สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาวพันธ์ทิพย์ ทุกท่าน วันนี้ผมอยากจะมาเล่าประสบการณ์ที่ในชีวิต ครั้งหนึ่งที่ผมต้องมาพบเจอ จนมันทำให้ผมเข้าใจหัวอกของคนที่คิดจะ "ฆ่าตัวตาย"
เริ่มเลยนะครับ ตอนนี้ผมอายุ 27 (จะบอกเพื่อ???? อิอิ) ชีวิตก็ผ่านอะไรมามากมาย จนมาอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิต คือ หลังจากที่ผมเรียนจบมหาลัยมาแล้วนั้น (ขอย้อนวันวานนิดนึงนะครับ) ผมก็ได้ไปทำงานที่ โรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่ ชีวิตช่วงนั้นก็ถือว่ารุ่งเรือง อู้ฟู่มากเลยครับ มีเงินใช้ ชีวิตสุขสบาย ไม่มีอะไรต้องมานั่งเครียด กิน เที่ยว ทำงาน อย่างมีความสุข อยากมีอยากได้อะไรก็หาได้ไม่ยาก และแล้วผมก็ซื้อรถเก๋งมือสองออกมาสนองความต้องการของตัวเอง พอหลังจากนั้นได้ไม่นาน ผมก็จับได้ใบแดง เข้ารับการเกณฑ์ทหาร นั่นแหละครับ ที่ชีวิตของผมเริ่มมีปัญหา (ไม่ได้จะบอกว่าเป็นทหารแล้วชีวิตตกต่ำนะครับ) เริ่มต้นคือ ผมมีภาระที่ต้องจ่ายค่ารถยนต์ แต่พอมาเป็นทหารเกณฑ์ เงินเดือนก็น้อยมาก จนไม่พอจะจ่ายค่าผ่อนรถยนต์ ต้องเดือดร้อนแม่ผม ที่ต้องหาเงินมาจ่าย แม่ผมต้องไปยืมนู้น ยืมนี่มา พัลวันไปหมด จนเกิดเป็นหนี้ก้อนโตขึ้นมา ความเครียดเริ่มสะสมมาตั้งแต่นั้นมา พอเมื่อผมปลดจากการเกณฑ์ทหาร ผมก็มาหางานทำ ก็ไม่พ้นงานโรงแรม แล้วผมก็ได้เข้าทำงานที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย เรียกได้ว่าเงินดี ก็คิดว่าเอาล่ะ รอดตายแล้วล่ะทีนี้ แต่กรรมของผมมันก็ยังไม่หมด ทำได้แค่เดือนเดียว ผมก็เกิดอาการป่วย จนไม่สามารถไปทำงานได้ ผมท้อมาก จนผมออกโดยที่ไม่แจ้งไม่บอกทางโรงแรม เรียกได้ว่าช่วงนั้นเครียดมากๆ เลยครับ แต่บนความโชคร้าย ก็มีโชคดีอีกครั้ง เมื่อมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ได้บอกให้ผมไปสมัครเพื่อสอบเข้ารับราชการทหาร ผมดีใจมาก เลยไปตามที่ท่านบอก ก็ยอมรับนะครับว่าผมใช้เส้น แล้วผมก็ได้รับราชการทหาร ตั้งแต่นั้นมา แล้วความเครียดก็เข้ามาอีกครั้ง เนื่องจากนายสิบที่บรรจุใหม่นั้นเงินเดือนแค่ 7000 กว่าบาท เอาล่ะสิ จะหาเงินที่ไหนไปจ่ายหนี้ จ่ายค่าผ่อนรถ ส่งให้แม่อีกล่ะเนี๊ย การทำงานก็ต้องตามเจ้านายไป เครียดมากครับตอนนั้น หนี้ก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ แม่ผมต้องวิ่งยืมนู้น หมุนนี่ สลับกันไปแบบนี้ หลายคนอาจจะบอกว่า ทำไมไม่ปล่อยให้ยึดไปล่ะ ทำแบบนั้นผมก็ต้องยังจะจ่ายเงินผ่อนต่อไปอยู่ดีครับ เลยจำเป็นต้องผ่อนต่อไป ตั้งแต่นั้นมาผมเครียดมากครับ กลายเป็นคนนอนหลับไม่สนิท ถึงจะนอนไวแค่ไหน มันก็จะตื่นกลางดึกบ้าง นอนไม่หลับต่อจนเช้า แล้วต้องมาทำงานทั้งวัน ความเครียดมันสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ พร้อมกับหนี้ที่มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหลัก 3 แสน เกิดมาไม่เคยมีหนี้ขนาดนี้ (บางท่านอาจจะเยอะมากกว่านี้ แต่สำหรับผมแค่นี้ก็จะตายแล้วครับ) ไหนจะต้องพะว้าพะวงในแต่ละเดือนที่จะถึงรอบต้องจ่ายค่างวดแล้วนะ แม่ก็โทรมาว่าต้องเอาเงินไปจ่ายหนี้เจ้านี้แล้วนะ คือมันเป็นแบบนี้มาตลอด จนถึงขั้นมีความคิดชั่ววูบความคิดนึง มันโผล่มาในหัว "ฆ่าตัวตาย" คือแต่ก่อนผมจะเป็นคนที่เวลาเห็นข่าวคนคิดฆ่าตัวตายแล้วบางทีก็ว่าให้เค้าบ้าง สมน้ำหน้าเขาบ้าง (คือมีแต่ความคิดอคติตลอด ยอมรับว่าเลวมาก แหะๆ) แต่แล้วผมไม่นึกว่าความคิดนั้นจะมาเกิดขึ้นในหัวของผมเอง ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย มันเป็นตลอดทุกครั้งที่เราได้รับแรงกดดันมา ไม่ว่าจะจากทางไหน บางครั้งขับรถอยู่ (ผมจะเดินทางบ่อยครับ) ก็มีความคิดเห้ย ลงเขาดีไม๊วะ เสาหลักลายหรือต้นไม้ดีไหมวะ ตายไปแม่คงได้เงินมาปิดหนี้ทั้งหมดแน่นอน (ข้าราชการเวลาเสียชีวิต ก็จะมีเงินจากประกันชีวิตบ้าง เงินค่าสมาชิกฌาปณกิจบ้าง ก็รวมๆ แล้วทำให้แม่ผมหมดหนี้แล้วยังมีเงินใช้อีกตลอด) ตายไปอย่างน้อยก็ยังจะเลี้ยงแม่ได้อยู่ คือความคิดมันเกิดขึ้นแบบนี้บ่อยมาก จนเกือบทำไปหลายครั้งแล้วด้วย ดีที่ยังมีสติ จอดข้างทาง นั่งดูรูปแม่ ก็ล้มเลิกไปหลายคราว แต่มันก็ยังมีความคิดนี้โผล่มาอีกเรื่อยๆ บางครั้งก็อยากจะไปโดนระเบิด หรือกระสุนจาก ผู้ก่อการร้ายไปเลย (ตอนนี้ผมมาช่วยราชการที่ 3 จชต.) ตายในหน้าที่ก็คงได้หลายล้านอยู่ อีกอย่าง เราตายไป แม่มีเงินใช้หนี้ พี่ชายก็ยังมาบรรจุรับราชการแทนเราได้อีก ให้พี่เลี้ยงดูแม่ต่อละกัน (คือทหารที่ลงมา 3 จชต ถ้าเสียชีวิต ทางกองทัพจะบรรจุทายาทหรือคนที่เราระบุชื่อในพินัยกรรมให้เข้ารับราชการได้เลยครับ แต่ต้องเป็นลูก พี่ หรือ น้อง หรือภรรยา สามี เท่านั้นครับ) จากตอนแรกที่คิดว่าการฆ่าตัวตายเป็นหนทางของคนโง่ สิ้นคิด พอมาเจอกับตัวเองเลยได้เข้าใจแล้วว่า เออ มันอยู่ไกล้เราแค่เศษเสี้ยววินาทีเองนะ แค่คำว่า "ชั่ววูบ" มันก็อาจทำให้เราจบชีวิตได้เลยนะครับ ยังดีที่ผมไม่ทำมันลงไป ผมพยายามหาทางดิ้นรนเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งตอนนี้ผมก็ทำเรื่องเพื่อกู้เงินของกองทัพ (ที่ไม่กู้ตั้งแต่แรก ก็เนื่องจาก เขามีข้อกำหนดว่าต้องบรรจุมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี) จริงอยู่ที่มันเป็นการเพิ่มหนี้ แต่ยังดีที่ว่า เมื่อผมกู้ได้ ผมจะนำเงินกู้นี้ ไปปิดหนี้ทั้งหมดที่มีหลายๆ ทาง เราจะได้มีหนี้แค่ที่เดียว การผ่อนชำระก็สามารถผ่อนได้ระยะยาว ไม่ต้องมากังวลว่าจะต้องมาจ่ายนุ้น นี่ นั่น อีก ทำให้หายเครียดได้อย่างเด็ดขาดแน่นอน ตอนนี้ผมก็กำลังรอเพื่อให้เงินก็นั้นโอนเข้ามา ถ้าหากเงินเข้ามาแล้ว มันคงจะเป็นความรู้สึกที่เหมือนยกเอาภูเขาออกจากอก เหมือนคำโบราณแน่ๆ เลยครับ ผมจึงอยากจะมาเล่าให้ทุกๆ ท่านได้ฟัง เผื่อมีคนที่กำลังท้อ อย่าเพิ่งท้อนะครับ เครียดได้ แต่อย่าถอยนะครับ ใช้สติ ค่อยๆ หาทาง ค่อยๆ คิด ปัญหาทุกอย่างมันต้องใช้เวลาครับ ปรึกษาคนรอบตัว เพื่อนๆ ครอบครัว หันหน้าคุยกันนะครับ
ปล.อาจจะเรียงลำดับเหตุการณ์ไม่ค่อยเป็นนะครับ แต่อยากจะมาเหลา เอ๊ย!!! เล่าให้ฟัง เผื่อใครที่กำลังท้ออยู่จะได้มีกำลังใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ คุณไม่ได้ท้อคนเดียวนะครับ อิอิ หรือใครที่กำลังท้ออยู่ ก็เข้ามาเล่าให้ผมฟังบ้างก็ได้นะครับ เผื่อจะได้ช่วยแนะนำหรืออย่างน้อยก็ได้เป็นที่ระบายให้บ้างก็ยังดีครับ ยอมเป็นส้วมให้เทอได้ปลดทุกข์ อิอิ
มีใครเคยท้อจนคิด "ฆ่าตัวตาย"บ้างไหมครับ
เริ่มเลยนะครับ ตอนนี้ผมอายุ 27 (จะบอกเพื่อ???? อิอิ) ชีวิตก็ผ่านอะไรมามากมาย จนมาอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิต คือ หลังจากที่ผมเรียนจบมหาลัยมาแล้วนั้น (ขอย้อนวันวานนิดนึงนะครับ) ผมก็ได้ไปทำงานที่ โรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่ ชีวิตช่วงนั้นก็ถือว่ารุ่งเรือง อู้ฟู่มากเลยครับ มีเงินใช้ ชีวิตสุขสบาย ไม่มีอะไรต้องมานั่งเครียด กิน เที่ยว ทำงาน อย่างมีความสุข อยากมีอยากได้อะไรก็หาได้ไม่ยาก และแล้วผมก็ซื้อรถเก๋งมือสองออกมาสนองความต้องการของตัวเอง พอหลังจากนั้นได้ไม่นาน ผมก็จับได้ใบแดง เข้ารับการเกณฑ์ทหาร นั่นแหละครับ ที่ชีวิตของผมเริ่มมีปัญหา (ไม่ได้จะบอกว่าเป็นทหารแล้วชีวิตตกต่ำนะครับ) เริ่มต้นคือ ผมมีภาระที่ต้องจ่ายค่ารถยนต์ แต่พอมาเป็นทหารเกณฑ์ เงินเดือนก็น้อยมาก จนไม่พอจะจ่ายค่าผ่อนรถยนต์ ต้องเดือดร้อนแม่ผม ที่ต้องหาเงินมาจ่าย แม่ผมต้องไปยืมนู้น ยืมนี่มา พัลวันไปหมด จนเกิดเป็นหนี้ก้อนโตขึ้นมา ความเครียดเริ่มสะสมมาตั้งแต่นั้นมา พอเมื่อผมปลดจากการเกณฑ์ทหาร