาด เช่น เข็ม หรือมีดตำ หรือกลัวการติดเชื้อแทรกซ้อนอื่นๆ ที่ผู้ป่วยอาจมี เช่น วัณโรค ไวรัสตับอักเสบ รวมไปถึงภาวะเลือดจาง เกล็ดเลือดต่ำ
นอกจากนี้ กลุ่มผู้วิจัยฯ ยังให้ข้อมูลอีกว่า จากการวิจัยในกลุ่มเล็กๆ ที่เขาเคยทำ มีข้อน่าสังเกตว่า ผู้ป่วยเอชไอวีกว่า 80% เลือกที่จะปิดบังประวัติความเจ็บป่วยเอชไอวีต่อทันตแพทย์ เพราะกลัวว่าจะไม่ได้รับการรักษาเท่าเทียมกับคนอื่น หรือโดนปฏิเสธการรักษา ทั้งๆ ที่ผู้ปวยก็เชื่อว่าทันตแพทย์มีจรรยาบรรณสูง ควรจะให้การรักษาที่เท่าเทียมกัน และมีความรู้ที่ถูกต้อง
“เมื่อพบผู้ป่วยเอชไอวี จะให้คำแนะนำว่าให้แจ้งทันตแพทย์ถึงความเป็นไปของโรค ภาวะโรคแทรกซ้อน การได้รับยา ฯลฯ เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้วางแผนการรักษาให้เหมาะสม เช่น ป้องกันการติดเชื้อลุกลามจากการถอนฟัน จัดเตรียมอุปกรณ์ห้ามเลือด” กลุ่มผู้วิจัยฯ กล่าว
ทั้งนี้ หากสังคมไทยเป็นสังคมที่เคารพใน “ความเท่าเทียม” ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นใคร จะมีเชื้อเอชไอวีหรือไม่ ก็ไม่ควรถูกเลือกปฏิบัติ จาก “อคติ” ของความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ การรังเกียจ ที่สังคมยึดติด เพียงเพราะเขามีผลเลือดต่าง?!?
ที่มา LIV Capsule