ผมก็มาหางานทำ ก็ไม่พ้นงานโรงแรม แล้วผมก็ได้เข้าทำงานที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย เรียกได้ว่าเงินดี ก็คิดว่าเอาล่ะ รอดตายแล้วล่ะทีนี้ แต่กรรมของผมมันก็ยังไม่หมด ทำได้แค่เดือนเดียว ผมก็เกิดอาการป่วย จนไม่สามารถไปทำงานได้ ผมท้อมาก จนผมออกโดยที่ไม่แจ้งไม่บอกทางโรงแรม เรียกได้ว่าช่วงนั้นเครียดมากๆ เลยครับ แต่บนความโชคร้าย ก็มีโชคดีอีกครั้ง เมื่อมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ได้บอกให้ผมไปสมัครเพื่อสอบเข้ารับราชการทหาร ผมดีใจมาก เลยไปตามที่ท่านบอก ก็ยอมรับนะครับว่าผมใช้เส้น แล้วผมก็ได้รับราชการทหาร ตั้งแต่นั้นมา แล้วความเครียดก็เข้ามาอีกครั้ง เนื่องจากนายสิบที่บรรจุใหม่นั้นเงินเดือนแค่ 7000 กว่าบาท เอาล่ะสิ จะหาเงินที่ไหนไปจ่ายหนี้ จ่ายค่าผ่อนรถ ส่งให้แม่อีกล่ะเนี๊ย การทำงานก็ต้องตามเจ้านายไป เครียดมากครับตอนนั้น หนี้ก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ แม่ผมต้องวิ่งยืมนู้น หมุนนี่ สลับกันไปแบบนี้ หลายคนอาจจะบอกว่า ทำไมไม่ปล่อยให้ยึดไปล่ะ ทำแบบนั้นผมก็ต้องยังจะจ่ายเงินผ่อนต่อไปอยู่ดีครับ เลยจำเป็นต้องผ่อนต่อไป ตั้งแต่นั้นมาผมเครียดมากครับ กลายเป็นคนนอนหลับไม่สนิท ถึงจะนอนไวแค่ไหน มันก็จะตื่นกลางดึกบ้าง นอนไม่หลับต่อจนเช้า แล้วต้องมาทำงานทั้งวัน ความเครียดมันสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ พร้อมกับหนี้ที่มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหลัก 3 แสน เกิดมาไม่เคยมีหนี้ขนาดนี้ (บางท่านอาจจะเยอะมากกว่านี้ แต่สำหรับผมแค่นี้ก็จะตายแล้วครับ) ไหนจะต้องพะว้าพะวงในแต่ละเดือนที่จะถึงรอบต้องจ่ายค่างวดแล้วนะ แม่ก็โทรมาว่าต้องเอาเงินไปจ่ายหนี้เจ้านี้แล้วนะ คือมันเป็นแบบนี้มาตลอด จนถึงขั้นมีความคิดชั่ววูบความคิดนึง มันโผล่มาในหัว "ฆ่าตัวตาย" คือแต่ก่อนผมจะเป็นคนที่เวลาเห็นข่าวคนคิดฆ่าตัวตายแล้วบางทีก็ว่าให้เค้าบ้าง สมน้ำหน้าเขาบ้าง (คือมีแต่ความคิดอคติตลอด ยอมรับว่าเลวมาก แหะๆ) แต่แล้วผมไม่นึกว่าความคิดนั้นจะมาเกิดขึ้นในหัวของผมเอง ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย มันเป็นตลอดทุกครั้งที่เราได้รับแรงกดดันมา ไม่ว่าจะจากทางไหน บางครั้งขับรถอยู่ (ผมจะเดินทางบ่อยครับ) ก็มีความคิดเห้ย ลงเขาดีไม๊วะ เสาหลักลายหรือต้นไม้ดีไหมวะ ตายไปแม่คงได้เงินมาปิดหนี้ทั้งหมดแน่นอน (ข้าราชการเวลาเสียชีวิต ก็จะมีเงินจากประกันชีวิตบ้าง เงินค่าสมาชิกฌาปณกิจบ้าง ก็รวมๆ แล้วทำให้แม่ผมหมดหนี้แล้วยังมีเงินใช้อีกตลอด) ตายไปอย่างน้อยก็ยังจะเลี้ยงแม่ได้อยู่ คือความคิดมันเกิดขึ้นแบบนี้บ่อยมาก จนเกือบทำไปหลายครั้งแล้วด้วย ดีที่ยังมีสติ จอดข้างทาง นั่งดูรูปแม่ ก็ล้มเลิกไปหลายคราว แต่มันก็ยังมีความคิดนี้โผล่มาอีกเรื่อยๆ บางครั้งก็อยากจะไปโดนระเบิด หรือกระสุนจาก ผู้ก่อการร้ายไปเลย (ตอนนี้ผมมาช่วยราชการที่ 3 จชต.) ตายในหน้าที่ก็คงได้หลายล้านอยู่ อีกอย่าง เราตายไป แม่มีเงินใช้หนี้ พี่ชายก็ยังมาบรรจุรับราชการแทนเราได้อีก ให้พี่เลี้ยงดูแม่ต่อละกัน (คือทหารที่ลงมา 3 จชต ถ้าเสียชีวิต ทางกองทัพจะบรรจุทายาทหรือคนที่เราระบุชื่อในพินัยกรรมให้เข้ารับราชการได้เลยครับ แต่ต้องเป็นลูก พี่ หรือ น้อง หรือภรรยา สามี เท่านั้นครับ) จากตอนแรกที่คิดว่าการฆ่าตัวตายเป็นหนทางของคนโง่ สิ้นคิด พอมาเจอกับตัวเองเลยได้เข้าใจแล้วว่า เออ มันอยู่ไกล้เราแค่เศษเสี้ยววินาทีเองนะ แค่คำว่า "ชั่ววูบ" มันก็อาจทำให้เราจบชีวิตได้เลยนะครับ ยังดีที่ผมไม่ทำมันลงไป ผมพยายามหาทางดิ้นรนเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งตอนนี้ผมก็ทำเรื่องเพื่อกู้เงินของกองทัพ (ที่ไม่กู้ตั้งแต่แรก ก็เนื่องจาก เขามีข้อกำหนดว่าต้องบรรจุมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี) จริงอยู่ที่มันเป็นการเพิ่มหนี้ แต่ยังดีที่ว่า เมื่อผมกู้ได้ ผมจะนำเงินกู้นี้ ไปปิดหนี้ทั้งหมดที่มีหลายๆ ทาง เราจะได้มีหนี้แค่ที่เดียว การผ่อนชำระก็สามารถผ่อนได้ระยะยาว ไม่ต้องมากังวลว่าจะต้องมาจ่ายนุ้น นี่ นั่น อีก ทำให้หายเครียดได้อย่างเด็ดขาดแน่นอน ตอนนี้ผมก็กำลังรอเพื่อให้เงินก็นั้นโอนเข้ามา ถ้าหากเงินเข้ามาแล้ว มันคงจะเป็นความรู้สึกที่เหมือนยกเอาภูเขาออกจากอก เหมือนคำโบราณแน่ๆ เลยครับ ผมจึงอยากจะมาเล่าให้ทุกๆ ท่านได้ฟัง เผื่อมีคนที่กำลังท้อ อย่าเพิ่งท้อนะครับ เครียดได้ แต่อย่าถอยนะครับ ใช้สติ ค่อยๆ หาทาง ค่อยๆ คิด ปัญหาทุกอย่างมันต้องใช้เวลาครับ ปรึกษาคนรอบตัว เพื่อนๆ ครอบครัว หันหน้าคุยกันนะครับ
ปล.อาจจะเรียงลำดับเหตุการณ์ไม่ค่อยเป็นนะครับ แต่อยากจะมาเหลา เอ๊ย!!! เล่าให้ฟัง เผื่อใครที่กำลังท้ออยู่จะได้มีกำลังใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ คุณไม่ได้ท้อคนเดียวนะครับ อิอิ หรือใครที่กำลังท้ออยู่ ก็เข้ามาเล่าให้ผมฟังบ้างก็ได้นะครับ เผื่อจะได้ช่วยแนะนำหรืออย่างน้อยก็ได้เป็นที่ระบายให้บ้างก็ยังดีครับ ยอมเป็นส้วมให้เทอได้ปลดทุกข์ อิอิ